เพราะจัดการคนของตระกูลน่าหลาน พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงเสียเวลาอยู่ที่เมืองหลินชวนต่ออีกหนึ่งคืน เตรียมตัวไปที่เมืองอันหยางอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
และในขณะนี้เอง ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขาค้างแรมออกไปไม่ไกล คนตระกูลน่าหลานแต่ละคนมีสีหน้าอึมครึมชวนให้คนตกใจ
“ผู้อาวุโสกับลูกพี่ลูกน้องถูกคนสังหารอย่างนั้นหรือ” คนที่นั่งอยู่ตรงกลางมองทหารรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนน่าตกใจ
คนผู้นี้มีรูปโฉมหล่อเหลา แต่สองตาอันมืดหม่นนั้นทำให้เขาดูชั่วร้ายโหดเหี้ยมไปทั้งตัว ดูแล้วมิใช่คนดีแต่อย่างใด ทว่าผู้คนรอบตัวล้วนยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพราวกับดวงดาวที่ล้อมรอบดวงจันทรา แสดงให้เห็นถึงสถานะภายในตระกูลน่าหลานของเขา
“เรียน… เรียนคุณชาย พอพวกผู้อาวุโสออกไปแล้วก็มิได้กลับมาอีกเลยขอรับ พวกเราจึงได้ไปเสาะหากันจนพบป้ายพกประจำตระกูลหล่นอยู่บนพื้นห่างออกไปนอกเมืองสิบลี้ ต่อมาจึงทำการตรวจสอบ ปรากฏว่าเมื่อกลางวันมีการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับจ้าววิญญาณมาก่อนขอรับ” ทหารรับใช้เอ่ยตอบ
“ตรวจสอบพบหรือยังว่าเป็นฝีมือใคร” น่าหลานเจี๋ยถาม
“เพราะตอนนั้นไม่มีผู้ใดเห็นกับตา ดังนั้นจึงยังตรวจสอบไม่พบขอรับ แต่ตอนฟ้าสว่างจะต้องตรวจสอบพบได้อย่างแน่นอนขอรับ!” ทหารรับใช้เอ่ยตอบ
“ไม่ว่าจะเป็นใคร บังอาจสังหารคนของตระกูลน่าหลานเรา ต่อให้พวกมันหนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวก็ต้องจับตัวมาให้จงได้!” น่าหลานเจี๋ยออกคำสั่ง
“ขอรับคุณชาย” คนในห้องประสานเสียงตอบรับ
ทหารรับใช้ถอยออกไปเตรียมตัวสืบหาผู้ที่สังหารผู้อาวุโสต่อไป ระหว่างที่ออกไปจากเรือน เสียงของน่าหลานเจี๋ยก็แว่วมาว่า “ถ้าหากก่อนฟ้าสว่างยังหาตัวมือสังหารไม่พบล่ะก็ พวกเจ้าทุกคนต้องกลับมารับโทษ”
ทหารรับใช้ผู้นั้นร่างกายสั่นสะท้าน กลัวได้รับการลงโทษ แต่ก็ยังคงขานรับก่อนจะจากไปอย่างเชื่อฟัง
ภายในห้อง ชายชราผู้หนึ่งนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับน่าหลานเจี๋ย ซึ่งแสดงว่าสถานะของเขาก็มิได้ต่ำต้อยเช่นกัน
คนผู้นี้ก็คือน่าหลานหง อาจารย์ของน่าหลานเจี๋ย ซื่งเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลน่าหลานด้วยเช่นเดียวกัน
“ท่านอาจารย์ ท่านว่าใครเป็นผู้สังหารพวกผู้อาวุโสสิบห้า” น่าหลานเจี๋ยถาม
น่าหลานหงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “กล้าสังหารผู้อาวุโสของตระกูลน่าหลานเรา ถ้าหากมิได้มีสถานะพอๆ กันกับตระกูลของเรา ก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่รู้ถึงอำนาจของพวกเราตระกูลน่าหลานอย่างสิ้นเชิง”
น่าหลานเจี๋ยหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ทั่วแผ่นดินนี้มีใครไม่รู้จักอิทธิพลของพวกเราตระกูลน่าหลานบ้างเล่า ข้าว่าอันแรกดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เป็นไปได้ว่าอาจเป็นฝีมือของขุมอำนาจที่มีความแค้นต่อพวกเราเหล่านั้นก็ได้”
น่าหลานหงมิได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อย ถึงอย่างไรก็ใกล้ถึงงานประลองแล้ว ระหว่างขุมอำนาจแต่ละแห่งจึงเริ่มไม่สงบ มารอผลการสืบของพวกเขาก่อนดีกว่านะ”
“อือ” น่าหลานเจี๋ยรับคำเสียงหนึ่งแล้วถามอีกว่า “ท่านอาจารย์คิดว่างานประลองคราวนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
