ณ สถานที่แห่งหนึ่งบนยอดเขา ชายหนุ่มอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางมองดูแหวนในมืออย่างเบื่อหน่าย
กิเลนเพลิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เหลือบตาขึ้นมองเขาพลางเอ่ยว่า “ท่านคงมิได้กำลังคิดถึงคนผู้นั้นอีกแล้วหรอกนะ”
“ถูกต้อง มีตรงไหนมิได้กันเล่า” อูหลิงอวี่หมุนแหวนในมือ แหวนวงนี้ดูเหมือนแหวนมนตร์ที่มอบให้ซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนนั้นอยู่มากพอสมควร เพราะเป็นแหวนวงที่คู่กันกับแหวนที่มอบให้เธอในตอนนั้นนั่นเอง
“คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเลย” กิเลนเพลิงส่ายหน้า “นารีทิพย์กลับมาเพราะท่านโดยเฉพาะ ทว่าท่านเอาแต่หลบเลี่ยงไม่ยอมพบ ตั้งกี่ปีมาแล้ว จำนวนครั้งที่ท่านยอมพบนางนับได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว แต่ข้านับจำนวนครั้งที่ท่านนั่งมองแหวนวงนี้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”
“เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ” อูหลิงอวี่หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เฮ้อ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น! เหตุใดจึงต้องคิดถึงนางอยู่ตลอดเวลา”
“ถ้าท่านมิได้ตาเหล่ก็ตาบอดนั่นแหละ” กิเลนเพลิงพูดอย่างรังเกียจ “เหตุใดข้าจึงต้องมาติดตามเจ้านายที่มีตาหามีแววไม่เช่นนี้ด้วย ช่างน่าขายหน้าเสียจริง!”
อูหลิงอวี่มิได้ปฏิเสธ มิใช่เพียงแค่กิเลนเพลิงเท่านั้นที่ดูแคลนสายตาของเขา ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว แต่ภาพของเธอกลับไม่เคยเลือนหายไปเลย ระยะนี้เขานึกถึงเธออยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอจะเป็นเช่นไรบ้าง จะคิดถึงตนบ้างหรือไม่ พลังยุทธ์ไปถึงระดับขั้นใดแล้ว ข้างกายมีบุรุษอื่นอยู่ด้วยหรือไม่
เมื่อนึกถึงคำถามข้อสุดท้าย อูหลิงอวี่ก็รู้สึกว่าตนนั่งไม่ติดเสียแล้ว
ถ้าหากผ่านไปเนิ่นนานเช่นนี้แล้วแม่สาวน้อยผู้นั้นลืมเลือนตนขึ้นมา จะทำเช่นไรเล่า เขาไม่มีทางยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอย่างแน่นอน!
“ระยะนี้ท่านเจ้าตำหนักออกจากการปลีกวิเวกแล้ว มิสู้ข้าพาเขาไปสำรวจสถานการณ์ของตำหนักผู้วิเศษแห่งดินแดนอี้หลินหน่อยดีกว่า”
อูหลิงอวี่บอกว่าจะทำก็ทำจริงๆ หลังจากที่หาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนในทันที แล้วเดินออกไปข้างนอก
กิเลนเพลิงเห็นท่าทีรีบร้อนของคนผู้นี้แล้วจึงมองเขาอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่งก่อนจะติดตามไปอย่างจนใจ
อูหลิงอวี่มาถึงยังด้านนอกของห้องใต้หลังคา ก็พบกับนารีทิพย์แห่งตำหนักผู้วิเศษที่ตรงมาทางนี้พอดี เมื่อเห็นนาง อูหลิงอวี่จึงรีบทำท่าทางอ่อนแอในทันที
“หลิงอวี่ ท่านจะไปไหนน่ะ”
