ทุกคนต่างตกใจ บุคคลรุ่นปู่ของซือหม่าเลี่ยเอ่ยปากขอร้อง แต่เธอก็ยังไม่ยอมละเว้นซือหม่าอี้อยู่ดี
“โยวเย่ว์…” ซือหม่าชิงส่งเสียง อยากจะเอ่ยเตือนเธอให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ
“ตามใจเสียจนคนรุ่นหลังของตนรังแกท่านปู่และพี่ๆ ของข้าจนมีสภาพเช่นนี้ ทั้งยังคิดจะสังหารพวกเราด้วย คนพรรค์นี้ปล่อยไว้ก็จะเป็นภัยเปล่าๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “นอกจากนี้สิ่งที่ข้าทนไม่ได้ที่สุดก็คือการรังแกคนในครอบครัวข้า หากใครคิดรังแกก็ต้องเตรียมตัวตายเอาไว้ให้ดี!”
“อย่าเลย อย่าเลย ข้าผิดไปแล้ว ในภายหน้าข้าก็ไม่กล้ารังแกพวกเจ้าอีกแล้ว!” ซือหม่าหลินร้องเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าสำนึกเสียใจ แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมองเห็นแววอำมหิตในดวงตาของเขา
ถ้าหากไม่ตายในวันนี้ ภายหน้าจะต้องหาโอกาสสังหารพวกเธอจนตายกันหมดอย่างแน่นอน!
“ถึงแม้ปากจะพูดว่าผิดไปแล้ว แต่กลับมิได้ปิดบังความอาฆาตในใจเลย เจ้าไก่ฟ้า ลงมือเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่ง
เจ้าไก่ฟ้ามองเธอปราดหนึ่งแล้วออกแรง เอาชีวิตน้อยๆ ของซือหม่าอี้ในทันที
“เจ้า!”
คนของตระกูลซือหม่าเห็นเธอสังหารซือหม่าอี้แล้วก็ทั้งหวาดหวั่นทั้งโมโห
บรรพชนตระกูลซือหม่าถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเข้ามานี่สิ นายท่านกับสหายตัวน้อยทั้งหลายก็เข้ามาด้วย”
“เจ้าไก่ฟ้า เก็บแรงกดดันเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เจ้าไก่ฟ้าเก็บแรงกดดันไปเหมือนกับตอนเข้ามา ทำให้คนเกิดความรู้สึกมองไม่ทะลุปรุโปร่ง
แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพ จึงไม่มีใครกล้าไปตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของเขาอีกแล้ว
เมื่อไม่มีแรงกดดันอันไร้รูปร่างแล้ว ทุกคนจึงค่อยผ่อนคลายร่างกายพลางถอนหายใจยาว
“โยวหลิน เจ้าให้คนมาเก็บกวาดที่นี่ที” ซือหม่าหลินออกคำสั่งกับซือหม่าโยวหลิน หลังจากนั้นจึงพูดกับซือหม่าเลี่ยว่า “ไปเถิด”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าเมื่อซือหม่าเลี่ยได้ยินเสียงของท่านบรรพชนผู้นั้นแล้วก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง จึงรู้ว่าเขาจะต้องอยากพบคนผู้นั้นมากอย่างแน่นอน จึงพยุงเขาแล้วเดินไปพลางเอ่ยถามว่า “ท่านปู่ ผู้ที่เอ่ยวาจาผู้นั้นคือใครกันหรือ”
“นั่นคือท่านปู่รองของข้า เป็นพี่ชายของท่านปู่ข้า ท่านดีกับพวกเราอย่างยิ่งมาโดยตลอด ตอนนั้นข้ายังเล็กอยู่ แต่ก็ยังจำที่เขาดูแลเอาใจใส่พวกเราได้” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยระลึกความหลัง “ในตอนนั้นพวกเราถูกจับตัวแล้วดิ้นรนหลบหนี แต่กลับพบกับการซุ่มโจมตีเข้า ก็เป็นท่านปู่รองนี่แหละที่ช่วยพวกเราเอาไว้ ปล่อยพวกเราออกมา”
“หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ท่านปู่รองไม่มีลูกหลาน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านปู่ของข้า ต่อมาเมื่อท่านปู่ข้าสิ้นลมไปแล้วก็เป็นท่านปู่รองที่คอยดูแลพวกเรามาโดยตลอด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขา ก็คงไม่มีพวกเราในวันนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางอยู่มาจนท่านพ่อและท่านลุงท่านอาของข้าเติบใหญ่ขึ้นมาได้หรอก” ซือหม่าเลี่ยเอ่ยอย่างซึ้งใจ
