รอคอยอีกสองวัน ซือหม่าโยวหยางและซือหม่าโยวหลานก็ออกมาตามๆ กัน เมื่อถึงวันเส้นตายสุดท้าย ซือหม่าโยวหลินจึงค่อยออกมา
“โยวหลิน พวกเขาทั้งสามคนไม่มีใครรู้เลยว่าจะออกไปได้อย่างไร เจ้ารู้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งกินไก่ย่างอยู่บนพื้นอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์เอาเสียเลย
ด้านข้างของเธอก็คือเศษกระดูกที่เหลือจากการกินกองหนึ่ง
พวกซือหม่าโยวหยางก็ถือไก่ย่างฉีกกินกันคนละตัว ไก่ย่างสีเหลืองทองอร่ามนั้นช่างยั่วน้ำลายเป็นอย่างยิ่ง
ซือหม่าโยวหลินเดินเข้าไปแล้วชิงไก่ย่างในมือซือหม่าโยวหยางมา ก่อนจะฉีกใส่เข้าไปในปากชิ้นหนึ่ง หลังจากกลืนลงไปแล้วจึงเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่มีทางออกหรอก”
“ไม่มีทางออกหรือ แล้วพวกเราจะออกไปได้อย่างไรกันเล่า”
“พอถึงเวลา ก็จะโยนตัวพวกเราออกไปเองนั่นแหละ”
โยนออกไป…
“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราคงได้แต่รอแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจอย่างจนใจ
ตอนนี้พลังยุทธ์ของเธอเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกิน อยากจะไปยังภูเขาหลังบ้านแล้วหาสัตว์อสูรวิเศษมาฝึกประสบการณ์เสียหน่อย มิฉะนั้นพลังยุทธ์ก็จะผิวเผินเกินไป ไม่ดีต่อการยกระดับพื้นฐานในภายหลัง
ซือหม่าโยวหยางมองซือหม่าโยวหลินอย่างเศร้าใจแล้วเอ่ยว่า “ไก่ย่างของข้า…”
“เจ้าออกมาตั้งนานแล้ว กระดูกไก่กองพะเนินเลยทีเดียว กินให้น้อยหน่อย รักษารูปร่างบ้างสิ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“โยวเย่ว์…” ซือหม่าโยวหยางเบนสายตาไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ หมายจะให้เธอช่วยย่างให้เขาอีกสักตัว
ซือหม่าโยวเย่ว์โยนไก่ตัวหนึ่งให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ย่างเองสิ”
ซือหม่าโยวหยางหยิบไก่ขึ้นมา ในขณะที่กำลังมองมันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดีอยู่นั้นเอง ลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็โอบล้อมพวกเขาเอาไว้ แล้วพวกเขาทั้งหมดก็หายลับไปจากถ้ำ
ภายในหุบเขา ซือหม่าไท่ ซือหม่าหลิน รวมทั้งผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งต่างกำลังรอคอยอยู่อย่างร้อนรน ทันใดนั้นลำแสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้น คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถูกลำแสงสีขาวส่งตัวออกมา
“ไอ้หยา…”
“ทับจนตัวข้าจะแหลกอยู่แล้ว!”
“ใครนั่งอยู่บนหัวข้าน่ะ”
ภายในหุบเขา ทุกคนถูกโยนออกมาเป็นกองเดียวกัน ถ้าหากพวกเขามิใช่ปรมาจารย์วิญญาณกันทุกคน คาดว่าคงถูกทับตายกันหมดแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่กวาดตามองรอบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ปีนี้ไม่มีสมาชิกตระกูลหายไปเลย!”
“เอ๊ะ ใช่จริงด้วย!” ผู้อาวุโสรองกวาดตามองรอบหนึ่งเช่นกัน
“ไม่เพียงแต่ไม่สูญหายไปเท่านั้น ส่วนใหญ่ยังยกระดับขึ้นสองสามขั้นอีกด้วย” ซือหม่าหลินพูด
“ปีนี้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าไท่และซือหม่าหลินประสานสายตากันปราดหนึ่ง สถานการณ์ในปีนี้ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง!
