ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ภายในห้อง เธอหยิบหินเสียงที่ซือหม่าเลี่ยทิ้งเอาไว้ให้ในตอนนั้นออกมาแล้วใส่ปราณวิญญาณเข้าไปข้างใน ลวดลายบนนั้นเคลื่อนตัว จากนั้นเสียงของซือหม่าเลี่ยก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เธอจดจำเนื้อหาด้านในทุกประโยค ทุกถ้อยคำเอาไว้ในหัวใจแล้ว แต่เธอก็ยังหยิบออกมาฟังอยู่เป็นครั้งคราวเพื่อฟังน้ำเสียงรักใคร่ที่แฝงไปด้วยความจนใจของซือหม่าเลี่ย
หลังจากพบกับไป๋อวิ๋นฉีแล้วพวกเขาก็อยู่ที่อาณาจักรจันทร์ประจิมเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ตอนนี้ห่างจากเวลาสามปีที่กำหนดเอาไว้อีกเพียงแค่สามเดือนกว่าเท่านั้น
ไม่รู้ว่าสามปีนี้ ท่านปู่กับบรรดาพี่ๆ จะเป็นเช่นไรกันบ้าง
“ท่านปู่ ข้ากำลังจะช่วยพวกท่านออกมาแล้ว พวกท่านรอข้าก่อนนะ” เธอกำหินเสียงในมือเอาไว้แน่นพลางเอ่ยพึมพำ
วันรุ่งขึ้น พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณกันตั้งแต่เช้า เมื่อคนของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณเห็นพวกเขาก็รีบต้อนรับพวกเขาให้เข้าไปในทันที
“พวกเราต้องการไปอาณาจักรอู๋กลาง” เว่ยจือฉีพูดกับผู้จัดการที่ต้อนรับพวกเขาเข้ามา
“พวกเราเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ” ผู้จัดการพูด “เมื่อวานท่านหัวหน้าสมาคมได้สั่งการลงมา บอกว่าวันนี้พวกใต้เท้าจะมาใช้ค่ายกลนำส่ง ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงยังมิได้เปิดทำการต่อบุคคลภายนอกเลยขอรับ”
นี่หมายความว่าจัดให้พวกเขาเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ
“ค่ายกลนำส่งนี้ไปถึงที่ไหนหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ที่เมืองหลินชวน เมืองหลวงแห่งอาณาจักรอู๋กลางขอรับ” ผู้จัดการเอ่ยตอบ
“ท่านน่าจะรู้ว่าตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางอยู่ที่เมืองใดกระมัง”
“ที่เมืองอันหยางทางฝั่งตะวันออก มีค่ายกลนำส่งไปที่นั่นอยู่ที่เมืองหลินชวนขอรับ”
“มิได้อยู่ที่เมืองหลวงสินะ!”
“ใช่แล้วขอรับ”
“…”
ระหว่างที่พูดคุยกันพวกเขาก็เดินมาถึงสถานที่ตั้งของค่ายกลนำส่ง ค่ายกลนำส่งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เนื่องจากระยะทางที่ต้องส่งตัวไปนั้นค่อนข้างไกล จึงปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเรือนไปเสียหมด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูค่ายกลนำส่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้วจึงนำพวกเขาเหยียบย่างขึ้นไป
ผู้จัดการให้ปรมาจารย์วิญญาณสิบกว่าคนใส่ปราณวิญญาณเข้าไปในค่ายกลนำส่งพร้อมกัน ค่ายกลนำส่งเปล่งประกายขึ้นมา เมื่อพื้นผิวทั้งหมดเปล่งประกายแล้ว ปรมาจารย์วิญญาณจึงค่อยหยุดการใส่พลัง
ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเคยเห็นการเริ่มเปิดค่ายกลขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก แต่เมื่อนึกถึงอาณาบริเวณของการนำส่งนี้ เธอก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว
“เอาอีกแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์พร่ำบ่นในใจ หลังจากนั้นความรู้สึกวิงเวียนอันคุ้นเคยก็แผ่ไปทั่วสติรับรู้ของเธออีกครั้ง
ไม่ว่าจะโดยสารค่ายกลนำส่งกี่ครั้ง เธอก็ยังไม่คุ้นชินกับอาการวิงเวียนนี้อยู่ดี เธอเคยถามเฟิงจือสิงว่าเพราะเหตุใดผู้อื่นจึงดูปกติกันหมด แต่เธอกลับรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย คำตอบของเฟิงจือสิงในตอนนั้นก็คือค่ายกลนำส่งของดินแดนนี้หยาบกระด้างเกินไป เธอที่มีสัมผัสไวต่อความผิดปกติของห้วงมิติย่อมต้องรู้สึกไม่สบายอยู่แล้ว
ตอนนั้นเธอจึงได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ การมีพรสวรรค์ก็เป็นบาปอย่างหนึ่งเช่นกัน!
