ตอนที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปจากอาณาจักรทักษิณายาตรนั้น โอวหยางเฟยได้ไปส่งพวกเขาด้วย แต่กลับมิได้ไปพร้อมกันกับพวกเขา
ก่อนหน้างานประลองจะเริ่มต้นขึ้นไม่นาน เขาก็จะไปพร้อมกับคนของอาณาจักรทักษิณายาตรในฐานะแขกที่ไปชมการแข่งขันของพวกเขา
เมืองวิเศษตั้งอยู่ระหว่างกลางสี่อาณาจักร แต่กลับเป็นอิสระ มิได้ขึ้นต่ออาณาจักรใดเลย
ทว่าสถานที่ที่ไร้ซึ่งผู้ครองเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยมีใครกล้าทำตัวเกะกะระรานมาก่อน เพราะขุมอำนาจทุกแห่งของที่นี่ล้วนมิใช่ขุมอำนาจที่ใครจะแตะต้องได้ง่ายๆ
ตำหนักผู้วิเศษมีสถานะสูงส่งเหนือผู้ใดในจิตใจของทุกคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เชื่อในตัวจ้าววิเศษก็ยังไม่กล้าพูดถึงตำหนักผู้วิเศษในแง่ลบ ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังฟังผู้อื่นแนะนำอยู่นั้นก็รู้สึกได้รางๆ ว่าดูเหมือนตำหนักผู้วิเศษนี้จะสูงส่งยิ่งกว่าขุมอำนาจใดๆ ทั้งหมดในดินแดนแห่งนี้ อยู่เหนือกว่าทุกขุมอำนาจและทุกอาณาจักร
นอกจากตำหนักผู้วิเศษแล้วที่นี่ยังมีสมาพันธ์นักหลอมยา สมาพันธ์นักหลอมวัตถุ สมาพันธ์นักฝึกสัตว์อสูร และสมาคมอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งเป็นสาขาที่สูงส่งที่สุดของทุกสมาคมเลยทีเดียว ถ้าหากเข้าร่วมกับที่นี่ได้ สมาชิกสมาคมคนหนึ่งก็จะมีสถานะสูงส่งกว่าหัวหน้าสมาคมของที่อื่นๆ เสียอีก
ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีใครปกครอง แต่กลับไม่มีอาณาจักรใดกล้ามารุกราน และไม่มีขุมอำนาจใดมายึดครองด้วย
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ใช้ค่ายกลนำส่งมาถึงเมืองชายแดนของอาณาจักรทักษิณายาตร เพราะเธอเมาค่ายกลนำส่ง ทุกคนจึงวางแผนจะพักผ่อนกันสักหนึ่งวัน แล้วค่อยขี่สัตว์อสูรบินได้ไปยังเมืองวิเศษในวันรุ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าเมืองวิเศษจะมีสถานะสูงส่งอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีค่ายกลนำส่งจากภายนอกที่เข้าไปที่นั่นได้เลย หลังจากมาถึงชายแดนของแต่ละอาณาจักรแล้วก็ได้แต่ขี่สัตว์อสูรบินได้เข้าไปเท่านั้น
พวกซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เพราะงานประลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นภายในโรงเตี๊ยมจึงค่อนข้างแออัด พวกเขาจึงจำเป็นต้องพักกันห้องละสองคน คว้าสิบห้องสุดท้ายที่เหลือเอาไว้
“ทุกท่าน นี่คือหมายเลขห้องและกุญแจของพวกท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์มอบกุญแจให้กับซือหม่าโยวหยาง
“ไปกันเถิด พาโยวเย่ว์ขึ้นไปพักผ่อนก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวหยางพูดด้วยรอยยิ้ม
เขารู้สึกเบิกบานใจทุกครั้งที่เห็นเธอเมาค่ายกลนำส่ง แค่กๆ เช่นนี้ไม่ดี ไม่ดีเลย
ซือหม่าโยวเย่ว์จะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าเจ้าคนผู้นั้นกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น จึงถลึงตาใส่เขาอย่างแรง ก่อนจะหยิบกุญแจห้องอันหนึ่งมาแล้วหมุนกายเดินจากไป
“ข้าจะอยู่กับเจ้า” ซือหม่าโยวหรานเดินตามซือหม่าโยวเย่ว์ไป
เธอเป็นสตรี พี่ชายทุกคนล้วนรู้ดี พวกเขาย่อมไม่อยากให้น้องสาวของตนอยู่ร่วมห้องกับบุรุษคนอื่นอยู่แล้ว
ซือหม่าโยวหยางแจกจ่ายกุญแจที่เหลือออกไป ทุกคนจึงต่างคนต่างเลือกเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง
ขณะนี้เอง หญิงสาวสองคนก็เดินเข้ามา คนหนึ่งกระโปรงขาวดูปวกเปียก ส่วนอีกคนกระโปรงสีแดงทรงเสน่ห์ ทั้งคู่ล้วนมีรูปโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวเอ้อร์ ขอห้องให้พวกเราสักสองห้องสิ” หญิงสาวกระโปรงแดงพูดกับเสี่ยวเอ้อร์