“จากตอนนี้ไปถึงงานประลอง ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองปีแล้ว คนวัยกลางคนก็คงไม่ต่างกับที่เคยเป็นมา แต่สำหรับคนรุ่นเยาว์ คราวนี้มีดาวรุ่งดวงใหม่ไม่น้อยเลย แต่พรสวรรค์ของพวกเขาล้วนมิอาจเทียบเคียงกับเจ้าได้เลย เจ้าสนใจแค่ซือหม่าโยวหลินแห่งตระกูลซือหม่า ซางเฉียงหลีแห่งตระกูลซาง และหั่วจือเหยียนแห่งตระกูลหั่วก็พอแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเลย”
“หลายปีมานี้ คนเหล่านั้นถูกเรียกรวมกับข้าว่าเป็นสี่พิสดาร ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ยังไม่เคยประมือกับพวกเขาเลย ข้าตั้งหน้าตั้งตาคอยงานประลองคราวนี้ยิ่งนัก!” น่าหลานเจี๋ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็น
“งานประลองคราวนี้เกี่ยวโยงถึงการจัดลำดับของขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่ง การดวลระหว่างคนรุ่นเยาว์เป็นส่วนสำคัญเลยทีเดียว เจ้าอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด มิฉะนั้นบิดาของเจ้าต้องตกที่นั่งลำบากแน่” น่าหลานหงพูด
“ข้าทราบแล้ว” น่าหลานเจี๋ยพูด “ข้าไม่มีทางทำให้ท่านพ่อและบรรดาผู้อาวุโสผิดหวังอย่างแน่นอน”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” น่าหลานหงพึงพอใจกับนายน้อยผู้เป็นศิษย์ของตนผู้นี้มาโดยตลอด แม้จะรู้นิสัยใจคอของเขาดีแต่ก็มิได้เป็นกังวลมากนัก
“แต่ว่า… ท่านอาจารย์ หญ้าคราบโลหิตที่เราเด็ดมาต้นนี้จะมีประโยชน์ต่อแม่เด็กผู้นั้นจริงๆ หรือไม่” น่าหลานเจี๋ยนึกถึงจุดประสงค์ของการออกมาในคราวนี้ขึ้นมา จึงถามอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
“มีหญ้าคราบโลหิตแล้ว จะต้องเปิดลักษณะทางกายภาพของแม่เด็กผู้นั้นได้แน่ เมื่อใดที่กายภาพบัวทิพย์ตื่นรู้ ความสำเร็จในภายภาคหน้าของนางนั้นจะเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้เลยล่ะ” น่าหลานหงพูด
“กายดอกบัวนั่นยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นจริงหรือ” น่าหลานเจี๋ยถาม
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเหตุใดพวกเราจึงต้องพาตัวนางกลับมาจากสถานที่เนรเทศด้วยเล่า” น่าหลานหงพูด “กายดอกบัวบำเพ็ญได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่า โดยเฉพาะหลังจากที่บรรลุไปถึงระดับขั้นนั้นแล้ว ข้อดีของลักษณะทางกายภาพของนางก็จะยิ่งเด่นชัด ตอนนี้แม่เด็กผู้นั้นยังอายุไม่ครบยี่สิบห้าปี ยังไม่ถึงเส้นตายสุดท้ายของการตื่นรู้ มิฉะนั้นหากคิดจะตื่นรู้อีกก็คงยากแล้ว”
น่าหลานเจี๋ยย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการมีผู้มีคุณสมบัติในการฝึกยุทธ์คนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในตระกูลนั้นมีความสำคัญต่ออนาคตของตระกูลเพียงใด มิฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางออกมาเสาะหาเครื่องยาเพื่อให้นางตื่นรู้ทางกายภาพหรอก
“ท่านอาจารย์ ระดับขั้นนั้นที่ท่านว่า…”
“ตอนนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเหล่านั้นหรอก สงบจิตสงบใจฝึกยุทธ์ก็พอแล้ว” น่าหลานหงมิได้เอ่ยตอบ
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
“ไปพักผ่อนเถิด รอให้พวกเขาส่งข่าวกลับมาก่อน จากนั้นพวกเราก็ไปจัดการคนกลุ่มนั้นกันแล้วค่อยกลับบ้าน เจ้าเองก็ควรปลีกวิเวกเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานประลองได้แล้วนะ…”
