ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวหยางที่แทบจะยกขาเตะเขาอยู่แล้วด้วยความสงบ พลางเอ่ยว่า “จะโมโหไปทำไม ข้าก็แค่ลองดูว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างที่เจ้าอ้วนพูดจริงหรือไม่ พลังแค่นี้ทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก”
“เออ…”
คนในเรือนมองพวกเขาสองคนแล้วอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ไปกันดีกว่า” หัวใจที่เดิมทียังคงกระวนกระวายอยู่ของโอวหยางเฟยผ่อนคลายลงเพราะการหยอกล้อของพวกเขา
“อืม พวกเราก็ตามไปด้วยแล้วกัน” ซือหม่าโยวหลินพูด “หากไปตามลำพัง ไม่แน่ว่าอาจถูกคนของตระกูลน่าหลานซุ่มโจมตีเข้าก็เป็นได้”
“จริงของเจ้า” ซือหม่าโยวหยางพยักหน้า
จากนั้นพวกเขาก็ทยอยกันออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปยังลานประหาร
ซือหม่าโยวเย่ว์พาคนของตระกูลซางออกมาไม่นาน ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้
“ฮูหยิน นายท่านให้พวกเรามารับพวกท่านขอรับ” หัวหน้าพูด
“นายท่านเล่า”
“นายท่านไปยังตระกูลหลี่แล้ว จะสกัดคนของตระกูลหลี่เอาไว้ตามทางขอรับ” หัวหน้าพูด
“ลานประหารมีคนมากน้อยเพียงใดหรือ”
“ทุกตระกูลต่างก็ส่งคนไปไม่น้อยเลย เท่าที่เห็นก็ไม่น้อยกว่าพันคนแล้วขอรับ”
“เฟยเอ๋อร์ไปแล้วหรือ” ผู้ที่ซางมู่อวี่เป็นห่วงที่สุดก็ยังคงเป็นบุตรชายของตนเอง
“ฝ่าบาทน่าจะทรงออกเดินทางไปที่นั่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สหายของข้าเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไปกันหมดแล้วขอรับ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เป็นห่วงคนของตระกูลซือหม่าอยู่บ้าง จึงพูดกับซางมู่อวี่ว่า “น้าหญิงอวี่ ในเมื่อทหารยามของตระกูลซางมากันหมดแล้ว เช่นนั้นข้าไปสมทบกับพวกเขาก่อนนะ”
ซางมู่อวี่รู้ว่าเธอเป็นห่วงคนทางนั้น จึงเอ่ยว่า “ข้าจะให้คนนำทางเจ้าไป เจ้าเองก็ต้องระวังด้วยล่ะ”
“ได้ขอรับ”
ซือหม่าโยวเย่ว์กับทหารยามคนหนึ่งพบกับพวกโอวหยางเฟยระหว่างทาง เมื่อเห็นว่าด้านหลังของเขามีคนของตระกูลซือหม่ากลุ่มหนึ่งตามมาด้วย หน้าตาจึงบูดบึ้งในทันที
“พี่ๆ ข้ามิได้บอกให้พวกท่านรออยู่ในบ้านหรอกหรือ ทำไมจึงยังวิ่งออกมาที่นี่อีกเล่า”
ซือหม่าโยวหมิงมองดูใบหน้าเล็กอันขุ่นเคืองของเธอแล้วจึงยื่นมือไปลูบหัวเธอพลางเอ่ยว่า “ท่านปู่กับพวกเราก็เป็นห่วงเจ้าเหมือนกันนี่”
ดูเอาเถิด แค่คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้เธอมิอาจโต้แย้งได้แล้ว ทั้งยังไม่มีทางโมโหได้อีกด้วย
“เจ้านี่นะ เป็นน้องเล็กที่สุดชัดๆ ก่อนหน้านี้ยังเป็นพวกเราที่ปกป้องเจ้าอยู่เลย เริ่มกลายเป็นเจ้าที่เป็นห่วงพวกเราแทนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซือหม่าโยวฉีก็พูดด้วย “อย่าลืมสิว่าตอนนี้พวกเราก็ปกป้องเจ้าได้แล้วเหมือนกันนะ”
ความกระวนกระวายภายในใจของซือหม่าโยวเย่ว์ผ่อนคลายลงในทันใด ถูกต้อง เธอคิดแต่จะปกป้องพวกเขา ปกป้องครอบครัวที่ทำให้ตนอบอุ่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กลับลืมไปว่าพวกเขาก็อยากจะปกป้องตนด้วยเช่นกัน
เธอพยักหน้าพลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เอาละ ข้าเองก็รอให้พวกพี่ๆ มาปกป้องข้าด้วย!”
