ซือหม่าโยวหลินพรั่นพรึงกับการที่ผึ้งน้ำตาลทั้งฝูงหายวับไป แต่เขาก็มิได้ถามอะไร เพียงแค่พูดอย่างเรียบๆ ว่า “พวกเรากลับกันตอนนี้เลยหรือไม่”
“ไม่ล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเรารอกันก่อน หลังจากนั้นค่อยกลับไปเสาะหาหญ้าจันทร์รำเพยและดอกกระบองเพชรอัสดง หวังว่าจะไม่ถูกสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นกินเรียบไปเสียก่อน”
“เช่นนั้นหากพวกเรารอต่อไป สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็น่าจะกลับไปกันหมดแล้วสินะ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“อื้ม ใช่แล้ว”
พวกเขารออยู่บนภูเขาครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงขี่เจ้าวิหคน้อยไปยังหุบเขาแห่งนั้น
บนหุบเขายุ่งเหยิงไปหมด พงหญ้าถูกเหยียบย่ำจนแบนราบ ต้นไม้จำนวนไม่น้อยแตกหักกลางต้น ซึ่งเป็นผลจากการต่อสู้เมื่อครู่ทั้งสิ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์เสาะหาอยู่ในหุบเขาครู่หนึ่ง ปรากฏว่าหาพบเพียงแค่หญ้าจันทร์รำเพยที่ขาดวิ่นต้นหนึ่ง กับดอกกระบองเพชรอัสดงดอกเดียวเท่านั้น เพียงแต่ตัวดอกได้ฉีกขาดไปเสียแล้ว พอร่วงหล่นลงบนพื้นก็ถูกสัตว์อสูรวิเศษเหยียบย่ำจนสลายกลายเป็นเศษโคลน
“น่าเสียดายนัก” เธอหยิบหญ้าจันทร์รำเพยที่แทบจะไม่เหลือชีวิตขึ้นมาแล้วพูดพลางทอดถอนใจ
“พวกเราขยายอาณาเขตการค้นหาไปอีก อาจยังพอหาพบได้บ้างนะ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“ข้ารู้ว่าจะไปหาหญ้าที่ท่านต้องการได้จากที่ไหน” นางพญาผึ้งแดงถ่ายเสียงพูดออกมาในทันใด
“เจ้ารู้หรือ ที่ไหนเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ฝูงผึ้งของข้าไปเก็บน้ำผึ้งทั่วทุกหนแห่ง พวกเราย่อมรู้แน่นอนอยู่แล้วว่าที่ไหนที่มีมันอยู่” นางพญาผึ้งแดงพูด “ข้าจะให้พวกเขาพาพวกท่านไปก็แล้วกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกผึ้งน้ำตาลตัวหนึ่งออกมา พอผึ้งน้ำตาลตัวนั้นเห็นเธอจึงเอ่ยว่า “ข้าจะพาพวกท่านไปเอง”
พวกมันชอบใจกับสถานที่ที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมเอาไว้ให้พวกมันอย่างยิ่ง จึงชอบพอในตัวเธอขึ้นมา
และเนื่องจากซือหม่าโยวเย่ว์ทำพันธสัญญากับนางพญาผึ้งแดง จึงพลอยฟังคำพูดของผึ้งน้ำตาลเข้าใจไปด้วย
“ไปกันเถิด มันจะนำทางพวกเราไปหาหญ้าจันทร์รำเพยและดอกกระบองเพชรอัสดง” เธอเรียกซือหม่าโยวหลินมาแล้วเดินตามผึ้งน้ำตาลมุ่งหน้าออกไปจากหุบเขา
สถานที่ที่ผึ้งน้ำตาลพาพวกเขาไปนั้นไม่ไกลนัก แต่กลับหาได้ค่อนข้างยาก ลดเลี้ยวเข้าออกอยู่หลายรอบ จากนั้นจึงเข้าไปสู่หุบเขาอีกแห่งหนึ่ง
“ที่นี่มีดอกไม้ที่พวกท่านต้องการตามหาอยู่มากมายเลยทีเดียวล่ะ” ผึ้งน้ำตาลพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นผืนหญ้าจันทร์รำเพย และที่ตีนหน้าผาห่างออกไปก็มีดอกกระบองเพชรอัสดงดอกหนึ่งกำลังไหวเอนตามลม เธอลูบตัวผึ้งน้ำตาลพลางเอ่ยว่า “ขอบใจเจ้ามากนะ”
“หญ้าจันทร์รำเพยมากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีอายุมากกว่าหญ้าขาดวิ่นที่เห็นเมื่อครู่นี้เสียอีก” ซือหม่าโยวหลินพูด
“ที่นี่หาไม่ง่ายเลย อีกทั้งยังไม่มีสิ่งล้ำค่าอะไรอยู่เป็นพิเศษด้วย ดังนั้นสัตว์อสูรวิเศษทั่วไปคงไม่มาที่นี่กันหรอก” ผึ้งน้ำตาลพูด “นอกจากนี้เกาะแห่งนี้ยังห้ามเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้สัตว์อสูรวิเศษมาที่นี่น้อยลงไปอีก ก็มีแค่ผึ้งอย่างพวกเราที่มาที่นี่ตอนเก็บน้ำผึ้งเท่านั้น”