คืนนี้พวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้านอนกันดึกดื่น เพราะพวกเขามัวแต่นับสิ่งของที่ได้มาจากการต่อสู้ในวันนี้เดิมทีเจ้าไก่ฟ้าไม่อยากเข้าร่วม แต่ก็ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ลากตัวมาด้วย
ตอนนี้เธอไม่กลัวเขาแล้ว บางครั้งถึงขนาดที่กอดไหล่โอบหลังเขาด้วยซ้ำไป
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าสองคนนี้จะมีทรัพย์สมบัติมากมายถึงเพียงนี้! สิ่งนี้ที่อาณาจักรตงเฉิน ก็คงพอๆ กับมรดกของทั้งตระกูลระดับกลางตระกูลหนึ่งแล้วกระมัง หากมิใช่เพราะตระกูลน่าหลานของพวกเขามั่งคั่งร่ำรวย ก็ต้องเป็นเพราะพวกเขาปล้นบ้านชิงทรัพย์มาไม่น้อยแน่”
นี่คือข้อสรุปอย่างเป็นเอกฉันท์ของทุกคน
ซือหม่าโยวเย่ว์แบ่งสิ่งของตามความต้องการของทุกคนจนหมด หลังจากนั้นจึงเร่งให้ทุกคนจากไป เพราะเธอต้องการสะสมพลังงานเอาไว้สำหรับความยากลำบากในวันรุ่งขึ้น
ทุกคนพากันหัวเราะแบบไร้เสียงเมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอเมาค่ายกลนำส่ง แต่ก็ถอยกลับออกไปกันหมด
วันรุ่งขึ้น พวกซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากพาเสี่ยวถูไปกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ
เมืองหลินชวนคือเมืองหลวงแห่งอาณาจักรอู๋กลาง มีค่ายกลนำส่งเชื่อมต่อไปยังภายนอกอยู่มากมาย แบ่งออกเป็นอันที่ตรงไปยังทิศเหนือใต้ออกตก
ฝั่งตะวันออกมีเมืองอยู่มากมาย ดังนั้นผู้ที่มุ่งหน้าไปจึงมีค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจะยังเช้าเช่นนี้ แต่ค่ายกลนำส่งที่พาไปยังฝั่งตะวันออกก็มีผู้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าแถวกันอยู่
“พวกเรารอกันสักครู่หนึ่งเถิด”
พวกเขาต่อแถวอยู่ด้านหลังสุดของฝูงชน มองดูกลุ่มคนเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ซือหม่าโยวเย่ว์จูงเสี่ยวถูอยู่ด้านหลังสุด ส่วนเป่ยกงถังนั้นอยู่ด้านหน้าพวกเขา
“โอ้ น้องชายตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน!” มีหลายคนเข้ามาต่อแถวด้านหลัง เมื่อเห็นเสี่ยวถูก็อดเอ่ยชมมิได้
ซือหม่าโยวเย่ว์หันมามองคนด้านหลังปราดหนึ่งจึงพบว่าเป็นคนชราสองคนที่นำทางคนวัยหนุ่มสาวหลายคนมา ดูจากท่าทางแล้วพวกเขาเหมือนมาด้วยกัน
และผู้ที่เอ่ยวาจาก็คือหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หันมา หญิงสาวผู้นั้นก็ยิ้มให้เธอก่อนจะเอ่ยว่า “นี่คือน้องชายของเจ้าหรือ ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มเป็นมิตร จึงยิ้มตอบให้นางแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”
“พวกเจ้าก็มุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันออกเหมือนกันหรือ จะไปที่เมืองใดเล่า” หญิงสาวผู้นั้นถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์ดูท่าทางหญิงสาวผู้นี้อายุไม่น่าจะเกินสิบเจ็ดสิบแปด ใบหน้ายังมีไขมันสมบูรณ์ดูอ่อนเยาว์ เวลายิ้มมีลักยิ้มตื้นๆ แววตาสดใส ดูจะมีอุปนิสัยใสซื่อบริสุทธิ์
เธอผงกศีรษะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว พวกเราจะไปเมืองอันหยางน่ะ”
“จริงหรือ พวกเราก็จะกลับเมืองอันหยางเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นคนร่วมทางกันสินะ!” หญิงสาวพูด “ข้าชื่อซือหม่าโยวฉิง แล้วเจ้าเล่า”
เมื่อได้ยินชื่อของอีกฝ่าย หัวใจของซือหม่าโยวเย่ว์ก็กระโดดโลดเต้น ยังไม่ทันไปก็พบกับคนของตระกูลซือหม่าแล้วอย่างนั้นหรือ
………………………………