ซือหม่าโยวเย่ว์บอกเจ้าคำรามน้อยว่าหากมีเวลา ให้ไปสำรวจรอบๆ วังหลวงดูว่าพอจะสืบข่าวอะไรได้บ้างหรือไม่
จอมหลงทางอย่างเจ้าคำรามน้อยก็ยังไปฟังเรื่องราวต่างๆ มาได้ไม่น้อย ภายใต้การหลงทางไม่หยุดไม่หย่อน มันบอกซือหม่าโยวเย่ว์ แล้วมันก็บอกย่ากวงด้วย เพื่อให้ย่ากวงบอกพวกโอวหยางเฟย
นอกจากนั้นแล้วเธอก็มิได้สนใจเรื่องราวภายนอกแต่อย่างใด ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของโอวหยางเฟย ตนเพียงรับผิดชอบประสานงานก็พอแล้ว
ระยะเวลาหลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งเมืองหลวงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด เมื่อเห็นว่าระยะนี้บนถนนมีสายตรวจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคนแปลกหน้าที่มีมาให้เห็นทุกวัน คนในท้องที่จึงรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
ยามพลบค่ำของวันก่อนที่วันประหารจะประกาศสู่ภายนอก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ได้รับแจ้งจากย่ากวงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ให้เธอพาคนบุกออกไปในวันรุ่งขึ้นได้เลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงบอกพวกเขาว่ามีคนมาแล้ว เพียงไม่นานก็มีทหารยามกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“ใต้เท้าซาง พวกข้ามาส่งพวกเจ้าไปตามทางของพวกเจ้าแล้ว” หัวหน้าทหารยามเดินมาตรงหน้าคุกของพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาอย่างนิ่งสงบแล้วเอ่ยว่า “แค่พวกเจ้าไม่กี่คนเนี่ยนะ”
“มากันตั้งมากมายถึงเพียงนี้ก็นับว่าไว้หน้าพวกเจ้าแล้ว” หัวหน้าทหารยามพูดต่อ “ตอนนี้พวกเจ้าก็เป็นเพียงแค่เดนมนุษย์กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ส่งใครสักคนมาอย่างสุ่มๆ ก็จัดการพวกเจ้าได้ทั้งนั้น เฮอะ ไปเสียที!”
“ไปก็ไป เปิดประตูสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ทหารยามเห็นท่าทางเย็นชาของเธอแล้วจึงส่งเสียงเฮอะอย่างเยียบเย็นก่อนจะโบกมือ ผู้คุมนักโทษคนหนึ่งเดินเข้ามาเปิดประตู คนของตระกูลซางจึงพากันออกมา
“ไปได้แล้ว” หัวหน้าทหารยามเอ่ยเร่ง
“พวกเราเดินเองได้น่า! ไม่ต้องรบกวนพวกเจ้ามานำทางให้พวกเราหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดโดยใช้เสียงของตัวเอง
“เจ้าพูดอะไรนะ” หัวหน้าทหารยามมองซือหม่าโยวเย่ว์ รู้สึกว่าเสียงของเธอไม่ถูกต้อง จึงมองเธออย่างระแวดระวัง
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะก่อนจะกลับสู่ร่างเดิม เธอยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าบอกว่าข้าพาพวกเขาออกไปเองได้ เจ้าก็ไม่ต้องลำบากใจแล้วละ!”
“เจ้าเป็นใครกัน” หัวหน้าทหารยามหยิบอาวุธของตนออกมาชี้ไปยังซือหม่าโยวเย่ว์
“อย่าวู่วามไป อีกประเดี๋ยวเจ้าจะไม่มีแม้แต่แรงมาทำเช่นนี้แล้ว ตอนนี้เก็บแรงเอาไว้หน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วมองทหารยามพลางนับเลข “หนึ่ง สอง สาม ล้ม!”
