ซางมู่อวี่ได้ฟังเจ้าคำรามน้อยแนะนำตัวเองอย่างหลงตัวเองแล้วจึงหัวเราะออกมาในทันใด ก่อนจะเอ่ยว่า “ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักเสียจริง เจ้ามาจากที่ไหนหรือ”
“ข้ามาจากคุกน่ะ” เจ้าคำรามน้อยพูด
“คุกหรือ”
“ถูกต้อง เย่ว์เย่ว์ของพวกเราให้ข้านำยาถอนพิษมาส่งให้สาวงามอย่างพวกท่าน และท่านแม่ของท่านยังให้ข้านำปิ่นปักผมของนางมาเป็นของแทนตัวด้วย!” เจ้าคำรามน้อยหยิบปิ่นปักผมและขวดหยกออกมาพลางเอ่ยว่า “พิษของคนตระกูลซางเหล่านั้นได้รับการถอนไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“เจ้าพูดจริงหรือ” ซางมู่อวี่ไม่เชื่อหูตัวเองอยู่บ้าง
เจ้าคำรามน้อยวางปิ่นปักผมลงในมือนางแล้วเอ่ยว่า “ท่านดูสิ นี่คือปิ่นปักผมที่มารดาของท่านให้มา มีเย่ว์เย่ว์ของข้าอยู่ ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาแล้วละ!”
“นี่คือปิ่นปักผมของท่านแม่” ซางมู่อวี่ได้เห็นสิ่งของของมารดาตนอีกครั้งแล้วอดหลั่งน้ำตาราวกับสายฝนมิได้
เจ้าคำรามน้อยรีบบินขึ้นมาในทันที อุ้งเท้าปุกปุยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พลางเอ่ยว่า “คนงาม อย่าร้องไห้สิ พวกเขาอยู่ในคุกอย่างสบายดียิ่ง คนทั้งข้างนอกและในนี้ต่างเตรียมตัวร่วมมือกับพวกโอวหยางเฟย ลากโอวหยางตงลงจากบัลลังก์ในคราเดียว”
มือของซางมู่อวี่ที่กำลังปาดน้ำตาอยู่หยุดชะงัก นางจับตัวเจ้าคำรามน้อยไว้พลางเอ่ยว่า “เจ้าพูดอะไรของเจ้า เฟยเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ”
“ไอ้หยาๆ!” เจ้าคำรามน้อยอุทานสองครั้งแล้วเอ่ยว่า “คนงาม ถึงแม้ว่าข้าจะชอบที่ท่านกอดข้าแต่ท่านไม่ต้องออกแรงมากขนาดนี้ก็ได้นี่!”
นางกำนัลทั้งสามมองเจ้าคำรามน้อย พวกนางดูอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าเจ้าคำรามน้อยกำลังเกี้ยวพานเจ้านายของพวกนางอยู่
ซางมู่อวี่ได้ฟังวาจาของเจ้าคำรามน้อยแล้วผ่อนคลายลง ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ข้าตื่นเต้นเกินไปน่ะ เจ้าบอกว่าเฟยเอ๋อร์กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง! กลับมาพร้อมกับเย่ว์เย่ว์ของข้าด้วย!” เจ้าคำรามน้อยพูด “คนงาม ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเขาแล้วละ เขาสบายดี มิได้ถูกจับกุมตัว นอกจากนี้ตอนนี้ยังอยู่กับบิดาของท่านด้วย พวกเขากำลังติดต่อผู้คนเพื่อเตรียมตัวโจมตีวังหลวงอยู่ข้างนอก!”
“ท่านพ่อข้าออกจากวังแล้วอย่างนั้นหรือ โอวหยางตงจะไม่รู้เชียวหรือว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น แล้วถ้าหากเขาพบว่าเฟยเอ๋อร์กลับมาแล้วจะทำเช่นไร” ซางมู่อวี่พูดอย่างร้อนใจ
“ไม่มีทางหรอก เย่ว์เย่ว์ของข้าปลอมตัวเป็นท่านพ่อของท่านอยู่ในคุกแล้ว!” เจ้าคำรามน้อยปลอบ
“เจ้าคำรามน้อย เจ้าช่วยเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้ข้าฟังหน่อยซิ” ซางมู่อวี่พยายามทำให้ตนเองสงบลงมาแล้วพูดกับเจ้าคำรามน้อย
“ได้เลย” เจ้าคำรามน้อยพยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ดังนั้นสาวงามก็อย่าได้กังวลใจไปเลยนะ พวกเขาต้องจัดการได้เป็นอย่างดีแน่”
หลังจากซางมู่อวี่ฟังจบแล้วจึงค่อยคลายใจลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่บ้าง จึงเอ่ยถามว่า “พวกเขาทำเช่นนี้แล้วถ้าหากถูกพบเข้าจะทำอย่างไรเล่า!”
“ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้ล้มเหลว เจ้าไก่ฟ้าก็ต้องปกป้องพวกเขาได้แน่” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เจ้าไก่ฟ้าคือใครหรือ” ชิงชิงถาม
“เขาคือผู้คุ้มกันประจำตัวเย่ว์เย่ว์ของข้า เป็นสัตว์อสูรเหนือเทพตนหนึ่ง!” เจ้าคำรามน้อยพูด
“สัตว์… สัตว์อสูรเหนือเทพหรือ” สาวงามทั้งสี่คนต่างตกใจจนสะดุ้งแล้วเอ่ยว่า “สัตว์อสูรเหนือเทพคือผู้คุ้มกันประจำตัวเจ้านายของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง!”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเทือกเขาสั่วเฟยย่ามีสัตว์อสูรเหนือเทพตนหนึ่งปรากฏขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นผู้คุ้มกันประจำตัวเจ้านายของเจ้าไปได้” ซางมู่อวี่ได้ฟังเจ้าคำรามน้อยพูดเช่นนี้แล้วจึงคลายความกังวลใจอย่างแท้จริง
“เอาละ พวกท่านรีบกินยาถอนพิษเถิด เย่ว์เย่ว์บอกว่าหลังจากกินแล้วนั่งสมาธิหนึ่งคืน พรุ่งนี้ก็จะฟื้นฟูวรยุทธ์ได้แล้ว” เจ้าคำรามน้อยพูด
“แล้วเจ้าเล่า” ซางมู่อวี่ถาม
“ข้าก็ต้องทำหน้าที่คุ้มกัน ปกป้องพวกท่านอยู่แล้วสิ” เจ้าคำรามน้อยพูด “เย่ว์เย่ว์ของข้าบอกว่าให้ข้าคอยปกป้องพวกท่านอยู่ที่นี่”
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วยนะ!” นางกำนัลกระโปรงแดงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“พระชายา ตอนนี้ทรงทราบสถานการณ์ภายนอกแล้ว พระองค์ก็ทรงวางพระทัยได้แล้วนะเพคะ ตอนนี้รีบเสวยยาถอนพิษลงไปก่อนเถิด หากหลังจากนี้เกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นก็จะได้ปกป้องพระวรกายของพระองค์ได้” ชิงชิงพูด
“ได้เลย” ซางมู่อวี่รับคำ
เมื่อวางภาระในใจลงแล้ว จิตวิญญาณของซางมู่อวี่ก็ดีขึ้นไม่น้อย ไม่เห็นความหม่นหมองบนใบหน้าอีกต่อไป
พวกซางมู่อวี่ต่างถอนพิษจนหมดไปในคืนนี้ เจ้าคำรามน้อยปีนขึ้นไปบนโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้วจ้องมองนางตลอดเวลา แสดงความหื่นกระหายออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ภายในห้องขัง ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ล่วงรู้สถานการณ์ของซางมู่อวี่จากเจ้าคำรามน้อย จึงเล่าให้คนตระกูลซางฟัง ทำให้ทุกคนสงบจิตใจลงได้เล็กน้อย
แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับกังวลใจอยู่บ้าง เธอยังคงนึกถึงคำพูดของน่าหลานหงอยู่
คนของตระกูลซือหม่าออกจากตระกูลเพื่อมาหาเธอจริงๆ หรือ
“ไม่น่าจะใช่กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พึมพำ “จิ้งจอกเฒ่านั่นคงไม่เต็มใจให้พวกเขามาเสี่ยงอันตรายหรอก”
ทว่ายังไม่ทันถึงสองวัน ข่าวที่ย่ากวงส่งมาก็ทำให้เธอแทบจะกระโดดขึ้นมาจากพื้น
“เจ้านาย พวกคุณชายโยวหลินมาที่นี่” ย่ากวงพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวใจเต้นรัวพลางถามอย่างอ่อนใจว่า “พวกเขามาได้อย่างไรกัน”
“พวกข้าถามแล้วคุณชายโยวหลินบอกว่ามาฝึกประสบการณ์” ย่ากวงตอบ
ซือหม่าโยวเย่ว์พอจะนึกสีหน้าของซือหม่าโยวหลินยามเอ่ยประโยคนี้ได้ จึงเอ่ยถามว่า “พวกเขามีใครมาบ้าง”
“พี่ชายทั้งสี่ของท่านมากันหมด แล้วยังมีคุณชายโยวหยาง กับคุณหนูโยวหลานและคุณหนูโยวฉิงด้วย ทั้งยังมีคนที่ข้าไม่รู้จักอีกหลายคน แต่ก็จะไปเข้าร่วมงานประลองด้วยเช่นกัน” ย่ากวงพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์กัดฟันกรอด “เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นยอมให้พวกเขามาที่นี่กันได้อย่างไร ไม่กลัวลูกหลานอย่างพวกเขาถูกจัดการจนหมดหรือ!”
