“ในร่างกายของสายรุ้งมีสายโลหิตวิหคเพลิงอยู่ สายโลหิตแต่เดิมก็ไม่เลวอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าต่อมาจะได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อกินผลอสรพิษทองคำของเจ้าแล้วตลอดปีกว่านี้เจ้ายังใช้เครื่องยาฟูมฟักนางมาโดยตลอด จึงเป็นสัตว์อสูรทิพย์โดยกำเนิด มิใช่เรื่องแปลกเลย” เจ้าไก่ฟ้าพูดอธิบาย
สายรุ้งกินเปลือกไข่จนหมดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ถึงชิ้นสุดท้ายนั้นเอง มันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มันมองดูเปลือกไข่แล้วก็มองซือหม่าโยวเย่ว์ ในที่สุดก็คาบเปลือกไข่เข้ามาแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ชิ้นนี้ให้ท่านก็แล้วกันนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าเปลือกไข่ของสัตว์ตระกูลนกนั้นใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง แต่ก็รู้ว่าสิ่งนี้มีความสำคัญต่อพวกมันเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน เพราะเปลือกไข่ช่วยมอบพลังให้กับพวกมันได้ไม่น้อยเลย
ตอนนี้มันอยากจะมอบเปลือกไข่ชิ้นสุดท้ายให้กับเธอ ซึ่งเหนือความคาดหมายของเธอเป็นอย่างยิ่ง ท้้งยังรู้สึกดีใจมาก เธอยื่นมือมาลูบหัวมันแล้วเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทิ้งเอาไว้ให้เจ้า กินแล้วเพิ่มพูนพลังยุทธ์ของเจ้าได้ เจ้ากินไปให้หมดเถิด”
“แต่ข้าอยากมอบให้ท่านนี่นา!” สายรุ้งพูด
“มันมีประโยชน์กับเจ้ามากกว่านะ ในภายหน้าหากเจ้ามีของดีก็ค่อยมอบให้ข้าแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
สายรุ้งครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้”
จากนั้นมันก็กินเปลือกไข่ลงไปจนหมด
“เอาละ ตอนนี้พวกเราเดินทางไปยังอาณาจักรทักษิณายาตรกันได้แล้วกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เจ้าไก่ฟ้าพยักหน้า เดิมทีพวกเขาจะรอให้สายรุ้งฟักออกมาก่อน ตอนนี้มันถือกำเนิดออกมาแล้ว เขาจึงเต็มใจจะติดตามเธอไปยังอาณาจักรทักษิณายาตร
พวกเขาไปยังเมืองหลินชวนก่อน แล้วใช้ค่ายกลนำส่งจากที่นั่นไปยังเมืองสงบนิรันดร์ เมืองหลวงของอาณาจักรทักษิณายาตร
พอมาถึงเมืองสงบนิรันดร์ ตอนมาถึงสมาคมปรมาจารย์วิญญาณก็พบกับการตรวจสอบ ซือหม่าโยวเย่ว์ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมือสังหารจำนวนไม่น้อย
“ดูเหมือนจักรพรรดิทักษิณายาตรผู้นั้นจะหวั่นเกรงโอวหยางน่าดูเลยนะ” เป่ยกงถังพูดพลางพยุงซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้
“ไม่ใช่หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “การปรากฏตัวของโอวหยางย่อมทำให้ตำแหน่งในอาณาจักรทักษิณายาตรของเขาสั่นคลอน เขาย่อมหาหนทางสังหารโอวหยางอยู่แล้วละ”
เจ้าไก่ฟ้ายืนอยู่ข้างๆ ส่วนร่างจำแลงของสายรุ้งนั้นยืนอยู่บนบ่าของเธอ
“พี่สาวช่างน่าสงสารเหลือเกิน” เส้นขนบนร่างของสายรุ้งนั้นมีหลากสีสัน จึงดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย
“ใครกันที่เป็นคนสร้างค่ายกลนำส่งบ้านี่ ช่างเป็นของที่ด้อยคุณภาพเสียจริง!” ซือหม่าโยวเย่ว์บ่น
“เอาน่า หากไม่สบายเจ้าก็พูดให้น้อยลงสักสองสามประโยคเถิด” เว่ยจือฉีพูด “พวกเราไปหาที่พักกันก่อนแล้วค่อยไปสืบข่าวคราวกัน”
พวกเขาไปหาห้องพักที่โรงเตี๊ยมในบริเวณใกล้ๆ ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกตัวโอวหยางเฟยออกมาแล้วถามว่า “เจ้ามีคนที่พอพึ่งพาได้อยู่หรือไม่”