ผ่านไปสองวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองหลินชวน เมืองหลวงแห่งอาณาจักรอู๋กลาง ทุกคนคิดไม่ถึงว่าค่ายกลนำส่งจะใช้ระยะเวลายาวนานถึงเพียงนี้ ถ้าหากใช้สัตว์อสูรมีปีกเป็นพาหนะ เกรงว่าใช้เวลาสามเดือนห้าเดือนก็คงยังมาไม่ถึง นอกจากนี้ยังหมายถึงสัตว์อสูรมีปีกที่มีความเร็วสูงเป็นที่สุดอย่างเจ้าวิหคน้อยด้วย
ถ้าหากเป็นสายพันธุ์นกทั่วๆ ไป เกรงว่าคงต้องใช้เวลาเกือบปีเลยทีเดียว
ยามปกติแล้วน้อยนักที่ค่ายกลนำส่งระหว่างอาณาจักรจะเปิดทำการ ค่ายกลนำส่งที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลินชวนกับอาณาจักรจันทร์ประจิมมิได้สว่างขึ้นมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
เมื่อเห็นค่ายกลนำส่งสว่างขึ้นมา คนของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณจึงพากันมองมาทางนี้เพราะอยากเห็นว่าจะเป็นคนพวกใด เมื่อพบว่าเป็นเพียงแค่กลุ่มคนเยาว์วัยไม่กี่คน จึงทำธุระของตัวเองกันต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ในค่ายกลนำส่งมาเป็นเวลาสองวัน ตอนออกมาจากค่ายกลนำส่ง แต่ละคนจึงคลื่นเหียนวิงเวียนกันหมด
“บ้าเอ๊ย คราวหน้าข้าจะพกค่ายกลนำส่งมาเองแน่นอน!” หลังจากอาเจียนจนถุงน้ำดีแทบจะหลุดออกมาด้วยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พ่ายแพ้ให้แก่ค่ายกลนำส่งอย่างสิ้นเชิง
เพราะร่างกายของเธอเป็นเหตุ จึงมิได้เดินทางต่อไป หากแต่เลือกหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลินชวนเข้าพักแทน
ซือหม่าโยวเย่ว์เอนกายลงบนเตียง ตอนนี้เธอยังรู้สึกว่าฟ้าดินหมุนติ้วอยู่เลย
“เคยได้ยินเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าใครเมาค่ายกลนำส่งเหมือนเราเลย” เธอเอื้อมมือออกไปคว้าอากาศ หลังจากนั้นจึงปล่อยลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
“โยวเย่ว์ พวกเราไปฟังมาได้ความว่าที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองอันหยางมากนัก คราวหน้าพวกเรานั่งสัตว์อสูรมีปีกไปกันก็ได้นะ” เป่ยกงถังดูแลซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ในห้อง เมื่อเห็นเธอมีสภาพเช่นนี้จึงเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังอย่างไร้เรี่ยวแรงพลางพูดว่า “ช่างเถิดน่า หากไปที่นั่นให้เร็วหน่อยก็จะได้เตรียมตัวให้พร้อมก่อน”
นอกจากนี้ถ้าหากสิ้นเปลืองเวลาเดือนสองเดือนไปกับการเดินทาง ก็คงไม่คุ้มค่านัก
“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนให้ดีๆ เถิด พวกเจ้าอ้วนสนใจใคร่รู้ในเมืองหลินชวนยิ่งนัก พวกเราวางแผนว่าจะไปดูด้วยกันสักหน่อย” พอพูดจบนางก็ลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าขนหนูบนหน้าผากซือหม่าโยวเย่ว์ ก่อนจะยกอ่างไม้ออกไป เหลือซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ในห้องเพียงคนเดียว
“ปึง…”
เสียงปิดประตูทำให้เปลือกตาสั่นเทาของซือหม่าโยวเย่ว์ปิดลง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงโอดครวญในใจว่า “เจ้าพวกแล้งน้ำใจ ปล่อยข้าทิ้งเอาไว้ที่นี่คนเดียว ส่วนตัวเองวิ่งแจ้นออกไปเที่ยวเล่น น่ารังเกียจเกินไปแล้ว! ไม่ได้การล่ะ ยังวิงเวียนอยู่เลย ข้าจะนอนสักครู่ เจ้าไก่ฟ้า หากพวกเขากลับมาแล้วเจ้าเรียกข้าด้วยนะ!”