“บ้าเอ๊ย… โยนกันออกมาเช่นนี้ได้ โอย… ก้นข้า…” ซือหม่าโยวเย่ว์สบถด่าออกมา
“โยวเย่ว์ เจ้านั่งอยู่บนหน้าข้านะ” เดิมทีคนที่อยู่ด้านล่างนึกอยากจะด่าคนที่นั่งอยู่บนใบหน้าของตน แต่เมื่อได้ยินเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ คำด่าที่มาถึงปากแล้วจึงแปรเปลี่ยนไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ผุดลุกขึ้นยืนในทันใด เมื่อเห็นใบหน้าฝั่งหนึ่งของคนผู้นั้นถูกตนนั่งทับ ส่วนอีกฝั่งฝังลงไปในดินแล้ว
“แค่กๆ ขอโทษด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวคนผู้นั้นขึ้นมาพลางเอ่ยขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไรๆ”
“เอาละ ทุกคนลุกขึ้นมายืนดีๆ ได้แล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่พูดเสียงดัง
คนเหล่านั้นรีบลุกขึ้นยืนแต่โดยดี
“พวกเจ้าเข้าไปกันแล้วไม่ประสบอันตรายเลยใช่หรือไม่” เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่ได้รับบาดเจ็บ ผู้อาวุโสสามจึงอดถามขึ้นมิได้
“ไม่เลยขอรับ!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ข้างในนั้นมีสัตว์อสูรเทพอยู่ไม่น้อย พวกเจ้าไม่พบเจอบ้างเลยหรือ”
“พบขอรับ!”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ยังไม่พบอันตรายเลยหหรือ!” ผู้อาวุโสสามเป่าหนวด
“ไม่ได้รับอันตรายเลยจริงๆ ขอรับ! สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นล้วนถูกพวกเราเก็บกวาดไปหมดแล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยขอรับ” มีคนตอบ
“ถูกพวกเจ้าเก็บอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง พวกเราพาออกมาด้วยทั้งหมดเลยนะขอรับ ตอนนี้ภายในนั้นไม่เหลือสัตว์อสูรเทพอยู่เลยแม้แต่ตนเดียว!” ซือหม่าโยวหยางพูด
ซือหม่าไท่เลิกคิ้ว “พวกเจ้านำสัตว์อสูรเทพออกมาด้วยหมดเลยหรือ”
“ขอรับท่านปู่ พี่น้องทั้งหลาย นำผลงานของพวกเจ้าออกมาแสดงให้พวกเขาดูสิ”
ซือหม่าโยวหยางตะโกน คนที่ได้สัตว์อสูรเทพมาครอบครองเหล่านั้นต่างก็แสดงตัวสัตว์อสูรเทพของตนออกมา
“สัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้เชียว!” ผู้อาวุโสเหล่านั้นตกตะลึงไปกับสัตว์อสูรเทพแน่นขนัด
“พวกเจ้าทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพเหล่านี้ได้อย่างไรกัน” ผู้อาวุโสรองถาม
“ทุกคนช่วยกันจับมา หลังจากนั้นโยวเย่ว์จึงฝึกพวกมันให้เชื่องแล้วให้พวกเราทำพันธสัญญาน่ะขอรับ” สมาชิกตระกูลเอ่ยตอบ
“ดี ดี ดี!” ซือหม่าไท่พูดชมว่าดีถึงสามครั้ง ตื่นเต้นดีใจเกินกว่าจะเอ่ยเป็นคำพูดได้ “เดิมทีข้าคิดจะเปิดดินแดนบรรพบุรุษเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะสัตว์อสูรเทพมีจำนวนมากและอันตรายจนเกินไป คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะขจัดอันตรายที่แฝงอยู่ไปได้! ไม่เลวเลยนะ”
“ท่านประมุขตระกูล ในเมื่อสมาชิกตระกูลกลับกันมาหมดแล้ว มีสิ่งใดอยากถามค่อยกลับไปถามดีกว่า” ซือหม่าหลินพูด
“ก็ดีเหมือนกัน”
ค่ายกลนำส่งถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงกลับมาถึงลานบ้านของลานหลักอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลับมาแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงหาตัวพวกซือหม่าโยวหมิงพบแล้วเดินเข้าไปยืนด้วยกันกับพวกเขา
“พี่ๆ พวกท่านเลื่อนระดับกันอีกขั้นหนึ่งแล้วหรือ” เธอขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ระยะนี้พวกท่านเลื่อนระดับกันอย่างรวดเร็วเกินไปแล้วนะ”