“ปัง…”
“ปัง…”
พอเธอนับเลขจบ ทหารยามเหล่านั้นก็ล้มลงอย่างนุ่มนวลกันหมด
“โยวเย่ว์ สิ่งนี้ของเจ้าช่างมีประโยชน์จริง!” คนรุ่นหนุ่มสาวของตระกูลซางพูดอย่างตื่นเต้นยินดี
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบขวดหยกใบหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วปิดฝาให้เรียบร้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ยาพิษที่ข้าหลอมขึ้นมานั้นแม้กระทั่งราชันวิญญาณก็ยังต้องพิษได้เลย! สิ่งนี้ใช้ได้ในสถานที่ปิดเท่านั้น พอออกไปข้างนอกแล้วจะให้พวกเจ้าได้รู้จักกับผงพิษชนิดอื่นๆ อีก ไปกันดีกว่า พวกเราไปรับตัวน้าหญิงอวี่กันก่อน ระหว่างนั้นก็ถือโอกาสจัดการพวกคนในวังหลวงไปด้วย!!”
“ไปกันเถิด!”
ด้านนอกตำหนัก เจ้าคำรามน้อยตบอุ้งเท้าของตัวเองพลางเอ่ยว่า “นี่คือยาพิษที่เย่ว์เย่ว์คิดค้นขึ้นมาใหม่ พวกเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเลยไหม”
ทหารยามกลุ่มหนึ่งกำลังถืออาวุธมาจะจัดการกับมัน คิดไม่ถึงว่ามันจะบินขึ้นไปแล้วโปรยผงสีขาวจำนวนไม่น้อยลงมา เมื่อได้ยินมันพูดเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา
“แย่แล้ว ถูกพิษเข้าเสียแล้ว!”
ทหารยามเหล่านั้นทยอยล้มลงหมดสติไปหมดทุกคน
ซางมู่อวี่พานางกำนัลทั้งสามคนออกมา เมื่อเห็นคนที่อยู่บนพื้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าฆ่าพวกเขาหมดเลยหรือ”
เจ้าคำรามน้อยส่ายหน้าพร้อมกับเผยสีหน้าบริสุทธิ์อย่างยิ่งออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะทำเรื่องใจร้ายพรรค์นั้นได้อย่างไรกัน! ข้าก็แค่ทำให้พวกเขาหมดสติ ให้พวกเขาหลับไปสักสองสามวันเท่านั้นเอง”
“ผงเหล่านี้ทำให้พวกเขาหลับไปได้หลายวันเชียวหรือ” ชิงชิงถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าคำรามน้อยพูด “นี่เป็นสิ่งที่เย่ว์เย่ว์คิดค้นขึ้นมาเอง เขาบอกว่าได้ก็ต้องได้สิ เอาละ เย่ว์เย่ว์บอกว่าพวกเขาออกมากันแล้ว พวกเราไปสมทบกับพวกเขากันดีกว่า!”
“ได้เลย”
“เจ้าคำรามน้อย!” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังลอยมา สี่คนกับหนึ่งสัตว์อสูรมองไปก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ท่านแม่!” ซางมู่อวี่วิ่งตรงมาหาพวกเขา เมื่อมาถึงตรงหน้าท่านยายของโอวหยางเฟยจึงมองนางอย่างตื่นเต้นพลางถามว่า “ท่านแม่ พวกท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
“พวกเราไม่เป็นไรหรอก มีโยวเย่ว์อยู่ทั้งคน จะเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเราได้อย่างไรกัน” ท่านยายพูดพร้อมรอยยิ้ม
ซางมู่อวี่มองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ขอบใจเจ้ามากนะ เฟยเอ๋อร์มีสหายเช่นเจ้า ช่างเป็นโชคดีของเขาจริงๆ”
“น้าหญิงอวี่เกรงใจเกินไปแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคำรามน้อยล่วงเกินท่านมาตลอดหลายวันนี้เลยมิใช่หรือ”
“หืม” ซางมู่อวี่ไม่เข้าใจความหมายของเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงใบหูขนาดใหญ่ของเจ้าคำรามน้อยพลางเอ่ยว่า “เจ้านี่ออกจะบ้ากามอยู่บ้าง พอเห็นหญิงงามแล้วต้องน้ำลายไหลก้าวขาเดินไม่ถูก จะต้องล่วงเกินท่านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแน่”
“ฮิๆ” ซางมู่อวี่หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคำรามน้อยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
