เมื่อได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์เล่นใหญ่ถึงเพียงนั้น พวกซือหม่าโยวฉิงต่างพากันก้มศีรษะ อดหัวเราะออกมามิได้
ส่วนซือหม่าไท่นั้นหยิบตำราผสานร่างมา พรั่นพรึงจนเอ่ยวาจาไม่ออก
“เป็นอย่างไรบ้างเล่า รู้สึกว่าคุ้มค่ามากเลยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสีหน้าของซือหม่าไท่แล้วเอ่ยว่า “ท่านต้องชดเชยให้ข้าด้วย”
“ก็ได้” คราวนี้ซือหม่าไท่เอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว
“ท่านประมุขตระกูล นี่คือสิ่งใดหรือ” ซือหม่าหลินเห็นซือหม่าไท่แสดงอาการเช่นนี้ จึงมีความสนใจในทักษะวิญญาณเล่มนั้นของเธอเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าจำได้หรือไม่ พวกเราเคยมีบันทึกประจำตระกูลที่เขียนเอาไว้ว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งมีความสามารถในการนำทักษะของสัตว์อสูรผูกพันธสัญญามาไว้ที่ตนเองน่ะ” ซือหม่าไท่ถาม
“หรือว่าจะเป็นของสิ่งนี้เล่า” ซือหม่าหลินแสดงสีหน้าพรั่นพรึงอย่างไม่ปิดบัง
ถ้าหากเป็นสิ่งนี้จริง เช่นนั้นตระกูลซือหม่าก็ต้องขอบคุณซือหม่าโยวเย่ว์ให้ดีๆ จริงๆ แล้ว
“ข้าว่าอันที่จริงแล้วบรรพชนผู้ก่อตั้งของพวกท่านคงจะไม่อยากให้พวกท่านศึกษาทักษะนี้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เพราะเหตุใดเล่า”
“เพราะเงื่อนไขที่จะได้รับทักษะวิญญาณเล่มนี้มาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ข้าก็แค่ทำตามได้พอดีเท่านั้น จึงได้มันมาครอบครอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากบรรพชนผู้ก่อตั้งอยากให้ชนรุ่นหลังศึกษามันจริงๆ ก็คงไม่วางเอาไว้ที่นั่นหรอก”
“โยวเย่ว์ เจ้ามิได้บอกว่าเจ้าไม่ต้องผ่านการทดสอบหรอกหรือ” ซือหม่าโยวฉิงพูด
“ถูกต้อง ด้านหน้าไม่มีการทดสอบ แต่บริเวณที่วางมันเอาไว้นั้นมีจานหมุนอันแข็งแกร่งขวางเอาไว้ หากเปิดจานหมุนไม่ได้ก็ไม่มีทางได้มันมาครอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นเงื่อนไขในการเปิดจานหมุนนั้นลำบากยากเย็นมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวหยางถาม
“ถึงอย่างไรพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งเข้าไปล้วนมิอาจเปิดได้ทั้งสิ้น ไม่ได้บอกว่ายากเย็น เพียงแต่พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัตินั่นเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“คุณสมบัติอันใดกัน แม้กระทั่งพี่โยวหลินก็ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวหลานถาม
ซือหม่าโยวหลินก็มองซือหม่าโยวเย่ว์เช่นกัน ดวงตาเจือแววสงสัยใคร่รู้
ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “จานหมุนนั้นมีอยู่ห้าสี ทุกสีจะต้องใช้ปราณวิญญาณที่สัมพันธ์กัน สถานที่แห่งนั้นสามารถเข้าไปได้เพียงแค่ครั้งละคนเดียวเท่านั้น หากมิใช่เพราะไม่อยากให้คนทั่วไปเข้าไปที่นั่นแล้วคืออะไรเล่า”
“หา… เจ้าเป็นปรมาจารย์วิญญาณพหุธาตุด้วยหรือ!” ซือหม่าโยวหยางฟังความหมายของซือหม่าโยวเย่ว์ออกจึงร้องเสียงดังขึ้นมา
“ข้ายังไม่ได้พูดเลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ย “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย ท่านประมุขตระกูล ท่านบอกว่าจะชดเชยให้ข้านี่”
