“เช่นนั้นเจ้าก็ต้านรับให้ดีล่ะ!” ซือหม่าหลินพูดจบก็ใช้พลังจิตของตนโจมตีเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์รวบรวมพลังจิตไปต้านทานในทันใด เธอย่อมไม่กล้าดูเบาพลังจิตของปรมาจารย์ค่ายกลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อยู่แล้ว
พลังจิตของทั้งสองนั้นแทบจะเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว ปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเสียงดังสนั่น
ในตอนแรกซือหม่าหลินก็มิได้ใช้พลังมากมายเท่าใดนัก เพราะวันนี้เขามิได้ต้องการต่อสู้จนเธอเดินไม่ได้เหมือนเมื่อสามปีก่อน แต่เขาค้นพบได้ในทันทีว่าพลังจิตของซือหม่าโยวเย่ว์ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าจากเมื่อสามปีก่อน เธอรับการโจมตีของตนได้อย่างง่ายดาย
ต้องรู้เอาไว้ว่าระดับพลังจิตที่เขาปลดปล่อยในตอนนี้เท่ากันกับที่เขาทำให้เธอทรุดไปกองกับพื้นเมื่อสามปีก่อน
“เข้ามาอีกทีสิ!”
การโจมตีครั้งที่สองของซือหม่าหลินทวีความแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังคงรับเอาไว้ได้อย่างสบายๆ
การโจมตีครั้งที่สามของซือหม่าหลิน ไม่เพียงแต่ซือหม่าโยวเย่ว์จะรับเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังออกแรงสะท้อนพลังจิตของเขากลับไปในทันทีด้วย
“ท่านปู่หลิน เป็นเช่นไรบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามพลางยิ้มตาหยี
เมื่อสามปีก่อนตอนที่ได้พบเธอ เธอเพิ่งจะศึกษาเคล็ดหลอมวิญญาณได้ไม่นานก็รับการโจมตีของเขาได้แล้ว ตอนนี้ผ่านไปสามปี เธอฝึกฝนเคล็ดหลอมวิญญาณทุกวัน จนพลังจิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ซือหม่าหลินพยักหน้าแล้วลงมาจากยอดเขาก่อนจะเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าพลังจิตของเจ้าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว ได้ยินว่าเจ้าก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลด้วยนี่”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าซือหม่าโยวหลินจะต้องเป็นผู้บอกเรื่องนี้กับเขาอย่างแน่นอน แต่เธอก็พยักหน้ายอมรับโดยมิได้ปิดบัง
เธออยากไปพบเขา ให้เขาช่วยชี้แนะเรื่องค่ายกลมาโดยตลอด ตอนนี้เขาถามขึ้นมาพอดี ตนก็จะอาศัยจังหวะนี้ให้เขาช่วยชี้แนะสักหน่อย
“การรับสัมผัสห้วงมิติของเจ้าในตอนนี้ไปถึงระดับขั้นใดแล้วหรือ” ซือหม่าหลินถาม
“ควบคุมห้วงมิติได้ครึ่งตัวแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
ซือหม่าหลินเผยสีหน้าตกใจ เธอยังอายุน้อยถึงเพียงนี้ แต่กลับควบคุมห้วงมิติได้แล้วอย่างนั้นหรือ!
“ดี ดีมาก! ตระกูลเรามีปรมาจารย์ค่ายกลอยู่สองคน แต่พรสวรรค์กลับห่างชั้นกับเจ้าเหลือเกิน” ซือหม่าหลินเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ข้าจะบอกสิ่งที่ข้ารู้กับเจ้า ในภายหน้าเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จกว่าข้ามากมายอย่างแน่นอน!”