พอพูดจบ เธอก็ถูมือซือหม่าโยวหมิงเบาๆ ด้วย
“ใช่ไหมเล่าๆ พวกเราเป็นพี่ชายเจ้านะ รู้บ้างหรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อพูดฮึดฮัด
“รู้แล้วน่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ต่อจากนี้ข้าจะปกป้องท่านปู่กับพวกพี่ๆ พวกท่านก็ปกป้องข้าด้วย พวกเราจะปกป้องกันและกันนะ!”
“ดี พวกเราก็จะให้เจ้าปกป้องด้วย!” ซือหม่าโยวหมิงมองเธออย่างรักใคร่ทะนุถนอม
“เฮ้ๆๆ มีความสุขกันจริงนะ” ซือหม่าโยวหยางที่อยู่ข้างๆ อิจฉาไม่น้อย จึงเข้ามาร่วมวงด้วยพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ ข้าก็เป็นพี่ชายเจ้า เจ้าก็ต้องปกป้องข้าด้วยล่ะ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขาแล้วเอ่ยว่า “ท่านมีเกราะของเจ้าอ้วนคอยปกป้องท่านแล้วนี่ ไม่ต้องการข้าหรอก!”
“ไม่ได้ๆ ข้าจะให้เจ้าปกป้อง!” ซือหม่าโยวหยางพูดอย่างหน้าไม่อาย
ซือหม่าโยวฉิงจนใจ “ที่นี่มีคนตั้งเท่าไหร่ ขายหน้าบ้างหรือไม่!”
“พี่สาว พี่สาว สายรุ้งก็จะปกป้องท่าน ท่านก็จะปกป้องสายรุ้งด้วย ใช่หรือไม่” สายรุ้งบินมาจากบนบ่าเจ้าไก่ฟ้าแล้วคว้าชายเสื้อของซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้
“ใช่สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์วางสายรุ้งลงบนบ่าเจ้าไก่ฟ้าแล้วเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้เจ้าต้องอยู่บนร่างของสามีเจ้าแต่โดยดี เขาสิ ถึงจะปกป้องเจ้าได้ดีกว่า!”
“สายรุ้งรู้แล้ว สายรุ้งจะเชื่อฟัง ถูกไหม สามีจ๋า” สายรุ้งพูด
เจ้าไก่ฟ้าลูบหัวสายรุ้งพลางเอ่ยว่า “ในภายภาคหน้าเจ้าก็ไม่ต้องอยู่กับโยวเย่ว์แล้ว นางก็จะสอนแต่สิ่งเลวร้ายให้เจ้า ยังมีอีก ข้าคือท่านอา เข้าใจหรือไม่”
“พี่สาวบอกเอาไว้ว่า ท่านอาก็กลายเป็นสามีได้ ท่านเพียงแค่เป็นสหายของท่านพ่อข้าเท่านั้นเอง” สายรุ้งพูดด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง
“แค่กๆ…”
ทุกคนตกใจกับคำพูดของสายรุ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด แต่ละคนแกล้งทำเป็นกระแอมกระไอเพื่อปิดบังเสียงหัวเราะของตน
พวกเขามองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ เธอสอนเด็กน้อยเช่นนี้น่ะหรือ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นนกที่เพิ่งออกมาก็จริง แต่เธอเสี้ยมสอนเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย!