พอซือหม่าไท่ได้รู้ว่าเธอเป็นปรมาจารย์วิญญาณพหุธาตุก็ตื่นตกใจแล้วเอ่ยว่า “ใช่ เจ้าต้องการให้ชดเชยอย่างไรเล่า”
“สิ่งที่ข้ามอบให้เป็นของดี ก็ต้องตอบแทนด้วยของดีน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะหึหึแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าภายในหอหนังสือสะสมของตระกูลเรามีทักษะวิญญาณอยู่ไม่น้อย แต่มิอาจเข้าไปตามใจชอบได้”
“อนุญาตให้เจ้าเข้าไปได้อย่างอิสระเลย” ซือหม่าไท่พูด
“ข้ามิได้ร้องขอสิ่งนี้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือแล้วเอ่ยว่า “พี่ชายทั้งสี่ของข้าถูกพวกท่านกักขังมาสามปี ตลอดเวลานั้นก็มิได้ศึกษาทักษะวิญญาณที่ดีใดๆ เลย ท่านให้พวกเขาเข้าไปเลือกตำราทักษะวิญญาณหน่อยสิ”
ทุกคนพากันตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าคำขอของเธอจะเป็นการช่วงชิงโอกาสศึกษาให้กับบรรดาพี่ชายของตน
เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับบรรดาพี่ชายของเธอจริงๆ
“พวกเขาเป็นคนของตระกูล ย่อมต้องเข้าไปเลือกตำราทักษะวิญญาณในหอหนังสือสะสมได้อยู่แล้วสิ” ซือหม่าไท่พูด “พูดถึงทักษะวิญญาณ ตำราเคล็ดแยกอัคคีพิโรธยังอยู่กับเจ้าหรือไม่”
“เปล่า หลังจากข้ากลับมาก็คืนให้ท่านปู่ไปแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อเจรจากกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนละนะ ใช่แล้ว ข้าไม่ชอบได้ยินผู้อื่นพูดถึงเรื่องของข้า หากได้ยินเข้าก็จะโกรธมาก”
พอพูดจบเธอก็ทำความเคารพคนด้านบนก่อนจะถอยออกไป
“เจ้าเด็กนี่ ถึงกับกล้าข่มขู่ข้าด้วย” ซือหม่าไท่พูดอย่างโมโห แต่ทุกคนต่างก็ดูออกว่าในแววตาเขาไม่มีความโกรธเจืออยู่เลย
“ปกติแล้วโยวเย่ว์ชอบอยู่อย่างสันโดษ ถ้าหากพูดเรื่องของเขาออกไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะโกรธเข้าจริงๆ ก็เป็นได้” ซือหม่าโยวฉิงพูด
“พลังยุทธ์กล้าแกร่ง แต่กลับไม่หยิ่งยโส มั่นคงและมีความเป็นผู้ใหญ่ ต้องเป็นกำลังสำคัญในภายหน้าอย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยชม
“ถ้าหากขุมอำนาจอื่นๆ รู้เข้าว่าตระกูลของพวกเรามีผู้มีพรสวรรค์อย่างเขาปรากฏตัวขึ้นมา จะต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อพร่าผลาญสังหารเขาอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสรองพูด
“ทุกคนห้ามแพร่งพรายเรื่องที่สนทนากันที่นี่ในวันนี้ออกไปเป็นอันขาด นอกจากนี้ก็ให้ทุกคนในตระกูลรักษาความลับเกี่ยวกับความสามารถอื่นๆ ของโยวเย่ว์ด้วย มิฉะนั้นต้องถูกลงโทษตามกฎตระกูล” ซือหม่าไท่พูด
“ขอรับ ท่านประมุขตระกูล”
ด้วยเหตุนี้แม้ซือหม่าโยวเย่ว์จะก่อคลื่นลมขนาดยักษ์ภายในจวนซือหม่า แต่กลับมิได้เล็ดลอดออกไปเลยแม้แต่น้อย โลกภายนอกไม่ได้รับข่าวเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าคนในตระกูลจะรู้ว่าเธอฝึกสัตว์อสูรเทพให้เชื่องได้ แต่กลับไม่มีใครพูดออกไป และพวกเขาก็มิได้แพร่งพรายคำพูดที่คุยกันในห้องโถงใหญ่ในวันนั้นออกไปเลย ดังนั้นนอกจากพวกซือหม่าโยวหลินไม่กี่คนนั้น คนอื่นๆ ในตระกูลซือหม่าก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นผู้มีพรสวรรค์พหุธาตุ!