“ขอบคุณท่านปู่หลิน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ประสานมือทำความเคารพพลางค้อมกายคำนับ
“ฮ่าๆ ไป พวกเราไปที่ศาลาพักร้อนบนยอดเขากันดีกว่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินตามซือหม่าหลินไปอย่างมีความสุข
ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านวันเวลาต่อมาอย่างเรียบง่ายและสงบสุข หากมีเวลาก็จะศึกษาปัญหาเกี่ยวกับค่ายกลกับซือหม่าหลิน
ซือหม่าหลินชอบเธอเป็นอย่างยิ่ง เขาสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนรู้ให้แก่เธอ ทำให้เธอมีความก้าวหน้าทางด้านค่ายกลเป็นอย่างมาก
นอกจากการศึกษาค่ายกลแล้ว เธอยังประลองกับเขาบ้างเป็นครั้งคราว ทำให้มีความก้าวหน้าในการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง
นางพญาผึ้งแดงให้กำเนิดผึ้งแดงออกมาเป็นจำนวนไม่น้อย เก็บน้ำผึ้งผลิตน้ำผึ้งอยู่ภายในเจดีย์วิญญาณ เธอส่งน้ำผึ้งขวดหนึ่งไปให้จิ้งจอกเฒ่าทุกเดือน จิ้งจอกเฒ่าก็แบ่งน้ำผึ้งเหล่านั้นให้บรรดาสมาชิกตระกูล เพื่อช่วยในการยกระดับพลังยุทธ์ของพวกเขา
นอกจากซือหม่าโยวหลินแล้ว คนอื่นๆ ที่ได้รับน้ำผึ้งต่างก็ไม่รู้ว่าน้ำผึ้งนี้มาจากที่ไหน
แน่นอนว่าในเวลาต่อมาเมื่อนางพญาผึ้งแดงให้กำเนิดผึ้งแดงมากขึ้น ผลิตน้ำผึ้งออกมามากขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เก็บน้ำผึ้งเหล่านั้นขึ้นมา มอบให้กับตระกูลซือหม่าในปริมาณที่เพียงพอ ส่วนที่เหลือนั้นเธอก็เก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลัง
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเศษนี้พวกเว่ยจือฉีฝึกยุทธ์อยู่ภายในเจดีย์วิญญาณมาโดยตลอด ระยะเวลาที่พวกเขาเลื่อนระดับนั้นไม่แน่นอน ดังนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงวิ่งเข้าไปในภูเขา พอไปถึงบริเวณปลอดคนแล้วจึงรับตัวพวกเขาออกมาให้ทำการเลื่อนระดับอยู่เป็นประจำ
ตลอดปีกว่ามานี้ ทุกคนต่างก็เลื่อนไปถึงระดับบรรพวิญญาณกันหมดแล้ว ส่วนเป่ยกงถังนั้นเลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณขั้นหนึ่งเลยทีเดียว
ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนกว่าจะถึงงานประลอง ซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับข่าวมาอย่างหนึ่งจึงรีบเรียกให้พวกเขาออกมาจากการปลีกวิเวก
“มีอะไรหรือโยวเย่ว์” เจ้าอ้วนชวีออกมาแล้วถามขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขัดจังหวะการบำเพ็ญของพวกเขา จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยแล้วเอ่ยว่า “ทางด้านอาณาจักรทักษิณายาตรส่งข่าวมาบอกว่า พวกจักรพรรดิทักษิณายาตรรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาจากอาณาจักรตงเฉินด้วยว่าจะประหารมารดาของเจ้ากับคนในตระกูลของนางในอีกครึ่งเดือนให้หลัง”
โอวหยางเฟยเดือดดาลขึ้นมาในทันใด เขาฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะหินจนแตกกระจุยแล้วตะโกนว่า “โอวหยางตงมันช่างกล้านัก!”
“เขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ พอรู้ว่าโอวหยางยังมีชีวิตอยู่ ย่อมต้องหาทางกำจัดแน่นอนอยู่แล้ว” เป่ยกงถังพูด
“ถูกต้อง ตอนที่บิดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาไม่กล้าลงมือกับมารดาและคนในครอบครัวเจ้า ได้แต่ลอบทำร้ายเจ้าอยู่ในความมืดเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ย่อมต้องกำจัดเสี้ยนหนามเหล่านี้ทิ้งไปอยู่แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีเอ่ยวิเคราะห์
“ถ้าหากบรรดาผู้อาวุโสในราชวงศ์เหล่านั้นรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะต้องปลดเขาแล้วให้เจ้าขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนอย่างแน่นอน โอวหยางตงก็คงกลัวจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นนั่นแหละ” เจ้าอ้วนชวีก็โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยตลอดสองปีนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาพลางถามว่า “เจ้าคิดจะทำเช่นไรหรือ”
โอวหยางเฟยกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยว่า “แล้วจะทำเช่นไรได้อีกเล่า เขารู้ว่าคนในครอบครัวคือจุดอ่อนของข้า รู้ว่าถ้าหากข้ารู้ข่าวก็จะต้องกลับไปอย่างแน่นอน ตอนนี้เกรงว่าคงจะเตรียมค่ายกลสังหารเอาไว้รอข้ากลับไปเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ข้าก็ต้องกลับไปให้ได้!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ตบบ่าเขาแล้วเอ่ยว่า “จะกลัวอะไรกันเล่า ตอนนี้พลังยุทธ์ของพวกเราก็มิได้ต่ำต้อยเลย ไปยังอาณาจักรทักษิณายาตรให้โลกของเขากลับตาลปัตรไปเลยสิ!”
