ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกดูดเข้าไปภายในรัศมีสีขาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอและพี่ชายทั้งสี่ก็มายืนอยู่ ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งแล้ว
“ที่นี่คือ…ทุ่งหญ้าหรือ”
ทุกคนต่างมองดูทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง ผืนหญ้าเขียวขจีไกลสุดลูกหูลูกตา หากมิใช่ทุ่งหญ้าแล้วคือสิ่งใดกันเล่า
“ที่นี่คือดินแดนบรรพบุรุษหรือ ไม่เห็นมีอะไรสักอย่างเลยนี่!” ซือหม่าโยวเล่อพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปมาแล้วเอ่ยว่า “น่าจะใช่กระมัง จิ้งจอกเฒ่านั่นก็มิได้บอกว่าที่นี่มีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร บอกแต่เพียงว่ามีโอกาสรออยู่มากมาย ย่อมต้องเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลอยู่แล้วล่ะ”
“ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรสักอย่างเลย แล้วพวกเราจะได้รับโอกาสและมรดกตกทอดได้อย่างไรกันเล่า!” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“เดิมทีนี่ก็เป็นโอกาสที่พวกเราได้รับเพิ่มมาอยู่แล้ว ถ้าได้อะไรมาก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ในดินแดนบรรพบุรุษก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวหมิงมองดูด้วยความเข้าใจ
ซือหม่าโยวหรานก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านประมุขตระกูลก็บอกแล้วว่าในระยะหลังมานี้มรดกตกทอดน้อยลงเรื่อยๆ ข้าว่าข้าวของที่นี่ก็คงจะน้อยลงเรื่อยๆ แล้วล่ะ”
“ก็จริงอยู่” ซือหม่าโยวเล่อพยักหน้า เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบตัวอย่างสงสัยจึงเอ่ยถามว่า “โยวเย่ว์ เจ้ากำลังมองอะไรอยู่หรือ”
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าที่นี่คือด้านในของอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งเหมือนกับเจดีย์วิญญาณหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
“ไม่ใช่หรอกน่า!” เจ้าวิญญาณน้อยส่งเสียงคัดค้าน “อาวุธวิญญาณมีชีวิตในใต้หล้านี้มีแค่ข้าเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แล้วที่นี่จะเป็นอาวุธวิญญาณไปได้อย่างไรกัน!”
“หากมิใช่อาวุธวิญญาณแล้วคือสิ่งใดเล่า” ซือหม่าโยวหรานถาม
เกิดความปั่นป่วนขุมหนึ่ง เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นในอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ ตั้งแต่มันกลายเป็นเจดีย์วิญญาณก็ออกจากวัตถุมาข้างนอกได้แล้ว
มันมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “ที่นี่น่าจะเป็นแดนสุขาวดีแห่งหนึ่ง”
“แดนสุขาวดีหรือ” ทุกคนมองเจ้าวิญญาณน้อยแล้วถามว่า “แดนสุขาวดีคือสิ่งใดหรือ”
“ก็คือโลกขนาดเล็กจำนวนหนึ่งภายในห้วงมิติน่ะ” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยปากพูด “ที่ดินแดนโบราณ ตระกูลจำนวนมากล้วนมีสถานที่เช่นนี้อยู่ โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นห้วงมิติที่คนรุ่นก่อนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เปิดเอาไว้”
“ตระกูลซือหม่าก็มีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย!” ซือหม่าโยวฉีพูด
“ไม่แน่ว่าตระกูลซือหม่านี้อาจจะย้ายลงมาจากโลกเบื้องบนก็เป็นได้นะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด “แดนสุขาวดีเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พลังของโลกใบนี้จะมีได้เลย”
“บางทีอาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “วันหนึ่งข้างนอกเท่ากับหนึ่งเดือนข้างในนี้ ถ้าหากสามารถบำเพ็ญอยู่ในนี้ได้ตลอดก็คงจะดี”
“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด “ห้วงมิติเช่นนี้อาศัยพลังยุทธ์ของผู้ที่เปิดห้วงมิติในตอนแรกในการกำหนดเวลาที่จะอาศัยอยู่ได้ มีบางแห่งที่อาศัยอยู่ภายในได้เพียงแค่ไม่กี่วัน มีบางแห่งที่สามารถอาศัยอยู่ได้หลายปี ที่ล้ำเลิศที่สุดก็คือตระกูลเงาโบราณเหล่านั้น พวกเขาก็อาศัยอยู่ภายในห้วงมิติเช่นนี้ อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้สองเดือนก็น่าจะถึงขีดจำกัดแล้วล่ะ”
“ยังมีผู้ที่อาศัยอยู่ในห้วงมิติเช่นนี้ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเล่อเบิกตากว้าง
“ถูกต้อง!” เจ้าคำรามน้อยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “แต่สถานที่เหล่านั้นก็ต้องมีพลังวิญญาณเข้มข้นอยู่พอสมควร การเคลื่อนของเวลาก็เหมือนกับโลกภายนอกเลยล่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเล่อผิดหวังอยู่บ้าง
“ก็ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้วสิ!” เจ้าคำรามน้อยกลอกตาใส่ซือหม่าโยวเล่อแล้วเอ่ยว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในใต้หล้านี้ล้วนต้องมีกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น มิอาจทำได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง มิฉะนั้นฟ้าดินคงจะวุ่นวายแย่!”
