ทุกคนต่างพากันมองไป ก็เห็นเพียงว่าทั้งเกาะเล็กกำลังสั่นสะเทือน สัตว์อสูรวิเศษคำรามกึกก้อง เสียงคำรามทุกเสียงล้วนแฝงความหวาดหวั่นและความสิ้นหวังเอาไว้
สัตว์อสูรวิเศษต่างหลบหนีกันชุลมุนไปทั่วเกาะ แต่ทุกตัวล้วนไม่สามารถหนีออกมาจากเกาะได้ กรงอันไร้รูปร่างกักขังสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเอาไว้ภายในนั้น
ทันใดนั้นบริเวณกลางเกาะก็ปล่อยลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมา พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วดูดกลืนสรรพชีวิตทั้งหมดบนเกาะเข้าไป แม้กระทั่งสัตว์อสูรเทพระดับจ้าววิญญาณก็ยังมิอาจหนีเอาชีวิตรอดได้
“ลำแสงนั่นช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!”
“กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นก่อนหน้านี้ก็คงจะออกมาจากสิ่งนี้กระมัง”
“ที่แท้นั่นคือสิ่งใดกันแน่ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตายกันไปหมดแล้วหรือ”
“ถ้าหากเมื่อครู่พวกเราอยู่ที่นั่นด้วย…”
ทุกคนหัวใจสั่นสะท้าน เคราะห์ดีที่ซือหม่าโยวเย่ว์พาพวกเขาออกมา เธอได้ช่วยชีวิตของทุกคนเอาไว้!
“ที่แท้นั่นคือสิ่งใดกันแน่” ซือหม่าโยวหลานถามอย่างหวาดหวั่น
ซือหม่าโยวหลินเองก็มีสีหน้าหวาดหวั่นเช่นกัน เขาพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็มิใช่สิ่งที่พวกเราจะรับมือด้วยได้เลย”
เจ้าคำรามน้อยมองดูลำแสงสายนั้นแล้วปั่นป่วนคลุ้มคลั่งเป็นอย่างยิ่ง มันกระโจนออกมาจากอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วคำรามใส่เกาะเล็กแห่งนั้นคราหนึ่ง
“โฮก…”
ลำแสงสายนั้นคล้ายจะหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ดูดกลืนสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสได้ถึงความไม่สงบและคลุ้มคลั่งของเจ้าคำรามน้อย จึงเก็บตัวมันเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนเข้าใกล้เกาะแห่งนี้จึงเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเป็นนกขนาดมโหฬารตัวหนึ่ง
“เจ้าไก่ฟ้าหรือ!”
เจ้าไก่ฟ้าร่อนลงบนเรือพลางมองดูเธอแล้วเบนสายตาไปยังเกาะเล็กด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัวบินทะยานขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะปะทะเข้าใส่ลำแสงสายนั้นอย่างรุนแรง เพราะลำแสงสีดำนั้นดูคล้ายจะแผ่ขยายตัวออกมา
ทุกคนล้วนเกิดลางสังหรณ์ว่าถ้าหากถูกลำแสงสีดำกวาดโดน ต่อให้พวกเขาอยู่ด้านนอกก็ยังอาจถูกกวาดเข้าไปได้
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นการโจมตีของเจ้าไก่ฟ้าทะลุผ่านสิ่งกีดขวางแล้วปะทะเข้ากับลำแสงสีดำนั้น ลำแสงสีดำสายนั้นคล้ายจะสัมผัสถึงอันตรายได้จึงเปลี่ยนทิศทางในทันที มาโจมตีเปลวเพลิงของเจ้าไก่ฟ้าแทน
“ปัง…”
ทุกคนรู้สึกได้ว่าฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือนไปหมด ถ้าหากปะทะกับการโจมตีเช่นนี้เข้า คาดว่าคงจะได้ไปพบท่านพญายมทันที!