“ถูกต้อง พวกเราไปชิงบัลลังก์ของเขามา เป็นการล้างแค้นให้กับเมื่อหลายปีก่อน” เว่ยจือฉีพูด
“พวกเจ้า…” โอวหยางเฟยอยากจะบอกให้พวกเขาไม่ต้องไป แต่วาจามาถึงริมฝีปากแล้วก็พูดไม่ออก เขาเข้าใจบรรดาสหายของตนดี รู้ว่าตนเอ่ยวาจานี้ออกไปก็คงไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
“ในเมื่อเวลาใกล้จะหมดลงแล้ว ข้าจะไปบอกพวกท่านปู่สักคำหนึ่งก่อน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางกันได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ก่อนที่พวกเราจะไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรทักษิณายาตร โอวหยางอยู่ที่นี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งเปิดเผยตัว” เว่ยจือฉีพูด
“ใช่แล้ว จักรพรรดิทักษิณายาตรผู้นั้นจะต้องคาดการณ์เอาไว้ว่าเจ้าจะต้องกลับไปอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะซุ่มโจมตีหรืออะไรบนท้องถนนก็เป็นได้ พวกเรามิอาจเอ้อระเหยบนท้องถนนได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้ เช่นนั้นก็ได้แต่รบกวนเจ้าแล้วล่ะนะ โยวเย่ว์” โอวหยางเฟยพูดพลางพยักหน้า
“ดูสิว่าเจ้าพูดอะไรออกมา!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าพาพวกท่านปู่ออกไปกันก่อนนะ”
เธอมาที่เรือนอีกหลังหนึ่งแล้วเล่าเรื่องนี้ให้พวกซือหม่าเลี่ยฟังก่อนจะพาพวกเขาออกไป
“น้องห้า หรือจะพาพวกเราไปกับพวกเจ้าด้วยดี” ซือหม่าโยวเล่อพูด
ปีกว่ามานี้ พวกเขาอยู่ในเจดีย์วิญญาณ ระดับขั้นก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย เมื่อได้ยินว่าเธอจะไปที่อาณาจักรทักษิณายาตร ย่อมต้องอยากไปด้วยกันเป็นธรรมดา
“พวกท่านอยู่ในตระกูลดีกว่า พอถึงเวลาก็ไปเข้าร่วมงานประลองด้วยกัน พวกท่านเป็นไพ่ลับของตระกูลซือหม่า อย่าได้เผยตัวก่อนเป็นอันขาดล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พอถึงตอนนั้นข้าจะไปรวมตัวกับพวกท่านยังสถานที่จัดงานประลองเลย”
“เจ้า… เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยล่ะ” ซือหม่าโยวหรานพูด
“ข้าจะระวังตัว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “ข้าจะไปบอกท่านประมุขตระกูลสักคำแล้วออกเดินทางละนะ”
พอพูดจบเธอก็หยิบน้ำผึ้งขวดหนึ่งส่งให้ซือหม่าโยวหมิงแล้วเอ่ยว่า “สำหรับพวกท่านตลอดสามเดือนนี้”
ซือหม่าโยวหมิงย่อมรู้อยู่แล้วว่านี่คือน้ำผึ้งจากผึ้งแดง เพราะตลอดปีกว่ามานี้เขาดื่มสิ่งนี้มาตลอด เขารับมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ พาเจ้าไก่ฟ้าไปด้วยนะ”
“ข้าจะระวังตัว” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ ทันใดนั้นก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ระยะนี้เจ้าไก่ฟ้านั่นเอาแต่ยุ่งอยู่กับการดูแลภรรยาของเขา ไม่รู้ว่าจะมีเวลาไปกับพวกเราหรือไม่”
………………………………………….