เมื่อได้ฟังคำพูดของโอวหยางเฟย โอวหยางตงก็หัวเราะฮ่าๆ เขาชี้โอวหยางเฟยแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้าเตรียมคนเอาไว้เพื่อเจ้ามากมายถึงเพียงนี้ นอกจากจะกำจัดเจ้าให้สิ้นซากแล้ว ข้ายังจะสังหารผู้สนับสนุนเจ้าด้วย คนตระกูลซางจะต้องตายกันหมด!”
“เจ้ามันก็ดีแต่อาศัยกำลังของผู้อื่นเท่านั้น เจ้ากล้าสู้กับข้าตัวต่อตัวสักยกหนึ่งไหมเล่า” โอวหยางเฟยถือกระบี่ชี้ไปทางโอวหยางตง
“เหตุใดข้าต้องสู้กับเจ้าด้วยเล่า” โอวหยางตงแค่นหัวเราะ “ข้ามีคนมากมายที่พร้อมจะลงมือ ไม่เห็นจำเป็นต้องลงมือกับคนอย่างเจ้าเองเลย”
“เจ้าทำอะไรก็คิดแต่จะยืมจมูกผู้อื่นหายใจเท่านั้นแหละ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่คิดจะทำให้ตัวเองแกร่งกล้าเลย คนอย่างเจ้าไม่มีทางกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้หรอก เจ้าก็เป็นได้เพียงแค่คนอ่อนแอใจเสาะผู้หนึ่งไปตลอดกาล!”
โอวหยางตงมิได้ถูกคำพูดของเขายั่วยุให้โกรธ เพียงแค่เอ่ยว่า “รอให้ข้าสังหารคนในครอบครัวเจ้าต่อหน้าต่อตาเจ้าจนหมดก่อน ไม่รู้ว่าเจ้าจะยังพูดอย่างชอบธรรมหนักหนาว่าข้าเป็นผู้อ่อนแอได้อยู่อีกหรือไม่!”
“เรื่องนั้นก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีปัญญาหรือไม่!” โอวหยางเฟยยิ้มเย็น
โอวหยางตงเห็นสีหน้าของโอวหยางเฟยแล้วหัวใจกระตุกคราหนึ่ง เขาถามคนข้างตัวว่า “เหตุใดจึงยังไม่นำตัวพวกซางหลุนมาอีกเล่า”
“ฝ่าพระบาท โดยปกติแล้วพวกเขาควรจะมาถึงนานแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ทหารยามพูด
“เช่นนั้นเหตุใดจึงยังมาไม่ถึงอีกเล่า ส่งคนไปเร่งเข้าสิ!” โอวหยางตงคำรามอย่างเดือดดาล
ในขณะนั้นเอง ทหารยามคนหนึ่งก็วิ่งโซซัดโซเซเข้ามา เขามาถึงด้านล่างของแท่นหยกแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าพระบาท แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาแหกคุกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“แหกคุกอย่างนั้นหรือ” โอวหยางตงผุดลุกขึ้นยืนในทันทีแล้วเอ่ยว่า “มิได้มีการป้องกันอย่างแน่นหนาหรอกหรือ แล้วจะแหกคุกได้อย่างไรกัน!”
“ฝ่าพระบาท กระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ! พวกเราเห็นว่านานขนาดนี้แล้วยังไม่ออกมากัน จึงได้ส่งคนเข้าไปดู ก็เห็นเพียงแค่ทหารยามนอนอยู่เกลื่อนพื้น แต่ไม่เห็นนักโทษเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!” โอวหยางตงด่าทอ “รีบไปหาตัวมาให้ข้าเร็วเข้าสิ!”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าพระบาท!” ทหารยามผู้นั้นล้มลุกคลุกคลานออกไป
“โอวหยางตง เจ้ากำลังตามหาพวกเราอยู่ใช่หรือไม่” ซางมู่อวี่พาคนของตระกูลซางมาปรากฏตัวที่ด้านนอกลานประหาร
“พระชายา” ผู้คนในลานจำนวนไม่น้อยรู้จักนาง “นางมิได้ถูกคุมขังอยู่ในวังหลวงหรอกหรือ ออกมาได้อย่างไรกัน”
โอวหยางตงเห็นซางมู่อวี่แล้วประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นคนตระกูลซางด้านหลังนางแล้วสีหน้าก็เยียบเย็นจนน่ากลัว “พวกเจ้าหนีออกมาจริงๆ ด้วย!”