“โยวเย่ว์ พวกเจ้าออกมาได้อย่างไรกัน”
“เจ้าคำรามน้อยช่วยน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
พวกซือหม่าเลี่ยถามคำถามเธอมาตลอดทาง เธอได้เล่าเรื่องหลังจากที่พวกเขาจากมาให้ฟังอย่างคร่าวๆ เมื่อได้ยินว่าตระกูลน่าหลานและขุมอำนาจอื่นๆ พยายามจะแบ่งแยกตระกูลซือหม่า พวกเขาก็เดือดดาลไม่น้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์ปลอบมิให้พวกเขาร้อนใจ หลังจากนั้นจึงเล่าว่าแก้ไขวิกฤติได้อย่างไร แต่มิได้พูดถึงเรื่องที่ตนสำเร็จเป็นนักฝึกสัตว์อสูร หากแต่บอกว่าให้เว่ยจือฉีช่วยติดต่อสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรให้
“ลำบากเจ้าแล้ว…” ซือหม่าเลี่ยลูบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “นั่นคือบ้านของพวกเรา การปกป้องมันเอาไว้เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เป็นท่านปู่กับพี่ๆ ที่ปกป้องข้ามาโดยตลอด สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงแค่ปกป้องให้บ้านของพวกเรายังคงอยู่เท่านั้น”
เมื่อเห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์ ได้ยินความอบอุ่นในน้ำเสียงเธอยามเอ่ยถึงบ้านแล้วทุกคนก็เกิดความรู้สึกสับสนอยู่บ้าง ผู้ที่ตัดสินใจฆ่าอย่างเฉียบขาดเมื่อครู่หรือผู้ที่อ่อนโยนจิตใจดีผู้นี้กันแน่ที่เป็นตัวจริงของเธอ
ระหว่างที่คุยกัน พวกเขาก็มาถึงภูเขาด้านหลัง เมื่อนึกถึงว่าภายในทิวเขาอันใหญ่โตเช่นนี้ มีบุคคลระดับราชันวิญญาณขึ้นไปอาศัยอยู่ไม่รู้ตั้งมากมายเพียงใด สามารถเห็นพื้นฐานของขุมอำนาจชั้นหนึ่งได้จากที่นี่
ซือหม่าหลินไม่พูดอะไรตลอดทาง เพียงแต่ฟังซือหม่าโยวเย่ว์เล่าว่าพวกเขาผ่านเวลาสามปีมาได้อย่างไร แล้วลอบชื่นชมอยู่ในใจว่ามิน่าเล่าเขาจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะได้ฝึกประสบการณ์เฉียดตายมานี่เอง
เขาพาทุกคนมาถึงครึ่งทางขึ้นสู่ยอดเขา มีถ้ำแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางดงเถาวัลย์ เขาเดินก้มหัวนำเข้าไป
คนด้านหลังเดินตามกันเข้ามา พอผ่านทางเดินสั้นๆ มาแล้ว พวกเขาก็มาถึงยังห้องศิลาแห่งหนึ่ง บนฟูกของเตียงศิลามีชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่
“คารวะท่านปู่รอง” ซือหม่าเลี่ยและซือหม่าหลินทำความเคารพคนผู้นั้นพร้อมกัน
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ค้อมกายคารวะเช่นกัน มีเพียงเจ้าไก่ฟ้าเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
“เลี่ยเอ๋อร์” ชายชรามองซือหม่าเลี่ย นัยน์ตาอันสงบนิ่งราวบ่อน้ำอันไร้คลื่นทอประกายยิ้มจางๆ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของเขาไม่เหมือนกับบุคคลระดับจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดทั่วไป เขามิได้เลือกที่จะเยาว์วัยไปตลอดกาล
“ท่านปู่รอง ข้ากลับมาแล้วขอรับ” ซือหม่าเลี่ยคุกเข่าลงไปทำความเคารพผู้อาวุโสที่ตนเคารพรักมากที่สุดในตอนนั้น
พวกซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่คนเห็นเช่นนี้จึงคุกเข่าลงไปด้วยเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“ตอนนี้สายตระกูลของพวกเจ้าก็เหลือเพียงแค่พวกเจ้าไม่กี่คนนี้เท่านั้นแล้วสินะ” ชายชราเอ่ยปากแล้วยกมือ ลำแสงหลายสายก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา
“ท่านปู่” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนออกไปอย่างเป็นกังวล
“อย่ากังวลใจไปเลย ข้าทำเพื่อคลายผนึกของพวกเขาน่ะ” ท่านบรรพชนพูด
ซือหม่าหลินก็เอ่ยอธิบายว่า “ผนึกของตระกูลซือหม่าเรา มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่จะคลายผนึกได้ ดังนั้นต่อให้เจ้าพาพวกเขาหนีไป ก็มิอาจทำให้พวกเขาฟื้นฟูพลังยุทธ์ได้อยู่ดี”
“พวกเจ้าหลอมแปรฤทธิ์ยาในร่างกายกันก่อนเถิด” ท่านบรรพชนพูด หลังจากนั้นจึงเอ่ยกับซือหม่าหลินว่า “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังทีสิ โอย… ข้าแก่แล้ว เข้ามาคราวนี้ก็ต้องหลายปีอย่างแน่นอนเลยทีเดียว”
ซือหม่าหลินเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ตอนไปที่อาณาจักรตงเฉินเมื่อสามปีก่อน ส่วนพวกซือหม่าเลี่ยก็ต้องปรับตัวกับความรู้สึกที่ได้ครอบครองปราณวิญญาณใหม่ หลังจากนั้นจึงโคจรปราณวิญญาณเพื่อเร่งยาวิเศษฟื้นฟูปราณให้ออกฤทธิ์
หลังจากเข้ามาแล้วเจ้าไก่ฟ้าก็มิได้เอ่ยวาจามาโดยตลอด ขณะนี้ก็ยังคงยืนเงียบๆ อยู่ มิใช่ว่าท่านบรรพชนไม่อยากให้ความสนใจเขา เพียงแต่พอเขาเข้ามาแล้วก็ทำตัวเหมือนว่าข้าไม่มีตัวตนอยู่ ท่านบรรพชนจึงไม่อยากลากเขาเข้ามาพูดคุยอะไรด้วย
ซือหม่าหลินเล่าเรื่องให้ฟัง พอจบแล้วท่านบรรพชนจึงเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความผิด ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องฆ่าพวกเขาเลยนี่ ถึงอย่างไรก็เป็นคนตระกูลเดียวกันนะ”
“ไม่ต้องเลย ข้าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับท่านปู่และพวกพี่ๆ เท่านั้น มิได้ข้องเกี่ยวกับคนเหล่านั้นเสียหน่อย ถ้าหากท่านปู่ยอมกราบบรรพบุรุษ จึงจะนับรวมพวกท่านเป็นครอบครัว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่พวกท่านจัดว่าพวกท่านปู่เป็นคนทรยศมิใช่หรือ ดังนั้นพวกเราคงมิอาจเป็นคนครอบครัวเดียวกันได้หรอกกระมัง”
“เรื่องราวในตอนนั้นสับสนคลุมเครือจริงๆ ถ้าจะรื้อฟื้นเรื่องราวในตอนนั้นก็จำเป็นต้องรักษาน้องเล็กให้หายดีก่อนจึงจะใช้ได้” ท่านบรรพชนพูด
“ข้าว่าข้าจะลองดู แต่พวกเขากลับยืนกรานว่าไม่ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ายังนึกสงสัยว่าพวกเขาคิดจะลอบทำร้ายเขาหรือไม่ เพื่อมิให้พวกท่านปู่ข้าล้างมลทินได้ไปชั่วชีวิต”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” ท่านบรรพชนพูด “พวกเราเสาะหาผลอสรพิษทองคำและไขกระดูกมังกรดินมาตั้งแต่หลายปีก่อน มิใช่เพื่อทำให้เจ้าต้องลำบากหรอกนะ”
“นอกจากนี้คนทั่วไปก็ไม่อาจทำร้ายท่านปู่เล็กได้ด้วย” ซือหม่าหลินพูด
“เพราะเหตุใดหรือ”
“ถึงแม้ว่าสติรับรู้ของท่านปู่เล็กจะไม่ปกติแล้ว แต่พื้นฐานของเขาสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ตัวเขาโง่งมไปแล้วเท่านั้น ถ้าหากมีคนหมายจะทำร้ายเขา เขาจะต้องเอาชีวิตคนผู้นั้นได้อย่างแน่นอน!” ซือหม่าหลินเอ่ยตอบ
“เอาละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อยแล้วกัน อาจรักษาเขาจนหายก็ได้”
……………………………….