“แข็งแกร่งเหลือเกิน…” ผ่านไปเนิ่นนานจึงมีคนเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา
หลังจากที่ลำแสงสายนั้นปะทะกับเจ้าไก่ฟ้าแล้วจึงค่อยๆ อ่อนแอลงไป จากนั้นจึงค่อยๆ หดกลับเข้าไปในเกาะแล้วหายลับไป คล้ายกับว่าเหตุการณ์อันน่าหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเลย
ผู้คนบนเรือจึงค่อยรู้สึกว่ากลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นที่กดทับจิตใจขุมนั้นเลือนหายไป จึงหายใจได้อย่างเต็มปอดเสียที
“ลำแสงสีดำสลายตัวไปแล้ว”
“เมื่อครู่ข้ารู้สึกราวกับเทพแห่งความตายกำลังโบกมือเรียกข้าเลย”
“โชคดีที่เขามาทัน มิฉะนั้นวันนี้พวกเราคงจบชีวิตอยู่ที่นี่แล้วล่ะ”
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต” ผู้อาวุโสใหญ่นำคนบนเรือมาคารวะขอบคุณ
เจ้าไก่ฟ้าพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ออกเรือ ไปจากที่นี่ได้แล้ว”
“ขอรับ” ผู้อาวุโสใหญ่ให้คนออกเรือในทันที ไปจากเกาะด้วยความเร็วสูงสุด
คนอื่นๆ ล้วนออกไปจากเกาะ ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าไก่ฟ้าพลางเอ่ยว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“พอข้ากลับไปแล้วได้ยินว่าเจ้ามายังเกาะลืมกังวลน่ะสิ” เจ้าไก่ฟ้าพูด “ข้าเคยบอกว่าข้าจะคอยปกป้องเจ้าตอนเจ้าอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ พูดไว้แล้วย่อมต้องทำให้ได้อย่างที่พูดสิ”
สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือ ตอนที่เขาได้ยินว่าพวกเธอมายังเกาะแห่งนี้ ก็แทบจะพุ่งตัวมาที่นี่ในทันที คิดไม่ถึงว่ามาถึงแล้วจะได้เห็นเจ้านั่นออกมาพอดี
“เจ้ามาที่นี่เพราะเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าไก่ฟ้าพลางยิ้มตาหยี
“หลงตัวเองนัก” เจ้าไก่ฟ้าตอบเธอ
“ข้าหลงตัวเองที่ไหนกัน เป็นห่วงข้าก็เป็นห่วงสิ มีอะไรน่าอายกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปคว้าข้อมือของเจ้าไก่ฟ้าอย่างหน้าด้านหน้าทน ไม่กลัวเกรงเขาเลยแม้แต่น้อย
ผู้คนบนเรือเห็นเธอสนิทสนมกับสัตว์อสูรเหนือเทพเช่นนี้ก็พากันอิจฉาไม่น้อย
เดิมทีตัวเองก็มีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีความสัมพันธ์อันดีถึงเพียงนี้กับสัตว์อสูรเหนือเทพอีกด้วย ช่างน่าอิจฉาตาร้อนเหลือเกิน!
“เจ้าไก่ฟ้า คราวก่อนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บก็เพราะมาที่นี่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“อืม”
“นางพญาผึ้งแดงบอกว่าข้างล่างมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคือสิ่งใด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เจ้าไก่ฟ้าส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าได้รับความช่วยเหลือจากสหาย จึงมาที่นี่เพื่อรับตัวเด็กรุ่นหลังของเขาแล้วพบกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่างนั่นเข้า ข้าสู้มันไม่ได้เลย”
“แม้กระทั่งเจ้าก็ยังเอาชนะมันมิได้เลยหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์สูดหายใจ
“มันน่าจะถูกสะกดเอาไว้ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงเฉือนเอาชนะมันได้เล็กน้อย ถ้าหากปะทะกันขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก” เจ้าไก่ฟ้าพูด
“น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหน้าอกด้วยสีหน้าท่าทางหวาดหวั่น
เพียงแต่ว่าซือหม่าโยวหลินมิได้เห็นแววหวั่นกลัวในดวงตาของเธอเลย เขาเชื่อว่าต่อให้วันนี้เจ้าไก่ฟ้ามิได้มา เธอก็คงไม่เป็นไรอยู่ดี
“เจ้าได้ตัวนางพญาผึ้งแดงมาแล้วหรือ” เจ้าไก่ฟ้าถาม
