หลังจากที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากหอเซวียนหยวนได้ไกลแล้ว พวกเขาก็สบตากันไปมา หลังจากนั้นจึงพากันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา
“พวกเราไม่เคยฉีกหน้าใครเช่นนี้มาก่อนเลย! ความรู้สึกนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน!” เจ้าอ้วนชวีหัวเราะดังลั่นแล้วเอ่ยขึ้น
เสี่ยวถูถือก้อนหินที่ซือหม่าโยวเย่ว์ซื้อให้เขาเอาไว้ไม่ยอมวาง เขาหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “ใครใช้ให้พวกเขาน่ารังเกียจถึงเพียงนั้นกันเล่า คำก็คนบ้านนอก สองคำก็คนบ้านนอก ดูแล้วเหมือนจงใจให้เราขายหน้าชัด!”
เว่ยจือฉียื่นมือมาลูบศีรษะเสี่ยวถูแล้วเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีด้านมืดกับเขาด้วย!”
“ด้านมืดอะไรกันเล่า ข้าฉลาดออกจะตายไป!” เสี่ยวถูปฏิเสธอย่างไม่พอใจ
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าด้านมืดแปลว่าอะไร แต่ฟังจากสองพยางค์นี้แล้วน่าจะมิใช่คำที่ดีแต่อย่างใด!
“คนของตระกูลซือหม่าทำกับเจ้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอีกสิบวันให้หลังตอนเจ้าไปทวงสัญญาจะมีสีหน้าเช่นไร” โอวหยางเฟยพูดพลางลูบคาง
“ต้องเจริญหูเจริญตามากแน่” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยพึมพำ
“พวกเจ้าแต่ละคนเปิดเผยตัวตนสู่สาธารณะ ทั้งยังอยู่ด้วยกันอีกต่างหาก จะต้องดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจใหญ่เป็นแน่ พวกเจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าจะเข้าร่วมกับขุมอำนาจใด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไม่ไปหรอก” เจ้าอ้วนชวีปฏิเสธตรงๆ พลางเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราเกาะติดกับเจ้า ยังมีอนาคตมากกว่าไปอยู่กับขุมอำนาจเหล่านั้นเสียอีก”
“ถูกต้อง เป้าหมายของพวกเรามิได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย หากแต่เป็นการมุ่งสู่ดินแดนโบราณ มิอาจหยุดยั้งอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรอก” เว่ยจือฉีก็พูดขึ้นเช่นกัน
“แต่บางทีอีกสิบวันให้หลังข้าอาจจะถูกล่าสังหารแล้วก็เป็นได้ พวกเจ้าจะไม่ไตร่ตรองกันอีกสักหน่อยจริงๆ หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากให้คนรอบตัวตกอยู่ในอันตราย
“ไม่ต้องหรอก หากถูกล่าสังหารจริงๆ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกัน!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางสู่จุดมุ่งหมายกันดีกว่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่อยากอยู่ใต้ร่มเงาของขุมอำนาจอื่น ระยะนี้ก็อย่าเพิ่งปรากฏตัวเลยนะ”
“กลับไปปลีกวิเวกเสีย!”
เมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยมที่พัก พวกเขาก็แจ้งพนักงานเอาไว้ว่าทุกคนจะปลีกวิเวก ไม่ว่าผู้ใดมา พวกเขาก็จะไม่มาพบทั้งสิ้น
พนักงานก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องอันใด แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจแล้ว เพราะคนของขุมอำนาจใหญ่จำนวนมากต่างแห่กันมาบอกว่าต้องการพบพวกซือหม่าโยวเย่ว์
“ขออภัยทุกท่าน แขกผู้เข้าพักเหล่านั้นแจ้งเอาไว้ว่าจะปลีกวิเวกสิบวัน ช่วงนี้ไม่รับแขกขอรับ!” พนักงานพูด
“ไม่ยอมพบผู้ใดทั้งสิ้นเลยหรือ” ซือหม่าโยวหยางถาม
“ใช่แล้ว พวกเขาบอกว่าถ้าหากทุกท่านมีธุระ อีกสิบวันให้หลังค่อยมาพบพวกเขาขอรับ” พนักงานพูดต่อ
“ฮ่าๆ ซือหม่าโยวหยาง ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า เดิมทีคนเหล่านั้นเป็นสหายของพวกเจ้า น่าเสียดายที่คนตระกูลเจ้ามีตาหามีแววไม่ ไปล่วงเกินพวกเขาเข้า ตอนนี้อยากจะดึงพวกเขาเข้าตระกูลพวกเจ้าก็สายเกินไปเสียแล้วกระมัง! ฮ่าๆๆ”
ซือหม่าโยวหยางมองคนเหล่านั้นโดยไม่เอ่ยวาจา แต่สีหน้ากลับไม่น่าดูสักเท่าใดนัก
หั่วจือเหยียนที่มาด้วยกันมองห้องชั้นบนปราดหนึ่งด้วยแววตาเป็นประกาย
เขาคิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะกลับมาปลีกวิเวก พวกเขาต้องคาดเดาได้ว่าจะมีคนมาพบพวกเขาอย่างแน่นอน
พวกเขาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ทำไปเพื่อดูว่าขุมอำนาจใดจะเหมาะสมกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ
ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจำนวนหนึ่งเห็นขุมอำนาจมากมายมาพบพวกเขาเช่นนี้ แต่พวกเขากลับหลบเลี่ยงไม่ยอมพบ หรืออาจมีผู้หนุนหลังอยู่แล้ว?
“เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ เมื่อครู่ข้าได้ยินมาจากข้างนอกว่าในบรรดาห้าคนนี้มีนักหลอมยาสองคน นักหลอมวัตถุหนึ่งคน และนักฝึกสัตว์อสูรหนึ่งคน และยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนเป็นเช่นไร แต่กลับถือครองบัตรสีฟ้าที่ล้ำค่าที่สุดของหอเซวียนหยวน บัตรสีฟ้านั้นแม้กระทั่งขุมอำนาจชั้นหนึ่งก็ยังไม่มีกันเลย!”
“อะไรนะ!”
เมื่อผู้คนในโรงเตี๊ยมได้ฟังคำพูดนี้แล้วต่างพากันตกตะลึง พวกเขาเหล่านี้มีสถานะเช่นไรกันแน่ เป็นคนของขุมอำนาจเหนือธรรมดาอะไรสักแห่งอย่างนั้นหรือ
“นอกจากนี้ข้ายังได้ยินว่าพวกเขายังอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีเท่านั้นอีกด้วย แต่กลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ในภายหน้าจะต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน!”
“คนเช่นนี้ยังถูกผู้อื่นเรียกว่าเป็นคนบ้านนอกอีก บอกว่าพวกเขาไม่มีเงินซื้อของ ผลปรากฏว่าพวกเขาหยิบเอายาวิเศษหลายพันเม็ดรวมทั้งอาวุธวิญญาณกว่าร้อยชิ้นออกมาขาย”
“นี่ก็เท่ากับเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่เลยสินะ! นักหลอมยา นักหลอมวัตถุ และนักฝึกสัตว์อสูรจะไม่มีเงินได้อย่างไรกัน ช่างน่าขันเสียจริง!”
“ถึงจะน่าขันก็ห้ามหัวเราะ เพราะผู้ที่ถูกตบหน้าคือตระกูลซือหม่ากับตระกูลหั่ว ข้าเป็นห่วงว่าหากพวกเขาได้ยินเข้าก็จะฟาดเจ้าฉาดใหญ่แทนน่ะสิ”
“เออ…”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์นั้นมิได้เริ่มต้นปลีกวิเวกกันจริงๆ หากแต่สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวด้านล่างอยู่ที่ชั้นบน
“ผู้คนมากันมากมายจริงๆ เสียด้วย” เจ้าอ้วนชวีเบ้ปาก
“ก็ให้พนักงานรับหน้าไปเถิด” เว่ยจือฉีพูด
ถ้าหากพวกเขาโผล่หน้าไปตอนนี้ก็คงยากที่จะเลี่ยงมิให้ถูกผู้คนซักถาม พวกเขาคร้านจะไปรับมือด้วย
“ตอนนี้ทุกคนพากันคาดเดาไปว่าพวกเรามีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งใหญ่โตอะไรอยู่ รออีกสิบวันให้หลังพอพวกเขารู้ว่าพวกเรามาจากอาณาจักรตงเฉิน ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าเช่นไรกันบ้าง”
“จะต้องอ้าปากค้างกว้างจนยัดกำปั้นเข้าไปได้อย่างแน่นอน!” เสี่ยวถูพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อการช่วยเหลือพวกท่านปู่ของเจ้าหรือไม่” เป่ยกงถังกังวลใจอยู่บ้าง
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น่าจะส่งผลดีนะ พวกเจ้าไปพร้อมกันกับข้า ทั้งนักหลอมยา นักหลอมวัตถุ และนักฝึกสัตว์อสูร พวกเขาจะต้องไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามแน่”
“อืม เช่นนั้นพวกเรารอให้เวลาผ่านไปอีกสิบวันค่อยออกมาอีกทีแล้วกัน ตอนนี้ก็ปลีกวิเวกกันไปก่อน” โอวหยางเฟยลุกขึ้นยืนก่อนจะนำออกไปเป็นคนแรก
ทุกคนพากันออกไปจากห้องของซือหม่าโยวเย่ว์ เธอนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มต้นใช้เวลาสิบวันนี้ทำพื้นฐานให้เสถียร