อูหลิงอวี่แสดงท่าทีเหมือนเพิ่งจะมองเห็นนางพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจรางๆ เขายิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “เวยเวยนี่เอง ข้าไม่ค่อยสบายน่ะ จึงอยากจะไปให้ท่านอาจารย์ดูสักหน่อย”
“ท่านไม่สบายอีกแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปส่งท่านดีกว่านะ” ไป๋เวยเวยมองเขาอย่างเป็นกังวล
“ไม่ต้องหรอก มีเจ้ากิเลนอยู่กับข้าทั้งคน ไม่ต้องรบกวนเจ้าเลย เจ้าตำหนักออกจากการปลีกวิเวกแล้ว ข้าจึงต้องกลับไปอีกครั้ง ต้องขอฝากตำหนักผู้วิเศษแห่งนี้ไว้กับเจ้าสักระยะหนึ่งด้วย” อูหลิงอวี่พูดปฏิเสธ
“แต่ท่านมีสภาพเช่นนี้แล้วจะกลับไปได้หรือ” ไป๋เวยเวยอยากจะเข้าไปพยุงเขา แต่กลับถูกเขาถอยห่างออกไปสองก้าว
“มีเจ้ากิเลนอยู่ด้วย ไม่เป็นไรหรอก” อูหลิงอวี่สบโอกาสพิงลงบนร่างเจ้ากิเลน
ถึงแม้ว่ากิเลนเพลิงจะดูแคลนเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังให้ความร่วมมือกับเขา โดยพยุงเขาเอาไว้แล้วพูดกับไป๋เวยเวยว่า “นารีทิพย์ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอกขอรับ ข้าจะพาเขากลับไปเอง”
ไป๋เวยเวยปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้ เจ้าต้องปกป้องเขาให้ดีล่ะ”
“แน่นอนขอรับ” กิเลนเพลิงจำแลงกายกลับเป็นร่างเดิมแล้วให้อูหลิงอวี่ขี่บนหลัง
“เวยเวย เรื่องของตำหนักผู้วิเศษ…”
“ปล่อยให้ข้าดูแลเถิด ข้าจะจัดการเป็นอย่างดีแน่” ไป๋เวยเวยพูด
“ดี เช่นนั้นข้าก็จะได้จากไปอย่างวางใจ เจ้ากิเลน พวกเราไปกันเถิด” อูหลิงอวี่พูดจบแล้วตบหลังเจ้ากิเลนเพลิงเบาๆ
กิเลนเพลิงที่แบกเขาไว้บนหลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าออกไปจากตำหนัก
จนกระทั่งออกไปไกลจากตำหนักแล้ว อูหลิงอวี่จึงค่อยกลับสู่สภาพปกติ เขาเอนตัวบนหลังเจ้ากิเลน สองมือประสานเอาไว้ที่ท้ายทอยด้วยความผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านมิได้จะไปยังดินแดนอี้หลินหรอกหรือ แล้วจะให้ข้าวิ่งไปทำไมกัน!” กิเลนเพลิงหยุดเดิน
“ไปน่ะไปอยู่หรอก แต่ก่อนจะไปข้าอยากไปดูท่านอาจารย์เสียหน่อย ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าอยากจะไปเที่ยวเล่นที่ดินแดนอี้หลิน ข้าจึงจะแวะรับเขาไปด้วย” อูหลิงอวี่พูด
“ที่นั่นมีอะไรน่าไปกัน” กิเลนเพลิงพูด “หรืออาจารย์ของท่านอยากจะไปพบใคร”
“มิใช่ ไปเพื่อเสาะหาเครื่องยาต่างหากเล่า เขาบอกว่ามีแค่ที่ดินแดนอี้หลินเท่านั้น” อูหลิงอวี่พูด
“ท่านก็รู้จักมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงมิให้ท่านไปนำมาล่ะ” กิเลนเพลิงไม่เข้าใจ
“ใครจะไปรู้ว่าตาเฒ่านั่นคิดอะไรอยู่!” อูหลิงอวี่พูด “ตาเฒ่านั่นแปลกประหลาดถึงเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะแค่อยากไปเที่ยวเล่นก็ได้!”