“พวกเราก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงคิดเอาไว้ว่าอีกไม่กี่วันจะออกไปฝึกประสบการณ์กันสักสองสามเดือนน่ะ” ซือหม่าโยวหมิงพูด
“ข้าว่าอีกไม่นานพวกเขาน่าจะไปจับสัตว์อสูรเทพบนภูเขากัน พอถึงตอนนั้นพวกท่านก็ติดตามไปด้วยสิ ไปทำการต่อสู้ฝึกประสบการณ์เสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่เลวเลยนะ หากออกไปกันเองตามลำพังก็อาจประสบอันตราย ไปพร้อมกับคนในตระกูลจะเป็นการดีที่สุด” ซือหม่าโยวหรานพูด
“น้องห้า แล้วเจ้าเล่า” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“ข้าไม่ไปแล้วล่ะ ไปหาสัตว์อสูรวิเศษที่ภูเขาด้านหลังฝึกฝีมือก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า
เธอใช้เวลาอยู่ในภูเขากว่าสองปี จึงยังไม่อยากไปใช้ชีวิตหาประสบการณ์ในภูเขาอีกในตอนนี้
ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ซือหม่าไท่ก็พูดจบพอดีแล้วให้ทุกคนกลับไปก่อน แต่ให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินอยู่ต่อ
ซือหม่าโยวเย่ว์ตามหลังพวกเขาไปยังห้องโถงใหญ่แล้วนั่งลงตามลำดับชั้น
“โยวหลิน สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ” ซือหม่าไท่ถาม
“จริงขอรับ” ซือหม่าโยวหลินพูด “โยวเย่ว์มีสายโลหิตตระกูลซือหม่าจริงๆ ขอรับ”
“โยวเย่ว์ เจ้าเข้าไปด้านหลังประตูบานนั้นแล้วหรือ” ซือหม่าหลินถาม
“ถูกต้อง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ก้อนหินด้านนอกภูเขานั่นเชื่อถือมิได้ใช่หรือไม่”
“ก้อนหินนั่นย่อมต้องเชื่อถือได้อยู่แล้วสิ นั่นเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษเชียวนะ” ซือหม่าไท่พูด “เช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลซือหม่าเราน่ะสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วพาดตัวบนโต๊ะโดยไม่เอ่ยวาจา
จิ้งจอกเฒ่านั่น รับคำเขาก็เท่ากับพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยง่ายๆ
“โยวหลาน สายโลหิตในกายเจ้าพลุ่งพล่านอยู่บ้าง สายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษภายในกายถูกกระตุ้นไปอีกก้าวแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าไท่ถาม
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านประมุขตระกูล” ซือหม่าโยวหลานพูดยิ้มๆ “คราวนี้ข้าเลือกบ่อน้ำที่กระตุ้นสายโลหิตได้พอดี หลังจากดูดซับสารสำคัญภายในนั้นเรียบร้อยแล้ว สายโลหิตของข้าก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่น้อยเลย”
ซือหม่าไท่พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีเจ้าก็มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็กระตุ้นสายโลหิตขึ้นมาได้อีกก้าว ฝึกยุทธ์ให้ดีๆ ล่ะ ในภายหน้าจะต้องเดินไปได้ไกลกว่านี้อีกมากอย่างแน่นอน”
“เจ้าค่ะ ท่านประมุขตระกูล” ซือหม่าโยวหลานเอ่ยตอบ
ซือหม่าไท่ถามถึงโอกาสที่พวกเขาได้รับมารอบหนึ่ง หลังจากนั้นจึงถามว่าซือหม่าโยวเย่วได้สิ่งใดมา
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบตำราการผสานร่างออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ปากเอ่ยพึมพำว่า “สิ่งที่พวกเขาได้รับมานั้นล้วนทำได้เพียงแค่ยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองเท่านั้น มีแค่ของข้าเพียงคนเดียวที่ทุกคนใช้ฝึกฝนร่วมกันได้ โอ้ แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
……………………………………….