สีหน้าของเจ้าไก่ฟ้าดำทะมึนไปเสียแล้ว เขามองซือหม่าโยวเย่ว์ เธอหดคอก่อนจะหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าก็แค่พึมพำกับตัวเองเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ามันจะได้ยินเข้า เอาละ โอวหยาง พวกเรารีบไปกันดีกว่านะ ตอนนี้พวกท่านแม่เจ้าอาจจะไปถึงกันแล้วก็ได้”
เมื่อได้ยินเรื่องท่านแม่ของตน โอวหยางเฟยก็กระตือรือร้นขึ้นมาในทันทีแล้วเอ่ยว่า “ดี”
ความจริงแล้วทุกคนอย่างจะพูดว่าทักษะการเปลี่ยนหัวข้อของเธอนั้นย่ำแย่มาก แต่เธอเลือกจังหวะได้ไม่เลวเลย
พวกเขาเดินทางกันต่อ ซือหม่าโยวเย่ว์ถามว่า “โยวหยาง จิ้งจอกเฒ่าวางใจให้พวกเจ้ามาที่นี่กันจริงๆ หรือ”
ซือหม่าโยวหยางจนใจกับการที่ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกท่านปู่ของตนว่าจิ้งจอกเฒ่า เขาเอ่ยว่า “ท่านปู่บอกว่าเจ้ามาที่นี่แล้ว และถามว่าพวกเราอยากจะมาด้วยหรือไม่ พอถึงเวลาก็ไปเข้าร่วมงานประลองพร้อมกันกับเจ้า พวกเรารู้สึกว่าสองปีมานี้ฝึกยุทธ์อยู่แต่ในบ้าน ได้ออกมาเปิดโลกทัศน์บ้างก็ไม่เลว จึงได้ออกมาน่ะ”
“จิ้งจอกเฒ่านี่ก็ช่างวุ่นวายเหลือเกินนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นกับพวกเจ้าเล่า แล้วจะไปเข้าร่วมงานประลองได้อย่างไร!”
“ท่านปู่บอกว่ามีเจ้าอยู่ทั้งคน ขอเพียงแค่พวกเรารักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ได้ก็พอแล้ว”
“…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่ซือหม่าโยวหยางอย่างแรง ไม่พูดจาโต้ตอบกับเขาอีก คิดวางแผนในใจว่ารอให้เรื่องราวในครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้วจะเชิญทุกคนมาเลี้ยงมื้ออาหารจิ้งจอกมื้อใหญ่เลยทีเดียว
เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านนอกลานประหาร เมื่อทหารเหล่านั้นเห็นพวกเขาจึงชี้อาวุธในมือมาทางพวกเขาทันที แต่กลับมิได้พุ่งเข้ามา เพียงแค่ถอยหลังไปตามพวกเขาเท่านั้น
ลานประหารตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง มีพื้นที่เทียบเคียงได้กับสนามฟุตบอลสิบสนาม ด้านหน้ามีแท่นหยกตั้งอยู่ ด้านบนมีเก้าอี้มังกรวางเอาไว้ และด้านข้างแท่นหยกก็มีทหารยามอยู่หลายแถว
ด้านตรงข้ามแท่นหยก มีคนกลุ่มหนึ่งถูกกดให้คุกเข่าอยู่บนพื้น
พวกโอวหยางเฟยค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ ทหารยามไม่ได้รับคำสั่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงแค่ถืออาวุธล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วถอยหลังโดยไม่มีการโจมตี
ชายหนุ่มที่ดูคล้ายโอวหยางเฟยอยู่หลายส่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร เมื่อเห็นโอวหยางเฟยเข้ามา มือของเขาที่วางอยู่บนหัวมังกรก็กำแน่น
“โอวหยางเฟย เจ้ายังไม่ตายจริงๆ สินะ” โอวหยางตงมองโอวหยางเฟยผู้เป็นน้องชายของตน
“เจ้ายังไม่ตายเลย แล้วข้าจะตายได้อย่างไรเล่า” โอวหยางเฟยมายืนตรงกลางลานประหารแล้วเหลือบสายตาขึ้นมองโอวหยางตง สีหน้าไม่มีความหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
“เฮอะ ตอนนั้นส่งผู้คนมากมายไปไล่ล่าเจ้าก็ยังปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้ วันนี้ข้าจะล้อมจับทุกวิถีทาง ไม่ให้เจ้าหนีรอดไปได้อีก!”
“จริงหรือ แต่วันนี้ข้าไม่คิดจะหนีน่ะสิ” โอวหยางเฟยหยิบกระบี่ยาวของตนออกมาพลางมองโอวหยางตง “ตอนนั้นเจ้าโลภมากอยากได้ตำแหน่งรัชทายาทของข้า อาศัยโอกาสที่ข้าออกไปข้างนอกส่งยอดฝีมือมาไล่ล่าข้า กดดันให้ข้าเข้าไปในเทือกเขาสั่วเฟยย่า ตอนนี้เจ้าใช้ความเป็นความตายของคนตระกูลซางมาบีบให้ข้าเผยตัว วันนี้ข้าจะชำระทั้งความแค้นเก่าใหม่รวมกัน แล้วกระชากเจ้าลงมาจากตำแหน่งนั้นเสีย!”
……………………………………..