ตั้งแต่วันแรกเป็นต้นมา ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับก็สว่างวาบออกมาจากเรือนแห่งนี้ตลอด ในหนึ่งวันจะมองเห็นได้หลายครั้ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในตระกูลซือหม่ามาก่อนเลย
ถึงแม้ว่าปู่หลานซือหม่าเลี่ยทั้งห้าคนจะถูกผนึกเอาไว้จนไม่อาจใช้ปราณวิญญาณได้ แต่ตลอดมาก็มิได้ละทิ้งการดูดซับเลย เพียงแต่หลังจากที่ปราณวิญญาณเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วก็ได้แต่กองกันไว้เท่านั้น มิได้ปรับปรุงการฝึกฝนเลย
แต่เมื่อคลายผนึกออกในวันนี้ พี่น้องซือหม่าโยวหมิงทั้งสี่ก็พัฒนาขึ้นไปหลายขั้นจนเข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณกันหมด แม้กระทั่งซือหม่าเลี่ยก็ยังเพิ่มขึ้นไประดับขั้นหนึ่ง สำเร็จเป็นระดับราชันวิญญาณขั้นสาม
จากนั้นพวกเขาก็กินยาวิเศษร้อยโคจรที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ลงไป พอชำระเอ็นตัดไขกระดูกแล้วก็ยังพุ่งขึ้นไปอีกสองระดับ ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวฉีเข้าสู่ระดับขั้นราชาวิญญาณเลยทีเดียว
ส่วนซือหม่าเลี่ยก็เลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณขั้นสี่
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ล่วงรู้เรื่องราวภายนอก เธอให้เจ้าคำรามน้อยติดตั้งข่ายมนตร์เพื่อแยกภายในและภายนอกห้องออกจากกัน เพื่อมิให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายระหว่างการรักษา
ตอนแรกเธอฝังเข็มให้ซือหม่าจวิ้นก่อน หลังจากนั้นจึงเก็บเครื่องยาฟื้นฟูวิญญาณที่ซือหม่าหลินส่งมา หยิบออกมาเพียงแค่สองสามชนิดเท่านั้น แล้วทำการกลั่นเอาสารสำคัญออกมาหลอมเป็นยาวิเศษก่อนจะให้ซือหม่าจวิ้นกินลงไป
จากนั้นเธอจึงหยิบผลอสรพิษทองคำออกมาแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หลังจากทำการกลั่นสารสำคัญออกมาแล้วจึงให้เขาดื่ม
ไม่เสียแรงที่ซือหม่าจวิ้นเป็นยอดฝีมือระดับจ้าววิญญาณ เครื่องยาเหล่านั้นถูกเขาผลาญไปหมดภายในสองวัน ในขณะที่คนทั่วไปนั้นหากไม่ถึงสิบวันครึ่งเดือน ก็อย่าหวังเลยว่าจะฟื้นขึ้นมาได้
เมื่อถึงวันที่สาม ซือหม่าโยวเย่ว์ก็แบ่งน้ำทิพย์วิญญาณออกมาสองหยดแล้วหยดลงในปากซือหม่าจวิ้น หลังจากนั้นจึงค่อยถอนเข็มเงินออกมาจากร่างของเขา
ซือหม่าจวิ้นลืมตามองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่งโดยมิได้พูดอะไร ก่อนจะหลับตาลงเพื่อสลายพลังมหาศาลอีกครั้ง
สายตาที่มองซือหม่าโยวเย่ว์นั้นไม่เหมือนยามปกติแล้ว รู้ว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งจะต้องฟื้นฟูได้สำเร็จแน่ เธอจึงลุกขึ้นออกจากห้องไป
“โยวเย่ว์ เรียบร้อยแล้วหรือ” เมื่อพวกเว่ยจือฉีเฝ้าอยู่ข้างนอกเห็นเธอออกมาจึงถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “พอเขาฟื้นขึ้นมาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ แล้วพวกท่านปู่ข้าเล่า”
“สองวันมานี้พวกเขาเลื่อนระดับกันอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว เพิ่งหยุดลงตอนเช้าวันนี้เอง ตอนนี้กำลังตกตะกอนพื้นฐานการฝึกอยู่น่ะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เช่นนี้ก็ดี”
พวกเขารออยู่ในเรือนหนึ่งวัน พูดคุยกันเรื่องเกี่ยวกับอนาคต
“โยวเย่ว์ ถ้าหากพวกท่านปู่เจ้าอยากกลับมาอยู่ที่ตระกูล แล้วเจ้าเล่า”