ตลอดสิบวันนี้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ลงไปชั้นล่างเลยแม้แต่ก้าวเดียว คนของขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยต่างรอคอยพวกเขาอยู่ข้างล่าง แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของใครเลยแม้แต่คนเดียว
คืนก่อนหน้าที่จะถึงระยะเวลาสามปีที่สัญญากันเอาไว้ เจ้าไก่ฟ้าก็กลับมา ทั้งยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าไก่ฟ้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บนี่”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เจ้าไก่ฟ้าพูด
“วิญญาณได้รับบาดเจ็บ การฟื้นฟูกลับมานั้นจะค่อนข้างช้า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหยิบน้ำทิพย์วิญญาณขวดเล็กออกมาแล้วเอ่ยว่า “พลังยุทธ์ระดับเจ้า สองหยดก็น่าจะทนรับได้ละนะ”
ถึงแม้เจ้าไก่ฟ้าจะไม่รู้ว่าคือสิ่งใด แต่ก็สัมผัสได้ว่ามิใช่ของธรรมดา เขาจึงรับขวดหยกมาแล้วเอ่ยคำขอบคุณอย่างไร้ซึ่งความหยิ่งยโส
“ไม่ต้องหรอก ข้าเพียงแค่สร้างความมั่นใจเพื่อเรื่องในวันพรุ่งนี้เท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เจ้าไก่ฟ้าหยิบเอาน้ำทิพย์วิญญาณกลับมายังห้องของเขาแล้วดื่มลงไปสองหยด หลังจากนั้นจึงเริ่มต้นซ่อมแซมวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บของตน
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้ถามว่าเขาไปที่ไหนมา ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร เรื่องอย่างการที่เขาได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ มิใช่เรื่องที่เธอจะแตะต้องได้ในตอนนี้เลย
คืนนี้เธอมิได้เข้าสู่สภาวะของการฝึกยุทธ์อีก หากแต่ยืนอยู่ริมหน้าต่างตลอดทั้งคืน สายตามองไปยังลานบ้านของตระกูลซือหม่าตลอดเวลา
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเว่ยจือฉีออกมากันแล้ว หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา พวกเขาก็มิได้ตรงไปยังตระกูลซือหม่าในทันที หากแต่ส่งตัวเสี่ยวถูไปยังหอเซวียนหยวนก่อน
“ถ้าหากเป็นไปได้ กรุณาปกป้องความปลอดภัยให้เขาสักระยะหนึ่งด้วย วันหลังพวกเราจะกลับมารับ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับผู้จัดการ
หอเซวียนหยวนคาดเดาได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะต้องไปทำเรื่องอันตรายอะไรบางอย่าง แต่ก็ตกลงรับปาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเธอได้ถือครองบัตรสีฟ้าเพราะเหตุใด แต่การได้ทำให้เธอติดค้างน้ำใจสักครั้งหนึ่งนั้นย่อมทำให้หอเซวียนหยวนมีความสุขไม่น้อยเลย
มีคนพูดเอาไว้ได้ถูกต้อง สำหรับพวกเขาแล้ว ผู้ที่ถือครองบัตรสีฟ้านั้นมีความสำคัญยิ่งกว่าขุมอำนาจใดๆ
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากหอเซวียนหยวนแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังตระกูลซือหม่า
ตระกูลซือหม่า ข้า…ซือหม่าโยวเย่ว์ มาทวงสัญญาแล้ว!
………………………………………….