“ถูกต้อง! ข้าโชคดีพอตัวเลยละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เจ้าไก่ฟ้าพยักหน้า เขาไม่ได้ปัดมือเธอทิ้งแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าในเกาะคราวก่อนพบว่านางพญาผึ้งน้ำตาลกำลังวิวัฒน์ร่างอยู่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้ตัวมันมาจนได้”
“เรียกได้ว่ามีชะตาต้องกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ
เจ้าไก่ฟ้าหัวเราะโดยไม่พูดอะไร
เธอช่างโชคดีอย่างยิ่ง โชคดีอย่างไม่ขาดสาย โดยทั่วไปแล้วคนเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นมาได้ถูกที่ถูกเวลา
เขามองไปยังทิศทางของเกาะเล็กแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ความวุ่นวายกำลังมาเยือนแล้วสินะ…”
เมื่อได้ยินวาจาของเขา หัวใจของซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินก็หนักอึ้งอยู่บ้าง
บนเส้นทางกลับ ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าพื้นสมุทรมีความปั่นป่วนไม่สงบอยู่บ้าง สัตว์อสูรทะเลก็มีจำนวนมากกว่าที่พบตอนขามาหลายเท่า พลังยุทธ์ก็แข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างมากอีกด้วย ถึงขนาดที่สัตว์อสูรเทพที่มีพลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณหลายตัวยกพวกมากันเป็นฝูง
ทุกครั้งที่สัตว์อสูรทะเลเหล่านั้นเข้าใกล้พวกเขา เจ้าไก่ฟ้าก็จะใช้แรงกดดันของสัตว์อสูรเหนือเทพทำให้พวกมันหวาดหวั่นจนล่าถอยออกไป ไม่เอาชีวิตของพวกเขา
คนของตระกูลซือหม่ามองดูสัตว์อสูรทะเลฝูงแล้วฝูงเล่าล่าถอยไปแล้วเอ่ยอย่างมีความสุขว่า “ยังดีที่มีเขาอยู่ด้วย มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าการเดินทางกลับของพวกเราจะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเพียงใด”
ครึ่งเดือนให้หลัง พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองอัน แล้วเรียกสัตว์อสูรบินได้ออกมาพากลับไปยังเมืองอันหยาง
ซือหม่าหลินรู้ว่าพวกเขาหาหญ้าจันทร์รำเพยและดอกกระบองเพชรอัสดงพบแล้วก็ตื่นเต้นดีใจไม่น้อย พอเขาได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะลืมกังวลก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “พื้นสมุทรจะเกิดการจลาจลขึ้นจริงหรือ”
“ท่านประมุขตระกูล ความวุ่นวายบนพื้นสมุทรจะต้องส่งผลกระทบมาถึงพื้นทวีปอย่างแน่นอน พวกเราต้องรีบวางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะขอรับ” ผู้อาวุโสใหญ่พูด
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้มิสู้ดีนัก” ซือหม่าหลินพูด “แต่ก็ยังต้องให้คนรุ่นหลังเป็นศูนย์กลาง”
“ท่านประมุขตระกูล ข้าว่าเจ้าเด็กซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นจะต้องกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการพลิกฟื้นตระกูลซือหม่าได้อย่างแน่นอนขอรับ” ผู้อาวุโสสิบพูด
“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้” ซือหม่าหลินถาม
“เจ้าเด็กผู้นั้นกล้าหาญและมีไหวพริบ แม้กระทั่งคุณชายโยวหลินที่จิตใจสงบนิ่งมาโดยตลอดก็ยังใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเลยขอรับ” ผู้อาวุโสสิบพูด “ถ้าหากคราวนี้ไม่มีเขา อย่าว่าแต่จะหาหญ้าจันทร์รำเพยและดอกกระบองเพชรอัสดงให้พบเลย แม้กระทั่งพวกเราก็อาจจะจบชีวิตอยู่บนเกาะลืมกังวลเสียด้วยซ้ำ”
“ข้าว่าเขาเป็นคนที่เกิดมาได้ถูกที่ถูกเวลา จะต้องเปลี่ยนแปลงแบบแผนของโลกใบนี้ได้อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสใหญ่พูดเสริม
“บางทีพวกเราอาจต้องพึ่งพาเขาก็เป็นได้” ซือหม่าหลินพูด “พอเขามา อาการเจ็บป่วยร้อยปีของท่านปู่เล็กก็หายดีเลย ความจริงในตอนนั้นก็ได้รับการเปิดเผย ทั้งยังมีความหวังว่าจะรักษาอาการเจ็บป่วยของท่านอดีตประมุขได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยชีวิตพวกเจ้า มิน่าเล่าท่านบรรพชนจึงได้บอกว่าเขาเป็นดาวแห่งโชคลาภของพวกเรา”
…………………………………………..