“ถูกต้อง พวกเราหนีออกมา” ซางมู่อวี่พูด “ตอนนั้นที่เจ้าจับพวกเราขัง ข้าก็บอกแล้วว่าวันที่พวกเราออกมาได้ ก็คือวันที่เจ้าต้องจบชีวิต!”
โอวหยางเฟยหันหน้าไปมองซางมู่อวี่ เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ริมฝีปากของเขาก็สั่นระริก ก่อนจะอ้าปาก แต่ไม่มีคำพูดเล็ดลอดออกมาเลย
“เฟยเอ๋อร์” ซางมู่อวี่เห็นโอวหยางเฟยจึงรีบก้าวเข้ามาหา นางกุมมือของเขาเอาไว้ น้ำตาหยาดหยดลงมาในทันใด
“ท่านแม่!” โอวหยางเฟยกุมมือซางมู่อวี่เอาไว้แล้วเอ่ยว่า “หลายปีนี้ทำให้ท่านต้องกังวลใจแล้ว”
“ในเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงไม่ส่งข่าวมาให้เร็วหน่อยเล่า” ซางมู่อวี่อยากจะฟาดเขาแรงๆ สักทีหนึ่ง แต่พอไปถึงใบหน้าของเขาแล้วกลับกลายเป็นลูบไล้เบาๆ แทน
“ขอโทษด้วย ท่านแม่ ข้าไม่รู้สถานการณ์ทางนี้ เลยไม่กล้าเผยตัวอย่างปุบปับ” โอวหยางเฟยเอ่ยอย่างขอโทษขอโพย “เดิมทีข้าคิดจะรอให้เลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณก่อนแล้วค่อยกลับมา เช่นนั้นจึงจะวางใจได้หน่อย”
“เจ้าลูกคนนี้ ราชันวิญญาณนั้นเป็นกันได้ง่ายๆ หรือไร!” ซางมู่อวี่พูด “เจ้าคิดเอาไว้ว่าหากยังไม่ถึงระดับราชันวิญญาณก็จะไม่กลับมาอีกเลยอย่างนั้นหรือ”
“ท่านแม่ ข้าใกล้จะไปถึงระดับราชันวิญญาณแล้ว อย่างช้าที่สุดก็คือภายในปีนี้แหละ” โอวหยางเฟยพูด
“อะไรนะ! ตอนนี้เจ้าเป็นระดับบรรพวิญญาณขั้นสูงแล้วอย่างนั้นหรือ” ซางมู่อวี่พูดอย่างตกใจ
“อื้ม” โอวหยางเฟยพยักหน้า
“ดีๆ บุตรชายข้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก!” ซางมู่อวี่พูดอย่างตื่นเต้น
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน จึงนึกถึงบิดามารดาของตนขึ้นมาในทันใด ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขาได้พบหน้ากันแล้วจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
เธอดึงกระโปรงของเป่ยกงถังแล้วกระซิบข้างหูนางว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้ากับพวกเขาจะไปจัดการเรื่องตระกูลน่าหลานกันก่อน”
“พวกเจ้าไปกันแค่ไม่กี่คนแล้วจะไม่เป็นไรหรือ” เป่ยกงถังถาม
“อย่าลืมสิว่าพวกเรามีสัตว์อสูรเทพกันทุกคน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเห็นว่าคนของตระกูลน่าหลานไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ข้าสัมผัสกลิ่นอายที่ไม่อ่อนแอเลยขุมหนึ่งได้จากทางโน้น ข้าว่าพวกเขาน่าจะอยู่ที่นั่น”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ระวังตัวกันด้วยล่ะ หากไม่ได้การก็เรียกเจ้าไก่ฟ้าไปช่วยนะ” เป่ยกงถังพูด
“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
เธอโบกมือให้กับคนของตระกูลซือหม่าแล้วออกจากลานประหารไปอย่างเงียบๆ
“น้องห้า พวกเราออกมาทำไมกันหรือ” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“พวกท่านไม่ได้มาเพราะคนของตระกูลน่าหลานหรอกหรือ พวกเราก็ต้องไปจัดการพวกเขาน่ะสิ โอวหยางทางนี้ไม่มีปัญหา ไม่ต้องใช้พวกเราหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ระดับอย่างพวกเขาต่อสู้กันทั้งที คาดว่าจะต้องได้รับผลกระทบกันไปทั่วทั้งเมืองหลวงแน่” สมาชิกตระกูลซือหม่าคนหนึ่งพูด “ราชสำนักมีคนคอยคุ้มกันอยู่อย่างลับๆ พวกท่านว่าพอถึงเวลาแล้วผู้คุ้มกันเหล่านั้นจะช่วยเหลือใครกันเล่า”