“ข้าย่อมติดตามพวกท่านปู่ไปอยู่แล้ว ถ้าหากพวกเขาตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าก็จะอยู่ด้วยเช่นกัน ถ้าหากพวกเขาอยากไปจากที่นี่ ข้าก็จะจากไปด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตลอดหลายปีมานี้พวกเราไม่เคยได้มีสภาพแวดล้อมที่สงบนิ่งสำหรับการฝึกยุทธ์เลย ถ้าหากเป็นไปได้ พวกเจ้าก็อยู่เสียที่นี่ สภาพแวดล้อมที่สงบนั้นเหมาะสมสำหรับการฝึกยุทธ์มากกว่านะ”
“ข้าก็ยังอยากอยู่กับเจ้าอยู่ดี” เจ้าอ้วนชวีพูด
ตลอดหลายปีมานี้เขาเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเหมือนกับกระดูกสันหลังไปเสียแล้ว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ไม่มีเธอ เขาก็รู้สึกว่าตนยังมิได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ดีพอ
“ถ้าหากเจ้าเลือกอยู่ที่นี่ต่อ พวกเราจะหาซื้อเรือนแถวนี้สักหลังก็ได้ ถ้าหากพวกเจ้าต้องการจะไป พวกเราก็จะจากไปพร้อมกับพวกเจ้าด้วย” เว่ยจือฉีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ดูก่อนแล้วกันว่าเรื่องราวจะเป็นไปในทิศทางใด”
เวลาหนึ่งวันผ่านไปในชั่วพริบตา วันรุ่งขึ้น เมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องลงมา ซือหม่าจวิ้นก็เดินออกมาจากในห้อง
ใบหน้าของเขาในตอนนี้ไม่มีความไร้เดียงสาอยู่อีกต่อไปแล้ว แววตาก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้วจริงๆ
พอพวกซือหม่าหลินที่รอคอยอยู่ก่อนแล้วเห็นเขา ต่างพากันเข้ามาทำความเคารพ “คารวะท่านปู่เล็ก”
ซือหม่าจวิ้นทำหน้านิ่วแล้วกวาดสายตามองผู้คนในที่นั้นรอบหนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าบ้าซือหม่าชางผู้นั้นเล่า”
“ท่านปู่เล็ก ท่านปู่ห้าไปยังปรโลกหลายปีแล้วขอรับ” ซือหม่าหลินพูด
“ตายแล้วหรือ” ซือหม่าจวิ้นจ้องมองซือหม่าหลิน เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนเหล่านั้นมิได้หลอกลวงตนจึงถามอีกว่า “คนรุ่นหลังของเขาเล่า”
“ซือหม่าข่ายและซือหม่าอี้ก็ตายกันหมดแล้ว ส่วนซือหม่าเค่ออยู่ในเรือนของตน ข้าได้ให้คนไปเรียกเขามาแล้วขอรับ” ซือหม่าหลินเอ่ยตอบ
ขณะนี้เองคนเฝ้ายามคนหนึ่งก็เข้ามาบอกว่าพวกซือหม่าเค่อและซือหม่าโยวอีมิได้อยู่ที่ตระกูลซือหม่าแล้ว
“เจ้าแน่ใจหรือ” ซือหม่าหลินถาม
“ขอรับ คนที่เฝ้ายามบอกว่าเห็นพวกเขาออกไปแล้วมิได้กลับเข้ามาอีกเลย อีกทั้งพวกเขายังเก็บข้าวของไปจนหมดอีกด้วยขอรับ” คนเฝ้ายามเอ่ยตอบ
“เฮอะ นี่เป็นเพราะรู้ว่าข้าฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ก็จะปกปิดเรื่องเหล่านั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้วอย่างนั้นสินะ” ซือหม่าจวิ้นเอ่ยพลางส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น
“ท่านปู่เล็ก ท่านจะบอกว่าผู้ที่ทำร้ายท่านในตอนนั้นก็คือ…”
“คือเจ้าคนชั่วซือหม่าชางผู้นั้นนั่นแหละ!” ซือหม่าจวิ้นเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตอนนั้นข้าไปหาบิดาข้า แต่กลับเห็นพวกเขากำลังวางยาพิษบิดาข้าจนเขาสิ้นใจพอดี ทั้งยังทำร้ายจนข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้าหากมิใช่เพราะมีคนเข้ามาได้ทันเวลา ข้าคงถูกเขาทำร้ายจนตายไปแล้ว”
“เรื่องนั้นเป็นฝีมือผู้อื่นจริงๆ มิใช่ฝีมือพวกท่านอาสี่” ซือหม่าหลินพูด
“เจ้าว่าเป็นฝีมือใคร” ซือหม่าจวิ้นจ้องมองซือหม่าหลิน
ซือหม่าหลินเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังรอบหนึ่ง หลังจากซือหม่าจวิ้นได้ฟังแล้วจึงหลับตาอย่างทุกข์ระทมก่อนจะเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกซือหม่าชางจะทำให้เรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้ เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเลี่ยเลย บิดาข้าเป็นผู้ส่งต่อเคล็ดแยกอัคคีพิโรธให้กับบิดาของเขา”