“มี แต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” โอวหยางเฟยพูด “นอกจากนี้ยังไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้พวกเขายังคงเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไม่”
“ไปดูก่อนเดี๋ยวก็รู้เองแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากพึ่งพาได้ก็ให้เขามาที่นี่แล้วให้เล่าสถานการณ์ที่นี่ให้เจ้าฟัง ตอนนี้พวกเรายังมีเวลาเตรียมการกันอีกหลายวัน”
“อื้ม… ข้าจะบอกที่อยู่ให้พวกเจ้าแล้วกัน” โอวหยางเฟยพูด
โอวหยางเฟยบอกที่อยู่แห่งหนึ่งมา เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีไปสืบข่าวแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงอาศัยจังหวะนี้งีบหลับครู่หนึ่ง หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังคงไม่สบายอยู่ เพื่อมิให้เป็นการถ่วงเวลาจนเรื่องราวเนิ่นช้า จึงเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ
หลังจากเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีกลับมาแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พักผ่อนเสร็จเรียบร้อย พวกเขาอัดกันอยู่ในห้องของเธอเพื่อคุยกันถึงเรื่องที่ไปสืบมาในวันนี้
“วันนี้พวกเราไปดูสถานที่มาสองแห่งแล้วพบว่าหนึ่งในคนที่เจ้าบอกมาได้ไปสวามิภักดิ์กับจักรพรรดิทักษิณายาตรเสียแล้ว ส่วนอีกคนนั้นใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะไม่ยอมไปเข้าพวกกับจักรพรรดิทักษิณายาตร”
“สถานการณ์ของพวกท่านตาข้าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” โอวหยางเฟยถาม
เว่ยจือฉีส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “พวกเราดูสถานการณ์ทางนั้นไม่ออกเลย ตอนนี้ทหารจำนวนไม่น้อยได้ปิดล้อมแยกพื้นที่บริเวณนั้นเอาไว้ คนทั่วไปมิอาจเข้าใกล้ได้
“ข้าว่านะ ยามราตรีก็เรียกคนผู้นั้นออกมา แล้วให้เขาเล่าสถานการณ์ของเมืองหลวงให้พวกเราฟัง” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เรื่องนี้ก็พอทำได้อยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์เออออ “ถ้าหากพวกเราสืบข่าวไปทั่ว ย่อมต้องดึงดูดความสนใจของราชสำนักอย่างแน่นอน มิสู้หาคนผู้หนึ่งมาถามให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า”
“ได้ เช่นนั้นก็ไปพาตัวเขามาถามกัน” โอวหยางเฟยพูด หลังจากนั้นจึงมองพวกเว่ยจือฉีแล้วเอ่ยว่า “เรื่องคราวนี้ต้องรบกวนพวกเจ้าด้วยนะ พวกเจ้าระวังความปลอดภัยกันด้วยล่ะ”
“พวกเราจะระวัง” เว่ยจือฉีพูดจบก็จากไปพร้อมกับเจ้าอ้วนชวี
ยามดึกสงัด ทุกคนต่างมิได้หลับพักผ่อน เสี่ยวเอ้อร์ที่ชั้นล่างต่างถึงเวลาง่วงเหงาหาวนอนกันหมดแล้ว พวกเว่ยจือฉีจึงพาตัวคนผู้หนึ่งกลับมา
ผู้มาเยือนปกปิดตัวตนด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่จนทำให้คนมองตัวตนของเขาไม่ออก
หลังจากเคาะประตู เว่ยจือฉีก็พาคนผู้นั้นเข้าไป
“ฝ่าบาท!” เมื่อคนผู้นั้นเห็นโอวหยางเฟยที่อยู่ในห้องจึงถอดเสื้อคลุมแล้วพุ่งตัวเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเขา
“ท่านอากุ้ย ท่านลุกขึ้นก่อนเถิด” โอวหยางเฟยพยุงเขาขึ้นมา
“ฝ่าบาท ในที่สุดพระองค์ก็กลับมาเสียที!” ท่านอากุ้ยลุกขึ้นยืนตามแรงพยุงของเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพระองค์จะต้องยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างแน่นอน กระหม่อมรอพระองค์กลับมาอยู่ตลอดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ! หลายปีที่ผ่านมานี้พระองค์ทรงสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี” โอวหยางเฟยพูด “ท่านอากุ้ย ตอนนี้พวกท่านแม่และท่านตาของข้าอยู่ที่ไหนกันหรือ แล้วสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