“ข้าเห็นว่าเกาะอื่นล้วนเหาะเหินเดินอากาศได้หมด แล้วเหตุใดที่นี่จึงทำมิได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไม่รู้สิ ท่านนางพญาเคยบอกว่าบนเกาะมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอยู่ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะมันนี่แหละที่ทำให้มิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้” ผึ้งน้ำตาลพูดพลางกระพือปีก
“สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นหรือ นางพญาผึ้งแดงมิได้บอกหรอกหรือว่าคือสิ่งใด” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวหลินแล้วเล่าสิ่งที่ผึ้งน้ำตาลบอกให้เขาฟัง ดูจากท่าทีของเขาแล้วก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“เปล่าเลย นางพญาแค่บอกให้พวกเราอย่าบินกันพร่ำเพรื่อ แค่เก็บน้ำผึ้งอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว” ผึ้งน้ำตาลพูด
“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บผึ้งน้ำตาลกลับเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “พวกเราเริ่มต้นเก็บสมุนไพรกันดีกว่านะ”
เธอมอบหีบหยกใบหนึ่งให้กับซือหม่าโยวหลินแล้วเอ่ยว่า “ข้าเก็บหญ้าจันทร์รำเพยเอง เจ้าไปเด็ดดอกกระบองเพชรอัสดงนั้นมาใส่ในหีบนี้เสีย”
ซือหม่าโยวหลินพยักหน้าแล้วรับหีบมาก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังหน้าผาแห่งนั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์คุกเข่าลงไปแล้วหยิบพลั่วอันเล็กออกมาเริ่มต้นขุดหญ้าจันทร์รำเพย
ที่นี่มีต้นที่อายุมากอยู่มากมาย ทำให้เธอสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
“เครื่องยาภายในเจดีย์วิญญาณมิได้มีอย่างไร้ที่สิ้นสุด จะต้องเก็บจากที่นี่ให้ดีๆ ล่ะ ไม่อย่างนั้นหากต้องใช้ขึ้นมาในภายหน้าก็อาจไม่มีแล้ว”
เพียงไม่นานซือหม่าโยวหลินก็ยกหีบกลับมาแล้วช่วยซือหม่าโยวเย่ว์ขุดหญ้าจันทร์รำเพย
หลังจากทั้งสองช่วยกันกวาดทุกอย่างจนเสร็จแล้วจึงขี่หลังเจ้าวิหคน้อยมุ่งหน้ากลับ ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากเบื้องล่างของเกาะ ในขณะเดียวกันนั้นทั้งสัตว์ปีกและสัตว์เดินเท้าบนเกาะต่างพากันวิ่งหนีชุลมุน บรรดานกต่างพากันบินถลาขึ้นสู่กลางอากาศ
ซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินประสานสายตากันปราดหนึ่งแล้วให้เจ้าวิหคน้อยเร่งความเร็วสูงสุด เพียงไม่นานก็กลับมาถึงค่ายพัก
“คุณชาย พวกท่านกลับมากันเสียที” เมื่อผู้อาวุโสใหญ่เห็นพวกเขากลับมาแล้วจึงค่อยคลายใจลง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เหตุใดสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นจึงหนีกันชุลมุนเลยเล่า” มีคนถาม
“ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายอันตรายขุมหนึ่งได้ พวกเรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่า ข้าสังหรณ์ใจว่าถ้าหากยังไม่ไป อาจมีอันตรายเกิดขึ้นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่หญ้าจันทร์รำเพยกับดอกกระบองเพชรอัสดง…”
“พวกเราเก็บกันมาเรียบร้อยหมดแล้ว ตอนนี้มิอาจชักช้าได้ ขึ้นมาบนหลังเจ้าวิหคน้อยไปจากที่นี่กันดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ผู้อาวุโสใหญ่มองซือหม่าโยวหลินปราดหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้าด้วย จึงเอ่ยว่า “ขึ้นไปบนหลังสัตว์อสูรเทพกันก่อน พวกเราจะกลับไปที่เรือเดี๋ยวนี้”