“เอาละ พวกเราไปกันเถิด วางยาคนในวังให้หมดสติให้หมด หลังจากนั้นก็ออกไปสมทบกับพวกเฟยเอ๋อร์ เมื่อครู่จับตัวคนผู้หนึ่งมาถามจึงได้รู้ว่าโอวหยางตงออกไปนอกวังแล้ว”
“เอาละ พวกเราไปกันเถิด” ซางมู่อวี่พูด
เมื่อมีเจ้าคำรามน้อยคอยโปรยผงยาอยู่ด้านหน้า พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็แทบจะเดินตรงออกไปจากวังได้ทันที
เมื่อรู้ว่าโอวหยางตงน่าจะไปยังลานประหารพร้อมกับน่าหลานหง โอวหยางเฟยจึงตรงไปที่นั่นด้วย เพราะคนตระกูลซางคนอื่นๆ ต่างก็ถูกพาตัวตรงไปที่นั่น พวกเขาจึงรีบตามไป
ภายในโรงเตี๊ยม ย่ากวงบอกโอวหยางเฟยว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้พาคนตระกูลซางออกจากวังเรียบร้อยแล้ว
“ใต้เท้า โอวหยางตงออกจากวังไปยังลานประหารแล้วขอรับ” ทหารยามคนหนึ่งมารายงาน “เขาจับตัวคนที่เหลือของตระกูลไปหมด กำลังรอให้คนในวังพาตัวพวกฮูหยินไป ส่วนคนอื่นๆ ล้วนเป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ทั้งสิ้น”
โอวหยางเฟยยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านตา ท่านพาคนไปจัดการคนตระกูลหลี่ ส่วนข้าจะสู้กับเขาให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย!”
“ได้ เจ้าต้องระวังตัวด้วยล่ะ” ซางหลุนกำชับ
“ข้าทราบแล้ว ท่านตาก็ด้วยนะขอรับ” โอวหยางเฟยพูด
ซางหลุนพาคนจากไป หลายวันนี้เขาได้รู้ถึงความสามารถของพวกเป่ยกงถังแล้ว ทั้งยังรู้ด้วยว่าเจ้าไก่ฟ้าเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพ ตอนที่จากไปจึงรู้สึกวางใจเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าอ้วนชวีโบกมือแล้วเอ่ยว่า “สองปีมานี้มิได้ต่อสู้อย่างจริงจังเลย ในที่สุดวันนี้ก็จะได้ยืดเส้นยืดสายเสียที”
“วันนี้อาจไม่มีการต่อสู้ก็ได้ เจ้าใจเย็นหน่อยเถิด” เว่ยจือฉีพูด
“ข้ารู้น่า ข้าก็เลยเตรียมตัวเอาไว้ให้ดีก่อน” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางหยิบอุปกรณ์ออกมาหลายชุดก่อนจะแบ่งให้กับทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ของเหล่านี้คือสิ่งที่ข้าหลอมเอาไว้ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีเรื่องราว ถึงแม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูงมากนัก แต่ก็ยังต้านรับการโจมตีในระดับทั่วไปได้”
“มิอาจต้านรับการโจมตีระดับสูงได้ แล้วเอาออกมาทำไมกัน” ซือหม่าโยวหยางพูด
“เอาไว้ป้องกันมิให้ถูกผู้อื่นทำร้ายในยามต่อสู้อย่างไรเล่า ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการก็เอามาคืนมาได้นะ” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางยื่นมือไปดึงกลับ
ซือหม่าโยวหยางถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วสวมชุดเกราะเอาไว้บนร่างตนพลางเอ่ยว่า “ดูไม่ออกเลยว่าฝีมือการหลอมของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว! ของสิ่งนี้ดูจะหนาอยู่สักหน่อย แต่พอสวมลงบนร่างแล้วกลับไม่มีน้ำหนักสักนิด!”
“ปัง…” ทันใดนั้นการโจมตีสายหนึ่งก็ปะทะลงบนหน้าท้องเขา จนชายหนุ่มกระเด็นถอยหลังไปสองก้าว
หลังจากที่ซือหม่าโยวหยางยืนอย่างมั่นคงแล้วจึงมองไปยังตัวต้นเหตุพลางเอ่ยถามว่า “โยวหราน เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ”
…………………………………………