“ปัง…”
เธอต่อสู้กับราชสีห์ตนหนึ่ง อีกฝ่ายเพิ่งเลื่อนระดับกลายเป็นสัตว์อสูรเทพ แต่กลับต่อสู้ได้อย่างสูสีกับเธอเท่านั้นเอง
แน่นอนว่านี่เป็นความสำเร็จภายใต้สถานการณ์ที่เธอยังมิได้หยิบท่าไม้ตายออกมาใช้เลยด้วยซ้ำ
“ไอ้หยา ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว” ราชสีห์ถูกเปลวเพลิงของซือหม่าโยวเย่ว์เผาไหม้เส้นขนจึงร้องโวยวาย
“พี่สิงโต วันนี้พวกเราเพิ่งจะสู้กันได้ไม่นานเอง แล้วท่านจะถอยได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์หนีไปด้านหลังของสิงโตแล้วดึงใบหูมันพลางเอ่ยขึ้น
“เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ขนของข้าถูกเจ้าเผาไปตั้งหลายรอบแล้วนะ!” ราชสีห์พูด
“ข้ามิได้เอายาวิเศษให้เจ้ากินเพื่อฟื้นฟูร่างกายแล้วหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “การรักษาเช่นนี้มีใครทำให้บ้างเล่า”
“ไม่เอาด้วยหรอก” วันนี้ราชสีห์ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ต่อสู้กับเธออีก
“ไม่ได้หรอก ตอนนี้ข้ายังหาคู่ซ้อมที่ดีกว่าไม่ได้เลย เจ้าต้องสู้กับข้าสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างหน้าไม่อาย
“นายท่านโปรดละเว้นข้าด้วยเถิด!” ราชสีห์เอ่ยอ้อนวอน “ในภูเขาแห่งนี้มีสัตว์อสูรวิเศษอยู่ตั้งมากมาย เหตุใดเจ้าต้องเลือกข้าด้วยเล่า”
“เช่นนั้นจะมีวิธีการใดอีกเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหัวราชสีห์แล้วเอ่ยว่า “สิ่งมีชีวิตในภูเขาแห่งนี้หากพลังยุทธ์ไม่สูงเกินไป ก็พลังยุทธ์ต่ำเกินไป ข้าต้องฝึกทักษะการต่อสู้ของตัวเอง จึงต้องหาคู่ซ้อมอย่างเจ้ามาฝึกฝีมือเป็นเพื่อนน่ะสิ”
ราชสีห์นอนแผ่ลงบนพื้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่สน ข้าไม่สนใจหรอก ข้าไม่สู้กับเจ้าแล้ว!”
“เจ้า…” ซือหม่าโยวเย่ว์โมโห เจ้าสิงโตตัวนี้ช่างใจเสาะเสียจริง
ตอนนี้ผ่านจากช่วงที่พวกเขากลับมาจากดินแดนบรรพบุรุษได้ครึ่งเดือนแล้ว ตลอดครึ่งเดือนมานี้เธอวิ่งเข้ามาในภูเขาทุกวัน แล้วเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษต่อสู้ด้วยเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
พลังสะท้อนกลับที่เธอได้รับมาก่อนหน้านี้ยังคงถูกเธอกดเอาไว้ เธอเตรียมตัวว่าผ่านไปอีกสองวันจะเลื่อนระดับแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าราชสีห์ที่เป็นคู่ซ้อมในขณะนี้จะยอมแพ้ไปเสียอย่างนั้น
“ในเมื่อมันไม่ยินยอม มิสู้วันนี้พวกเรามาประลองกันสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าหลินปรากฏตัวขึ้นแล้วพูดกับซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังภูเขา ซือหม่าหลินกำลังมองดูเธอจากข้างบนนั้น
“ท่านปู่หลิน”
“เมื่อสามปีก่อน พวกเราเคยประลองพลังจิตกันครั้งหนึ่ง วันนี้พวกเรามาลองกันอีกสักตั้งเป็นอย่างไร” ซือหม่าหลินร่อนลงมาแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยขึ้น
“ดีเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำอย่างมีความสุข
หลังกลับมาที่ตระกูลแล้ว เธอก็อยากจะประลองกับซือหม่าหลินสักยกมาโดยตลอด เมื่อสามปีก่อนเธอถูกเขากดดันจนไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย เธออยากรู้จริงๆ ว่าหลังจากผ่านไปสามปีแล้วตนจะยังคงต้านรับเขาได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าเหมือนเมื่อสามปีก่อนอยู่อีกหรือไม่!
………………………………………..