ทหารยามต่างก็สัมผัสถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นขุมนั้นได้ จึงพากันกระโดดขึ้นไปบนหลังเจ้าวิหคน้อย ปีกอันมโหฬารของเจ้าวิหคน้อยขยับคราหนึ่งก็พาตัวทุกคนบินทะยานไปยังบริเวณที่เรือจอดทอดสมออยู่
สัตว์อสูรวิเศษบินได้จำนวนมากต่างก็สัมผัสได้ถึงอันตราย จึงพากันขยับปีกบินหนีไปตัวแล้วตัวเล่า แต่ความเร็วไม่มากพอ จึงถูกเจ้าวิหคน้อยทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
พวกเขาบินมาถึงริมทะเล ก็เห็นเรือที่จอดอยู่ริมอ่าว
“มีบางอย่างผิดปกติ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสัตว์อสูรวิเศษบินได้ที่อยู่เบื้องหน้าดูเหมือนจะไม่ขยับ จึงเอ่ยขึ้น
“เจ้านาย เบื้องหน้ามีบางอย่างขวางเอาไว้ ข้าออกไปไม่ได้” เจ้าวิหคน้อยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์รวบรวมปราณวิญญาณแล้วซัดออกไป การโจมตีของเธอดูเหมือนจะปะทะกับบางสิ่งบางอย่างก่อนจะหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนจึงพากันตกใจจนหน้าถอดสี
“ข้าเอง!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนเสียงดังแล้วรวบรวมปราณวิญญาณโจมตีใส่ ปรากฏว่าผลลัพธ์ก็คือหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
“นี่มันสถานการณ์อันใดกัน” มีคนตะโกนเสียงดัง
ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เจ้าวิหคน้อยร่อนลงสู่พื้น เธอมองดูสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างแล้วเรียกเจ้าคำรามน้อยออกมาก่อนจะโยนมันออกไปพลางพูดว่า “เจ้าไปลองดูหน่อยสิ”
“โอ๊ยๆ เย่ว์เย่ว์ ทำบ้าอะไรของเจ้าน่ะ!” เจ้าคำรามน้อยที่เพิ่งออกมา ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวร้องโอดโอย
“พวกเราถูกบางสิ่งบางอย่างขังเอาไว้ในนี้ เจ้าไปลองดูหน่อยสิว่าเจ้าพอจะมีวิธีอะไรบ้างหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ็บจะตายอยู่แล้ว!” เจ้าคำรามน้อยกระเด็นออกไปไกลพอสมควรก่อนร่วงลงสู่พื้น มันถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์อย่างคาดโทษ
แต่ทันใดนั้นมันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายขุมนั้นจึงรีบดีดตัวขึ้นมา “แย่แล้ว นี่มันเรื่องอันใดกัน กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นอะไรเช่นนี้!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าคำรามน้อยทะยานออกไปก็รู้แล้วว่าของสิ่งนั้นมิอาจกีดขวางมันเอาไว้ได้ จึงเอ่ยเร่งว่า “เจ้ารีบพาพวกเราออกไปเร็วเข้าสิ!”
“อืม” ขาเล็กสั้นป้อมทั้งสี่ของเจ้าคำรามน้อยวิ่งเข้ามา ให้อย่างไรก็มิอาจวิ่งเร็วได้ ครู่ใหญ่จึงมาถึง มันยื่นอุ้งเท้าเข้าไปใกล้บริเวณผิวดินแล้วทำเป็นวงกลมสีฟ้าขึ้นมา “อีกฝ่ายแข็งแกร่งพอตัวเลย ตอนนี้ข้าทำได้ใหญ่ที่สุดแค่นี้แหละ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เคยเห็นวงแสงสีฟ้าเช่นนี้มาก่อน เธอย่อตัวให้เตี้ยลงแล้วออกไป
คนของตระกูลซือหม่าพากันย่อตัวลงแล้วออกไปจากวงแสงนั้นโดยไม่ลังเล
“ขึ้นเรือ!” ผู้อาวุโสใหญ่ออกมาเป็นคนสุดท้ายแล้วออกคำสั่ง
คนบนเรือเห็นความผิดปกติทางนี้อยู่ก่อนแล้ว พอเห็นพวกเขาขึ้นเรือกันครบหมดแล้วจึงรีบออกเรือ
เมื่อเรือแล่นออกจากชายฝั่ง คนของตระกูลซือหม่ายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ จึงเกิดความรู้สึกราวกับเพิ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติ
“พวกเจ้าว่านั่นคือสิ่งใดหรือ!” ทหารยามคนหนึ่งตะโกนพลางชี้ไปยังเกาะลืมกังวล ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจ
……………………………………………..