“ฝ่าบาท อย่าทรงร้อนพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้พวกเขายังไร้อันตรายอยู่” ท่านอากุ้ยปลอบประโลม “โอวหยางตงอยากจะให้พระองค์เสด็จกลับมา ย่อมต้องให้พวกเขามีชีวิตอยู่แล้ว เพียงแต่สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้มิสู้ดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันหรือ”
“ถูกขังอยู่ในคุกหลวงกันหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอากุ้ยพูด “ หลังจากโอวหยางตงขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็ดีต่อพระชายามาโดยตลอด แต่เมื่อหลายวันก่อน จู่ๆ ก็บอกว่าพระชายาประชวรหนัก ให้พวกใต้เท้าซางเข้าวังไปเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าพอเข้าไปแล้วจะจับพวกเขาทั้งหมดขังเอาไว้บอกว่าพวกเขามีเจตนาก่อกบฏ ทั้งยังบอกว่าจะประหารพวกเขาอีกด้วย”
โอวหยางเฟยได้ฟังคำพูดของท่านอากุ้ยแล้วสีหน้าเขียวคล้ำ เขาพูดอย่างชิงชังว่า “เมื่อหกปีก่อนก็เป็นเขานี่แหละที่ลอบลงมือกับข้า อาศัยจังหวะที่ข้าออกไปข้างนอก ส่งคนไปไล่ล่าสังหารข้าไม่หยุดหย่อน ทำให้ข้าต้องไปหลบอยู่ในเทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วเข้าไปในอาณาจักรตงเฉิน ตอนนี้เขายังคิดจะแตะต้องท่านแม่กับท่านตาของข้าอีก!”
“เมื่อหกปีก่อนเป็นเขาที่ส่งคนไปตามล่าพระองค์จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอากุ้ยปาดน้ำตาพลางเอ่ยถาม
“ผู้ที่ตามล่าสังหารข้าล้วนเป็นคนตระกูลหลี่ทั้งสิ้น พระสนมหลี่คิดจะกำจัดข้ามาโดยตลอด จึงให้คนของตระกูลเขาออกมาทำเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วล่ะ!” โอวหยางเฟยพูด
“หลังจากที่พระองค์ทรงหายสาบสูญไป อดีตจักรพรรดิก็ไม่ทรงโปรดตระกูลซางอีกต่อไป ตระกูลซางค่อยๆ เลือนหายไป แต่ตระกูลหลี่กลับมีอำนาจล้นฟ้า แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ” ท่านอากุ้ยพูด “หลายปีมานี้พวกเขาขยายอิทธิพลไปไม่น้อย กลายเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนโอวหยางตงให้ขึ้นครองบัลลังก์”
“พลังยุทธ์ของโอวหยางตงผู้นั้น ต่อให้พัฒนาก็คงยกระดับไปได้ไม่สูงสักเท่าไหร่นัก นึกอยากจะครองบัลลังก์ ก็จำเป็นจะต้องมีคนคอยปกป้องคุ้มภัยให้เขา ส่วนตระกูลหลี่ก็ต้องการจักรพรรดิหุ่นเชิดมาควบคุมทั้งอาณาจักรทักษิณายาตรอยู่พอดี” โอวหยางเฟยกำหมัดแน่น “เดิมทียังคิดจะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองปี คิดไม่ถึงว่าเขาจะรีบร้อนรนหาที่ตายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้เขาเอง!”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงคิดจะทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอากุ้ยถาม
“เขามิได้อยากให้ข้าปรากฏตัวหรอกหรือ ข้าก็จะปรากฏตัว หลังจากนั้นก็จะกระชากเขาลงมาจากบัลลังก์เสีย ให้เขากับตระกูลหลี่หายสาบสูญไปตลอดกาล!”
“ฝ่าบาท อย่าทรงทำอะไรบุ่มบ่ามนะพ่ะย่ะค่ะ!” ท่านอากุ้ยพูดอย่างตื่นตระหนก “โอวหยางตงได้คิดเอาไว้แล้วว่าพระองค์จะปรากฏตัว ดังนั้นจึงได้วางแผนเช่นนี้เอาไว้ ถ้าหากพระองค์ทรงออกไปเช่นนี้จริงๆ จะต้องถูกเขาปลิดชีพอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ตอนนี้พวกท่านมีกันอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน แต่เขามีทหารทั้งกองทัพและองครักษ์อีก”
………………………………………..