“ผู้คุ้มกันเหล่านั้นไม่มีทางโผล่มาแน่” ซือหม่าโยวหยางพูด
“เพราะเหตุใดเล่า ผู้คุ้มกันเหล่านั้นมิได้คอยปกป้องจักรพรรดิหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“ไม่ใช่” ซือหม่าโยวหยางส่ายหน้า “ปกติแล้วผู้คุ้มกันเหล่านั้นจะปรากฏตัวขึ้นในยามที่อาณาจักรทักษิณายาตรประสบกับอันตรายเท่านั้น พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับศึกภายในเช่นนี้หรอก”
“ถูกต้อง ผู้คุ้มกันเหล่านี้ไม่สนใจว่าใครเป็นจักรพรรดิ ขอเพียงแค่เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ว่าเจ้าจะฆ่าทุกคนตายหมดจนเหลือเจ้าคนเดียว พวกเขาก็ไม่มีทางออกมา แต่ถ้าหากเป็นผู้อื่นมาสังหารคนของราชสำนัก พวกเขาก็จะออกมาแน่” ซือหม่าโยวฉิงพูด
“นี่ก็เป็นไปตามคำพูดที่ว่าผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“น้องห้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนของตระกูลน่าหลานมากันมากน้อยเพียงใด” ซือหม่าโยวหมิงถาม
“อืม พวกเขาที่มากันในคราวนี้มีพลังยุทธ์ไม่เบาเลย ราชันวิญญาณสิบกว่าคน และจ้าววิญญาณอีกสิบคน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดน่าจะเป็นน่าหลานหง จ้าววิญญาณขั้นสี่”
“ดูเหมือนว่าตระกูลน่าหลานจะไม่เห็นเรื่องราวทางนี้อยู่ในสายตาเลย” ซือหม่าโยวหยางพูด
“จ้าววิญญาณสิบคน กลุ่มคนเช่นนี้ไม่นับว่าแกร่งกล้าแล้วนับเป็นอะไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พวกเขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะมีสัตว์อสูรเทพมากมายขนาดนี้เท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวหรานพูด
“นอกจากนี้เจ้าไก่ฟ้าก็มิได้ปรากฏตัวบนโลกมาสองปีแล้ว พวกเขาน่าจะคิดว่าเขาไปที่โลกเบื้องบนแล้วละ” ซือหม่าโยวหลินพูดเสริม
ตอนนั้นซือหม่าเค่อพาคนของสายตระกูลเขาหลบหนีไป แล้วบอกสถานการณ์ของตระกูลซือหม่าแก่คนของตระกูลน่าหลาน แต่พวกเขากลับรู้เรื่องตระกูลน่าหลานไม่มากนัก ถ้าหากมิใช่เพราะซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกสัตว์อสูรเทพเอาไว้มากมาย ทั้งยังได้ครอบครองนางพญาผึ้งแดง ทั้งยังมอบน้ำผึ้งแดงให้กับคนในตระกูลเป็นประจำ พวกเขาต้องลำบากในการแข่งขันคราวนี้อย่างแน่นอน
“ถ้าหากพวกเขาได้เห็นเจ้าไก่ฟ้า จะต้องนึกเสียใจที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้อย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางยิ้มกว้าง
“ใช่แล้ว ซือหม่าเค่อก็มาด้วยเช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
คนของตระกูลซือหม่าพากันตกใจ ซือหม่าโยวหยางหุบยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านปู่บอกว่าถ้าหากพบสายตระกูลที่ทรยศนั่นเข้า ก็ให้จัดการเสียตรงนั้นเลย”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องปรานีแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์หักข้อนิ้วมือพลางเอ่ยว่า “ทว่าข้าก็ไม่คิดจะไว้ไมตรีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”
ทุกคนต่างกลอกตา เช่นนั้นเจ้ายังจะมามัวพูดอะไรอยู่อีก! นี่มิได้กำลังล้อพวกเขาเล่นอยู่ใช่ไหม!
……………………………………….