“จะคิดมากเช่นนั้นไปทำไมกันเล่า!” ซือหม่าโยวหรานเขกศีรษะซือหม่าโยวเล่อแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วพวกเราก็ไปดูให้ทั่วกันดีกว่าว่าจะหาอะไรพบบ้างหรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บตัวเจ้าวิญญาณน้อยกลับเข้าไปก่อนจะอุ้มเจ้าคำรามน้อยขึ้นมา แล้วทุกคนจึงเลือกไปยังทิศทางหนึ่ง
“เอ๊ะ… ที่นี่มิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้นี่นา!”
“จริงๆ เลยนะ!”
“เช่นนั้นก็คงได้แต่ใช้สัตว์อสูรบินได้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกตัวเจ้าวิหคน้อยออกมา ยังไม่ทันออกบินก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมแล้ว มีคนบินตรงเข้ามาหาพวกเขา
“ซือหม่าโยวหลินกับซือหม่าโยวหลาน แล้วยังมีซือหม่าโยวฉีกับซือหม่าโยวฉิงด้วย!”
“เหตุใดพวกเขาจึงถูกสัตว์อสูรวิเศษฝูงหนึ่งไล่ตามเล่า”
“สัตว์อสูรวิเศษพวกนั้น… ให้ตายเถอะ ล้วนเป็นสัตว์อสูรเทพทั้งสิ้น!”
“รีบขึ้นไปบนหลังเจ้าวิหคน้อยเร็วเข้า” ซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึม สัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้ พวกเขามิอาจหลับหูหลับตาสู้ได้
เธอตะโกนเรียกพวกซือหม่าโยวหลิน ซือหม่าโยวหลินเห็นพวกเขาแล้วจึงเอ่ยว่า “ฝืนกันอีกหน่อยนะ ไปทางพวกโยวเย่ว์เร็วเข้า!”
เดิมทีพวกซือหม่าโยวหลานนั้นสิ้นไร้กำลังกันไปหมดแล้ว เมื่อเห็นเจ้าวิหคน้อย จึงวิ่งเข้ามาด้วยพละกำลังเฮือกสุดท้าย
เจ้าวิหคน้อยรอให้พวกเขาขึ้นมากันหมดแล้วจึงค่อยสยายปีกบินออกไป ทิ้งสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นให้มองตามอย่างสิ้นหวัง
ซือหม่าโยวหยางนอนแผ่หลาบนหลังเจ้าวิหคน้อยแล้วเอ่ยว่า “การมีสัตว์อสูรบินได้ช่างดีเสียจริง บินในสถานที่เช่นนี้ได้ด้วย พอกลับไปแล้วข้าจะหามาบ้างสักตัวหนึ่ง”
“เมื่อครู่นี้ข้าก้าวขาวิ่งไม่ออกแล้ว ถ้าหากมิได้พบพวกเจ้า พวกเราก็คงตกอยู่ในอันตรายแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวฉิงพูดอย่างซาบซึ้ง
“พวกเจ้าไปเจอกับสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นเข้าได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวฉีถาม
“พวกเราไปพบเสียที่ไหนเล่า” ซือหม่าโยวฉิงทอดถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ตอนพวกเราสี่คนมาถึงก็ตกลงไปกลางฝูงพวกมันพอดี ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าน่าอนาถแค่ไหน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าสี่คนเรียกได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่า คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีเช่นนี้ ถูกส่งไปกลางฝูงสัตว์อสูรเทพเสียได้”