เจ้าไก่ฟ้าที่พิงหน้าต่างโดยไม่ส่งเสียงมาโดยตลอดมองคนบนเตียงปราดหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังถนนด้านนอก มองดูผู้คนสัญจรไปมา
เจ้าคนผู้นี้ ยามปกติคึกคักมีชีวิตชีวา ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน คิดไม่ถึงว่าจะมาสิ้นท่าเพราะค่ายกลนำส่งเสียได้
ซือหม่าโยวเย่ว์หลับยาวจนถึงยามพลบค่ำ หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าฟ้าดินหมุนติ้วอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ยากจะทนรับได้
“นอนจนข้าปวดหลังปวดเอวไปหมด เจ้าไก่ฟ้า เหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมาอีกเล่า”
เธอสะลึมสะลือตื่นขึ้นแล้วจึงพบว่าเจ้าไก่ฟ้าไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว
เธอเปิดประตูออกไปก็ได้ยินว่าชั้นล่างมีเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อีกทั้งยังมีเสียงก่นด่า จึงพิงราวบันไดแล้วมองลงไปดู ก็เห็นเจ้าอ้วนชวีถูกคนทำร้ายกลับมาจนใบหน้าบวมช้ำ เสี่ยวถูติดตามอยู่ด้านหลัง ดวงตาข้างหนึ่งเขียวช้ำกลายเป็นตาแพนด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เฮ้ย… พวกเจ้าออกไปวันเดียวก็กลายสภาพเป็นเช่นนี้เสียแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ “หรือว่าพวกเจ้ามิได้ออกไปซื้อข้าวของ แต่ไปปล้นบ้านชิงทรัพย์มากันแน่ เจ้าอ้วน รอยเขียวช้ำจ้ำม่วงบนใบหน้าเจ้านี่มันเรื่องอันใดกัน”
เจ้าอ้วนชวีถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเศร้าสร้อย เจ้าคนผู้นี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตนถูกทำร้ายมา ยังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่นั่นแหละ!
ทุกคนขึ้นมาชั้นบน ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพวกเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว
ให้พวกเจ้าออกไปเที่ยวเล่นกันเอง แล้วถูกคนทำร้ายเข้าให้ล่ะสิ!
เธอกวักมือเรียกเสี่ยวถู “เสี่ยวถู มานี่”
เสี่ยวถูเดินผ่านพวกเจ้าอ้วนชวีมาที่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์เอื้อมมือไปลูบตาที่ถูกต่อยตีจนกลายเป็นตาแพนด้าของเขาพลางเอ่ยว่า “มา… บอกพี่ชายมาสิว่าใครทำร้ายเจ้า”
“คนเลวคนหนึ่ง!” เสี่ยวถูพูดอย่างโมโห “คนผู้นั้นไม่เพียงแต่จะทำร้ายข้ากับพี่สาวเท่านั้น แต่ยังทำร้ายพี่อ้วนจนมีสภาพเช่นนี้ด้วย”
“อ้อหรือ เรื่องเป็นมาอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ตอนที่ข้ากับพี่สาวเดินอยู่บนถนนก็พบกับพี่คุณชายคนหนึ่งเข้า เขาบอกว่าถูกใจพี่สาว ต้องการจะจับตัวพี่สาวกลับไป ส่วนตาเฒ่าอีกคนบอกว่าถูกใจข้าต้องการจะจับตัวข้า พี่โอวหยางกับพี่จือฉีไม่อยู่กันทั้งคู่ พี่อ้วนจึงเข้าไปต่อสู้กับพวกเขา ผลปรากฏว่าถูกทำร้ายจนกลายเป็นสภาพนี้ คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าผู้นั้นจะเป็นยอดฝีมือระดับจ้าววิญญาณ ถ้าหากมิใช่เพราะพี่ไก่ฟ้ามาช่วย วันนี้พวกเราคงมิได้กลับมากันแล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ประสานมือทั้งสองเอาไว้ที่อกแล้วเลิกคิ้วขึ้น ถูกใจสาวงามกับเด็กตัวน้อยของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ
…………………………………………