เจ้าคำรามน้อยออกมาจากห้องขัง ไปเสาะหาตำหนักของซางมู่อวี่โดยอ้างอิงจากเส้นทางที่ท่านยายบอกก่อนหน้านี้ แต่เพิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าใดก็หลงทางเสียแล้ว
“เย่ว์เย่ว์ ข้าหาทางไม่เจอแล้ว” มันติดต่อกับซือหม่าโยวเย่ว์ผ่านสายสัมพันธ์ของการทำพันธสัญญา
“เอ่อ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่คิดว่าเจ้าคำรามน้อยจะโง่เรื่องเส้นทางมากถึงขนาดนี้ จึงเอ่ยถามว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหนแล้ว”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน!” เจ้าคำรามน้อยพูด “ข้าเห็นตำหนักที่หรูหราใหญ่โตมากแห่งหนึ่ง มีคนอยู่มากมาย ไอ้หยา เย่ว์เย่ว์ ข้าเห็นเจ้าวายร้ายตัวเอ้นั่นแล้ว!”
“วายร้ายตัวเอ้หรือ วายร้ายตัวเอ้ที่ไหนกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ก็ตาเฒ่าตระกูลน่าหลานที่พบเมื่อคราวก่อนตอนอยู่ที่เมืองหลินชวนผู้นั้นอย่างไรเล่า” เจ้าคำรามน้อยพูด “เขากำลังคุยกับชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีเหลืองคนหนึ่งอยู่!”
“เจ้าอธิบายลักษณะของสถานที่แห่งนั้นให้ข้าฟังอีกสักหน่อยสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เจ้าคำรามน้อยอธิบายลักษณะของตำหนักให้ฟัง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถ่ายทอดต่อไปยังท่านยายของโอวหยางเฟย ท่านยายจึงพูดอย่างมั่นใจว่า “นั่นคือห้องนอนของโอวหยางตง ชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีเหลืองผู้นั้นต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน”
“โอวหยางตงไปมีความสัมพันธ์กับคนของตระกูลน่าหลานได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย “เจ้าคำรามน้อย เจ้าไปฟังหน่อยสิว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”
“ได้สิ เย่ว์เย่ว์” เจ้าคำรามน้อยทะลุผ่านข่ายมนตร์เข้าไปใกล้ห้องของพวกเขา
ถึงแม้ว่าที่นี่จะมียอดฝีมืออยู่มากมาย แต่กลับไม่มีใครพบตัวมันเลย
อย่างที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูดว่าทักษะทางด้านการต่อสู้ของมันไม่แข็งแกร่ง แต่ในเรื่องพวกนี้นั้นล้ำเลิศยิ่งนัก ถ้าหากมันต้องการ แม้กระทั่งเจ้าไก่ฟ้าก็ยังไม่แน่ว่าจะหาร่องรอยของมันพบ
ภายในห้อง น่าหลานหงและโอวหยางตงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งสองกำลังจิบชากันอย่างไม่เร็วไม่ช้า
“ฝ่าพระบาท พระองค์ทรงมีดำริเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” น่าหลานหงถาม
โอวหยางตงเอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่าดูว่า “สิ่งที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ ตระกูลซือหม่าส่งคนมาจริงหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” น่าหลานหงพูด “โอวหยางเฟยและเจ้าเด็กตระกูลซือหม่าผู้นั้นต้องเดินทางเข้ามาใกล้มากแล้ว พวกเราได้รับข่าวมาว่าเจ้าเด็กผู้นั้นออกมาจากตระกูลซือหม่าได้หลายวันแล้ว อีกทั้งในเรือนของพวกโอวหยางเฟยก็ไม่มีคนแล้วด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าโอวหยางเฟยที่สมควรตาย ถึงกับกล้ารวบรวมคนของตระกูลซือหม่ามาที่นี่ด้วย!” โอวหยางตงก่นด่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็แค่เด็กน้อยตระกูลซือหม่าคนหนึ่งเท่านั้น จะมาก่อคลื่นลมในอาณาจักรทักษิณายาตรของข้าได้อย่างไรกัน! ถ้าหากร่วมมือกันกับเจ้าเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องใช้เมืองแห่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยน อาณาจักรทักษิณายาตรของข้าจะไม่ขาดทุนยับเยินหรอกหรือ”
“พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เจ้าเด็กนั่นมิได้เป็นแค่คนเพียงคนเดียวเท่านั้น คนของตระกูลซือหม่าหลายคนก็หายตัวไปด้วย พระองค์จะทรงบอกได้หรือว่ามิได้มาด้วยกันกับเขา” น่าหลานหงพูด “ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเราตระกูลน่าหลานไม่เพียงแต่จะช่วยพระองค์จัดการกับตระกูลซือหม่าเท่านั้น แต่ยังช่วยพระองค์จัดการคนอื่นๆ ได้ด้วย ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีตระกูลหลี่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังภักดีกับโอวหยางเฟยอยู่ พวกเขาไม่เชื่อว่าโอวหยางเฟยตายแล้ว ถ้าหากเมื่อใดที่เขาปรากฏตัวขึ้น เชื่อว่าจะต้องมีคนครึ่งเมืองหลวงพากันต่อต้านพระองค์อย่างแน่นอน! พระองค์ทรงมีกำลังมากมายเช่นนั้นไปรับมือพวกเขาหรือไม่เล่า”
โอวหยางตงเงียบงันไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เขากังวลใจอยู่เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าจะล่อโอวหยางเฟยออกมา แต่ถ้าหากเขาโผล่มาจริงๆ เขาก็ต้องรีบปราบปรามในทันที มิฉะนั้นหากรอให้คนเหล่านั้นตอบสนองกลับมาแล้วไปสนับสนุนเขา ตนก็คงวุ่นวายแน่แล้ว
น่าหลานหงเห็นสีหน้าของโอวหยางตงแล้วรู้ว่าเขาก็กำลังเป็นกังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกัน จึงเอ่ยต่อไปว่า “ที่เมืองหลวงนี้จะต้องมีคนจับจ้องพระองค์อยู่ไม่น้อย พระองค์มีความสามารถใดบ้าง พวกเขาล้วนล่วงรู้ทั้งสิ้น ซางหลุนผู้นั้นถึงแม้ว่าจะถูกพระองค์คุมขังเอาไว้ แต่ผู้ที่ติดตามเขาย่อมต้านทานไว้ได้อย่างแน่นอน พวกเขาล่วงรู้กำลังความสามารถของพระองค์ ส่วนพวกเราตระกูลน่าหลานเป็นไพ่ลับของพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“สิ่งที่เจ้าพูดเป็นเพียงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น” โอวหยางตงพูด
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพียงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจริงๆ แต่ถ้าหากความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นพอดีเล่าพ่ะย่ะค่ะ” น่าหลานหงพูด “ถ้าหากความเป็นไปได้เช่นนี้ล้มล้างราชบัลลังก์ของพระองค์แล้วพระองค์ทรงคิดจะทำเช่นไรหรือ ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่พวกเราต้องการคือเมืองแห่งนั้น เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชายแดนอาณาจักรอู๋กลางของพระองค์ เป็นเพียงแค่ขนวัวเส้นเดียวในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์เท่านั้น ใช้เมืองเล็กๆ เมืองเดียวมาแลกกับการรับประกันว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นี่เป็นการซื้อขายที่คุ้มค่าอย่างยิ่งเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
โอวหยางตงนิ่งคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ก็ได้ ข้าตกลงร่วมมือกับเจ้า!”