“มิน่าเล่าพวกซือหม่าเค่อถึงได้บอกให้จัดการพวกพี่เลี่ยในทันทีมาโดยตลอด ที่แท้ก็เพราะกลัวเรื่องราวจะเปิดเผยนี่เอง” ซือหม่าชิงพูด “ตอนนี้เห็นท่านปู่เล็กกลับเป็นปกติแล้วจึงหลบหนีไปเพราะกลัวความผิด”
“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ไปจับตัวพวกซือหม่าเค่อมาให้ได้” ซือหม่าหลินออกคำสั่ง
“เช่นนั้นพวกท่านปู่ข้าก็มิใช่คนทรยศแล้วสินะ” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังออกมาจากด้านหลังฝูงชน ทุกคนจึงค่อยนึกถึงผู้ที่ถูกเข้าใจผิดมากว่าร้อยปีขึ้นมาได้
ซือหม่าชิงมองซือหม่าเลี่ยพร้อมรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็ต้องมิใช่อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้ความจริง แล้วจู่ๆ ท่านทวดของเจ้าก็ยังกระหายในเคล็ดแยกอัคคีพิโรธขึ้นมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังทิ้งป้ายหยกพกของเขาเอาไว้ในที่เกิดเหตุด้วย ดังนั้นทุกคนจึงได้เข้าใจผิดเช่นนี้”
“เลี่ย จากนี้ไปพวกเจ้าก็กลับมาที่ตระกูลสิ” ซือหม่าหลินพูด “ที่ผ่านมาตระกูลทำผิดต่อพวกเจ้า ตอนนี้สายตระกูลของพวกเจ้าก็เหลือแค่พวกเจ้าไม่กี่คนเท่านั้น ต่อจากนี้ไปตระกูลจะชดเชยให้กับพวกเจ้าเอง”
“พวกเจ้าจัดการเรื่องราวในภายหน้ากันไปก่อนนะ ข้าจะไปพบผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของตระกูลสักหน่อย” ซือหม่าจวิ้นมองไปทางภูเขาด้านหลัง
ดูเหมือนว่านอกจากท่านบรรพชนผู้นั้นแล้ว ที่นี่คงจะยังมีผู้อาวุโสอยู่อีกไม่น้อย
“กุ๊กๆๆ” ไก่ตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากกรงแล้วเดินอยู่ในลานบ้าน เมื่อเห็นผู้คนมากมายเช่นนี้ก็ตกใจจนวิ่งเตลิดออกไป
ซือหม่าจวิ้นเห็นสัตว์ต่างๆ มากมายเต็มลานบ้านก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “หาคนมาเก็บกวาดสัตว์เหล่านี้ให้เรียบร้อยที เลี่ย เจ้าไปพบพวกเขาเป็นเพื่อนข้าที สำหรับเด็กรุ่นหลัง ตอนนี้ก็ให้อยู่ที่เรือนของข้าชั่วคราวก่อนแล้วกัน ทุกคนไปจัดการธุระของตัวเองเถิด”
พอพูดจบเขาก็เดินนำซือหม่าเลี่ยออกไป ส่วนคนรุ่นชราของตระกูลก็ออกไปกันหมด ภายในลานบ้านเหลืออยู่เพียงแค่พวกซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้น
“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่” ซือหม่าโยวเย่ว์มายังข้างกายพวกซือหม่าโยวหมิง เพราะไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกมา ซือหม่าจวิ้นก็ออกมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาพี่น้องจึงยังมิได้พูดคุยกันให้ดีๆ เลย
“โยวเย่ว์ คราวนี้ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆ นะ!” ซือหม่าโยวเล่อตบศีรษะเธอเบาๆ พลางพูดอย่างตื่นเต้น
“พวกพี่ๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ดีใจมากเช่นกัน
เธอเห็นว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของพวกเขาหายสนิทดีแล้ว หลังผ่านการชำระเอ็นตัดไขกระดูกในครั้งนี้ พลังยุทธ์ของพวกเขาก็เพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย ความกังวลใจก่อนหน้านี้จึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ในขณะนี้เอง เจ้าไก่ฟ้าก็ลงมาจากข้างบนแล้วจ้องมองเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบผลอสรพิษทองคำผลหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่ควรถาม แต่ที่เจ้าต้องการของสิ่งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของเจ้าก่อนหน้านี้หรือไม่”
…………………………………………….