“เอาเถิด พวกท่านศิษย์อาจารย์ก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก!” กิเลนเพลิงพูดจบก็เร่งความเร็ว เพียงไม่นานก็ทิ้งห่างจากตำหนักผู้วิเศษแล้ว
พวกเขามาถึงยอดเขาที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง อูหลิงอวี่หยิบเอาค่ายกลนำส่งเที่ยวเดียวออกมา หลังจากกระตุ้นมันเรียบร้อยแล้วจึงโยนมันลงบนพื้น พอค่ายกลนำส่งเปล่งประกายขึ้นมา พวกเขาจึงเดินเข้าไป ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พวกเขาหายตัวไปไม่นาน ไป๋เวยเวยก็ขี่สัตว์อสูรวิเศษสีขาวราวหิมะตนหนึ่งตามมา
“เจ้านาย กลิ่นอายของพวกเขามาถึงแค่ตรงนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว” สัตว์อสูรวิเศษร่อนลงกลางหุบเขาแล้วเอ่ยขึ้น
ไป๋เวยเวยก้าวลงจากสัตว์อสูรวิเศษ เมื่อเห็นศิลาค่ายกลนำส่งที่วางอยู่บนพื้น จึงเอ่ยว่า “นี่คือศิลาค่ายกลนำส่งที่หลิงอวี่ใช้กลับไป น่าเสียดายที่มนตร์บนนั้นใช้เพียงครั้งเดียวก็เลือนหายไปแล้ว มิอาจระบุตำแหน่งของหุบเขาเซียนมารได้”
“เจ้านาย…” สัตว์อสูรวิเศษเห็นนางดูผิดหวังอยู่บ้าง จึงคิดจะปลอบประโลมนาง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเขากลับไปแล้วจริงๆ มิได้ออกไปหาหญิงอื่นข้างนอก” ไป๋เวยเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “หลิงอวี่เป็นของข้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ใครกล้าแย่งชิง…”
นางมิได้เอ่ยวาจาที่เหลือออกมา แต่ศิลาค่ายกลในมือกลับแหลกลาญเป็นผุยผง พอนางปล่อยมือ ผงเหล่านั้นจึงร่วงหล่นลงสู่พื้น
“ไปเถิด กลับกันดีกว่า” นางขึ้นขี่บนหลังของสัตว์อสูรวิเศษแล้วออกไปจากหุบเขา
ที่อีกด้านหนึ่ง อูหลิงอวี่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหุบเขาอันเงียบสงบ ขุนเขาทอดตัวยาว ไม่รู้ว่าอยู่ในหุบเขาแห่งใด
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็สั่นไหว พร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“เป็นอะไรไปหรือ” กิเลนเพลิงถาม
“มีคนแตะต้องศิลาค่ายกลของข้าน่ะสิ” อูหลิงอวี่พูด
“ใครจะไปแตะต้องศิลาของท่านได้เล่า” กิเลนเพลิงรู้ว่าเขาจะต้องใส่สติรับรู้ของตนเอาไว้ในศิลาค่ายกลด้วย เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องมีคนแตะต้องอย่างแน่นอน
“ไป๋เวยเวย” อูหลิงอวี่พูด “ไม่ง่ายเลยกว่าจะเรียกตัวนารีทิพย์คนหนึ่งมาได้ เดิมทีคิดว่านางจะดีหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ได้”
“ถึงแม้ว่าคนก่อนหน้านี้จะเกาะแกะจนน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่คนนี้ช่างดูจอมปลอมเหลือเกิน” กิเลนเพลิงวิจารณ์อย่างไม่เกรงใจ
“ถูกต้อง โยวโยวจริงใจที่สุด ไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย” อูหลิงอวี่พูด
กิเลนเพลิงกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง อะไรๆ นางก็ดีที่สุด เกินเยียวยาแล้วจริงๆ!
อูหลิงอวี่มาถึงใต้ต้นแปะก๊วยแล้วโยนศิลาค่ายกลหลายอันเข้าไป ทั่วทั้งหุบเขาก็เปลี่ยนแปลงลักษณะจนดูคล้ายกับเปลี่ยนสถานที่เลยทีเดียว
เขาเดินเข้าไป หลังจากนั้นก็โบกมือ ศิลาค่ายกลเหล่านั้นจึงลอยกลับเข้ามาในมือเขาอีกครั้ง หุบเขาก็กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ดังเช่นก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“ตาเฒ่า ข้ากลับมาแล้ว” เขามาถึงด้านหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง ก่อนจะตะโกนเข้าไปข้างใน
เสียงแก่ชราแต่แข็งกร้าวเสียงหนึ่งดังลอยมาจากในบ้าน “ข้ารู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว เข้ามาสิ ข้ากำลังคิดค้นของสิ่งหนึ่งที่จะหล่อเลี้ยงวิญญาณของเจ้าได้อยู่พอดีเลย!”
อูหลิงอวี่ไม่พูดอะไร ทุกครั้งที่กลับมาล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว ตาเฒ่าผู้นี้ก็ยังไม่ยอมรามืออีก
เขามิได้เข้าไป ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วเอ่ยว่า “ตาเฒ่า ข้าจะไปดินแดนอี้หลิน ท่านมิได้บอกว่าจะไปด้วยกันหรอกหรือ มาสิ!”
ชายชราผอมแห้งคนหนึ่งออกมาจากในเรือนแล้วดึงมือของเขาเอาไว้ ก่อนจะลากตัวเขาเข้ามาในกระท่อมแล้วเอ่ยว่า “ให้เจ้าอาบสิ่งนี้ก่อนแล้วค่อยไป ข้าลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องสูญเปล่าสิ!”
“เฮ้ย…”
ใครบางคนเหวี่ยงตัวคนลงไปในสระน้ำแห่งหนึ่งทั้งๆ ที่สวมเสื้อผ้า เริ่มต้นการอาบยาครั้งที่กี่ร้อยแล้วก็มิทราบได้