“ถ้าหากพาตัวสัตว์อสูรเทพเหล่านี้ออกไปได้ ตระกูลซือหม่าก็จะไม่แกร่งกล้าขึ้นหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ซือหม่าโยวหยางลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้ที่เข้ามาได้จะต้องอายุไม่เกินสามสิบห้าปี ทุกครั้งเข้ามาได้มากที่สุดหนึ่งร้อยห้าสิบคน สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นล้วนมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีหรือกว่าพันปี ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสัตว์อสูรเทพกันหมดแล้ว พวกเราจะเอาชนะพวกมันได้อย่างไรเล่า อย่าว่าแต่พาพวกมันออกไปเลย พอเผชิญหน้ากับพวกมันแล้วยังเอาชีวิตรอดได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเคยกวนใจสัตว์อสูรเทพที่นี่มาก่อน แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่มองดูสัตว์อสูรเทพเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตาปริบๆ อาจมีคนกำราบพวกมันได้ตัวสองตัวเป็นครั้งคราว แต่ก็พาออกไปไม่ได้เพราะไม่อาจทำพันธสัญญาได้ พวกมันจึงออกไปจากที่นี่ไม่ได้” ซือหม่าโยวหลินพูดเสริม
“อายุน้อยกว่าสามสิบห้าปี ต่อให้เป็นนักฝึกสัตว์อสูร ระดับขั้นก็คงไม่สูงมากนัก มิอาจฝึกสัตว์อสูรเทพเหล่านี้ให้เชื่องได้” ซือหม่าโยวฉิงเอ่ยพลางทอดถอนใจ
“ถ้าหากพาสัตว์อสูรเทพที่นี่ออกไปได้หมด อิทธิพลของตระกูลซือหม่าเราก็คงเพิ่มสูงขึ้นในพริบตา น่าเสียดายนัก…” ซือหม่าโยวหลานเอ่ยอย่างเสียใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางมองดูฝูงสัตว์อสูรเทพเบื้องล่างแล้วเอ่ยว่า “ต้องคิดหาวิธีรวบหัวรวบหางพวกมันเสียแล้วสิ…”
“โยวเย่ว์ ช่างมันเถิด อย่ามัวพูดเรื่องนี้กันอยู่เลย ต้องฝึกพวกมันให้เชื่องแล้วพาออกไป มิฉะนั้นพวกมันก็ไม่มีทางออกไปได้หรอก” ซือหม่าโยวหยางพูด
“หึๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะโดยไม่พูดอะไรอีก
มีเพียงแค่เธอและบรรดาพี่ชาย กับซือหม่าโยวหลินเท่านั้นที่รู้ว่าเธอมิได้พูดเล่น
“จิ๊บๆๆ…”
ทุ่งหญ้าที่พวกเขาเพิ่งบินผ่านมาเมื่อครู่ ผ่านภูเขาลูกหนึ่งไป ด้านหลังมีนกฝูงหนึ่งบินออกมา เหยี่ยวนกเขา อินทรียักษ์ นกแร้ง เป็นต้น ต่างพากันบินไล่ตามพวกเขามาทั้งสิ้น
“ให้ตาย นกอะไรมากมายเช่นนี้!” ซือหม่าโยวหยางเห็นสัตว์ปีกเหล่านั้นแล้วก็กระโดดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น น่าเสียดายที่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ดูเท่านั้น แต่มิอาจครอบครองได้
“ฟิ้ว…”
อินทรียักษ์นั้นพ่นไฟกองหนึ่งออกมา เจ้าวิหคน้อยบินเบี่ยงไปด้านข้าง หลบไปได้อย่างเฉียดฉิว
“นกพวกนี้ช่างดุร้ายยิ่งนัก ตอนนี้มาไล่ตามพวกเรา พวกเราก็ได้แต่หลบหลีกเท่านั้น” ซือหม่าโยวฉิงมองดูสัตว์ปีกเหล่านั้น สายตาของทุกตัวโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับจะกินพวกเขาเสียให้หมด
“แปดตัว พอดีเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์มองพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อได้พบแล้วก็จะมอบให้พวกเจ้าเป็นของขวัญแล้วกัน โยวหยาง เมื่อครู่เจ้ามิได้บอกว่าอยากได้สัตว์อสูรบินได้สักตัวหรอกหรือ เจ้าวิหคน้อย ร่อนลงบนพื้นดินทีสิ”
………………………………….