ย่ากวงเข้าใจความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงเอ่ยว่า “คุณชายโยวหยางบอกว่าท่านปู่ของเขาพูดว่ามีท่านอยู่ทั้งคน พวกเขาย่อมไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน ท่านต้องพาพวกเขาไปเข้าร่วมงานประลองได้แน่!”
ซือหม่าโยวเย่ว์กำหมัดแน่นแล้วคลาย คลายแล้วกำแน่นใหม่ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จึงจะระงับเพลิงโทสะภายในใจเอาไว้ได้แล้วเอ่ยว่า “จิ้งจอกเฒ่า เจ้ารอข้าก่อนเถิด!”
“โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” ท่านยายของโอวหยางเฟยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์พยายามระงับโทสะของตนอยู่จึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ แค่ถูกจิ้งจอกเฒ่ากัดเอาคำหนึ่งเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้ม หลังจากนั้นจึงพูดกับย่ากวงว่า “เจ้าบอกพวกเขาว่าอย่าวิ่งวุ่นไปทั่วล่ะ ในเมื่อตระกูลน่าหลานรู้แล้วว่าพวกเขามาที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจมาหาเรื่องพวกเขาได้ตลอดเวลา”
“ได้เลยเจ้านาย ข้าจะบอกพวกเขาเอง” ย่ากวงพูด
“อืม เจ้ากำชับพวกเขาอีกครั้ง ถ้าหากใครแขนเดาะขาหักไป ข้าก็ช่วยพวกเขาไม่ได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม “ดังนั้นอย่าได้อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกอย่าง และอย่าพุ่งเข้าใส่ทุกสิ่งทุกอย่างด้วย”
“ขอรับ เจ้านาย”
ย่ากวงถ่ายทอดคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ให้พวกซือหม่าโยวหยางฟัง ซือหม่าโยวหยางพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ต่อให้พวกเราไม่กลัวแขนเดาะขาหัก พวกเราก็ไม่วิ่งวุ่นไปทั่วอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ข้าจินตนาการท่าทางที่โยวเย่ว์โมโหจนกระทืบเท้าได้เลย” ซือหม่าโยวฉิงปิดปากหัวเราะ
“ใช่เลย ความจริงแล้วเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาเด็กกว่าพวกเรา แต่กลับรับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องดูแลเราตลอด” ซือหม่าโยวหลานพูด “ได้พบเขาที่เป็นเช่นนี้ ช่างห่างไกลจากเด็กน้อยในอาณาจักรตงเฉินที่ข้าเคยพบคนนั้นเหลือเกิน”
“ถึงแม้ว่าโยวเย่ว์จะกำลังโกรธ แต่เขาก็พูดได้ไม่เลว พวกเราห้ามออกไปตามลำพังเป็นอันขาด คนของตระกูลน่าหลานกำลังจับจ้องพวกเราราวกับเสือจ้องเหยื่ออยู่” โยวหลินพูด
“พวกเราเข้าใจแล้ว” ซือหม่าโยวหยางพูด “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากโยวเย่ว์ได้รู้ว่าที่พวกเรามากันก็เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลน่าหลานกับอาณาจักรทักษิณายาตรแล้วจะโมโหจนกระอักเลือดหรือไม่”
ซือหม่าโยวหลินมองซือหม่าโยวหยางปราดหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเรียบเรื่อยว่า “เจ้าลองดูสิ ลองบอกเขาแล้วคอยดูการตอบสนองก็ได้นี่”
…………………………………