“ฝ่าพระบาททรงพระปรีชานัก!” น่าหลานหงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราก็มาหารือในรายละเอียดกันได้แล้ว อย่างเช่นพวกเรามีคนมากน้อยเท่าใด อะไรพวกนี้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้สิ”
เจ้าคำรามน้อยเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟัง รวมทั้งข้อตกลงและแผนการโดยละเอียดเบื้องหลังพวกเขาด้วย จนกระทั่งน่าหลานหงจากไป มันถึงค่อยออกมาจากตำหนักแห่งนั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังคำพูดของเจ้าคำรามน้อยจบแล้ว ในใจก็เกิดความสงสัยไม่น้อย คนตระกูลซือหม่าส่วนหนึ่งออกมาจากตระกูลอย่างนั้นหรือ แล้วพวกเขาไปที่ไหนกัน คงจะมิได้ออกมาหาเธอจริงๆ หรอกกระมัง
“บางทีอาจจะแค่มีเรื่องอะไรให้ต้องออกมาก่อนก็ได้” เธอพูดปลอบตัวเอง หลังจากนั้นจึงให้ท่านยายช่วยชี้ทางเจ้าคำรามน้อยจนหาตำหนักของซางมู่อวี่พบ
ในยามนี้ตำหนักอันหรูหราอ้างว้างวังเวง มีเพียงแค่สาวใช้สองสามคนเท่านั้นที่ยังอยู่ในตำหนัก ส่วนคนอื่นๆ ได้จากไปกันหมดแล้ว
ตอนที่เจ้าคำรามน้อยเข้าไปก็เห็นหญิงงามวัยกลางคนผู้หนึ่งเอนพิงหน้าต่างอย่างเหม่อลอยอยู่
“พระชายา พระองค์ทรงพักผ่อนให้เร็วหน่อยเถิดเพคะ” สาวใช้กระโปรงแดงคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้วเพคะ ตอนนี้วรยุทธ์ของพระชายาถูกผนึกเอาไว้ พระวรกายไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาเลย แล้วถ้าทรงพระประชวรไปเล่าเพคะ” นางกำนัลอีกคนหนึ่งเข้ามาพูดด้วย
นางกำนัลผู้นี้น่าจะเป็นสาวใช้จากตระกูลซางที่ติดตามเข้าวังมาด้วย จึงได้มีความสัมพันธ์อันดีกับซางมู่อวี่ นางนำเสื้อคลุมมาคลุมร่างซางมู่อวี่
ซางมู่อวี่มิได้ตอบสนองแต่อย่างใด เพียงแค่มองพระจันทร์นอกหน้าต่างแล้วเอ่ยว่า “ชิงชิง ถ้าหากเฟยเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ข้าจะสบายดีหรือไม่แล้วจะสำคัญตรงไหนเล่า”
“พระชายา ฝ่าบาทจะต้องทรงมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างแน่นอนเพคะ” ชิงชิงพูดอย่างมั่นใจ “ถ้าหากฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว โอวหยางตงก็คงไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้หรอกเพคะ ข้าเคยได้ยินผู้อื่นพูดกันว่า เพราะฝ่าบาทยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แล้วเขาล่วงรู้เข้า จึงใช้วิธีการเช่นนี้ล่อลวงพระองค์มา”
“ถ้าหากเฟยเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเขาจงอย่ามาเลยดีกว่า ที่นี่อันตรายถึงเพียงนี้ ถ้าหากเขามาก็ติดกับของโอวหยางตงเลยน่ะสิ”
“เจ้าโอวหยางตงนั่นถึงกับกล้าทำเรื่องพรรค์นี้ได้ สุดท้ายแล้วต้องมีจุดจบที่เลวร้ายอย่างแน่นอนเพคะ” สาวใช้กระโปรงแดงพูด
“พระชายา พระองค์ทรงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดนะเพคะ” ชิงชิงเอ่ยเตือนอีกครั้ง
ซางมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่รู้เลยว่าพวกท่านพ่อเป็นเช่นไรกันบ้าง วันประหารก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แต่พวกเขายังติดอยู่ในคุกกันอยู่เลย ทว่าบุตรสาวอย่างข้ากลับมิอาจช่วยพวกเขาออกไปได้”
“ทรงวางพระทัยเถิด บิดาของพระองค์ออกจากคุกไปเรียบร้อยแล้ว”
เสียงหนึ่งดังแว่วมาตามลม ทำให้ทั้งสี่คนที่อยู่ในห้องตกใจจนสะดุ้ง
“ใครกันน่ะ!” พวกชิงชิงรีบเข้าไปปกป้องซางมู่อวี่เอาไว้ตรงกลาง
“หญิงงาม ท่านช่างสวยเหลือเกิน!”
ร่างกายของเจ้าคำรามน้อยค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศ หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของซางมู่อวี่
“นี่คือสิ่งใดกัน” นางกำนัลกระโปรงฟ้าอีกคนเห็นเจ้าคำรามน้อยปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันจึงร้องอุทานอย่างตกใจ
เจ้าคำรามน้อยนอนอยู่ในอ้อมแขนของซางมู่อวี่พลางจ้องมองนางตรงๆ
ซางมู่อวี่สงบลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครน่ะ เจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน”
เจ้าคำรามน้อยปาดผมหน้าม้าที่ไม่เคยมีอยู่จริงของมันแล้วพูดอย่างหลงตัวเองว่า “ข้าคือเจ้าคำรามน้อยผู้มีรูปโฉมและความสามารถอันล้ำเลิศโดยกำเนิด มาเพื่อปกป้องหญิงงามอย่างท่านโดยเฉพาะ!”
…………………………………………..