“ไอ้หยา ต้องขออภัยพวกท่านทั้งสองด้วย ตอนนี้โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของพวกเราเต็มหมดทุกห้องแล้วขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างขอโทษขอโพย
“เต็มแล้วหรือ” หญิงสาวกระโปรงแดงขมวดคิ้ว
“ขอรับ เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจองสิบห้องสุดท้ายไป” เสี่ยวเอ้อร์ชี้ไปทางพวกซือหม่าโยวหยางที่ยังมิได้ขึ้นไปข้างบน “พวกท่านลองไปดูที่โรงเตี๊ยมอื่นดีไหมขอรับ”
“พวกเราไปโรงเตี๊ยมแถวนี้มาทั่วทุกแห่งแล้ว ไม่มีห้องว่างเลย ที่นี่เป็นแห่งสุดท้ายแล้วละ” หญิงสาวกระโปรงแดงพูด “เจ้าคิดวิธีหาห้องมาให้พวกเราสักสองห้องสิ”
“ไอ้หยา ต้องขออภัยด้วยจริงๆ นะขอรับ ตอนนี้พวกเราไม่มีห้องเหลือแล้วจริงๆ ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างลำบากใจ “หรือท่านจะลองไปถามพวกเขาดูไหมเล่าขอรับ ว่าพอจะแบ่งให้พวกท่านสักห้องหนึ่งได้หรือไม่”
“อะไรนะ ให้พวกเราไปถามอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร พวกเราก็คือ…”
“หงสยา ” หญิงสาวกระโปรงขาวปรามเสียงเบา ขัดจังหวะคำพูดที่เหลือของหญิงสาวกระโปรงแดง
“ศิษย์พี่หญิง” หงสยาถูกหญิงสาวกระโปรงขาวขัด จึงแสดงท่าทีตอบสนอง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่จะออกมาได้รับปากอาจารย์เอาไว้แล้วว่าห้ามยกสถานะของตนมาข่มผู้อื่นส่งเดชเป็นอันขาด
หญิงสาวกระโปรงขาวมาถึงตรงหน้าคนตระกูลซือหม่าแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ทุกท่านคงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้กันแล้ว พอจะแบ่งห้องให้พวกเราสักห้องหนึ่งได้หรือไม่ พวกเราจะพักกันเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นจะคืนห้องให้กับพวกเจ้าเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยังอยู่บนบันได เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวข้างล่างแล้วก็มิได้ขึ้นไปต่อ ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวกระโปรงขาว จึงเอ่ยว่า “โยวหยาง ออกมานอกห้องกันให้หมด เจ้าก็ให้ทุกคนย้ายออกจากห้องมาให้พวกนางสักห้องหนึ่งสิ”
ซือหม่าโยวหยางตกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเอ่ยปากเรื่องเช่นนี้ออกมา แต่ก็ยังพยักหน้า แล้วพูดว่า “พวกเราก็พักกันเพียงแค่คืนเดียวเช่นกัน พวกเจ้าก็เบียดกันหน่อย แล้วย้ายออกมาสักห้องหนึ่ง”
“อ้อ” ผู้ที่ถูกเขาชี้ส่งกุญแจห้องให้กับหญิงสาวกระโปรงขาว
หญิงสาวกระโปรงขาวยิ้มให้เขา หลังจากนั้นจึงเงยหน้ามองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมากนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้นางก่อนจะหมุนกายเดินขึ้นบันไดไป
สักครู่หนึ่ง พวกซือหม่าโยวหยางและซือหม่าโยวหลินก็มาเยี่ยมเธอ ระหว่างที่สนทนากันนั้นก็ถามเธอขึ้นมาว่าเพราะเหตุใดจึงต้องยกห้องให้กับหญิงสาวสองคนนั้นด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์ที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยว่า “หญิงสาวสองคนนั้นเป็นนักหลอมยาน่ะสิ”
“นักหลอมยาหรือ”
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “นอกจากนี้หญิงสาวกระโปรงขาวผู้นั้นยังมีระดับขั้นไม่น้อยเลยทีเดียว ข้าได้กลิ่นยาจางๆ จากบนร่างกายของพวกนาง นั่นเป็นกลิ่นที่มีเฉพาะในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยสมุนไพรมาเป็นระยะเวลายาวนานเท่านั้น”
“เจ้ายืนอยู่ไกลถึงเพียงนั้นยังได้กลิ่น เป็นจมูกสุนัขหรือไร” ซือหม่าโยวหยางพูดปนหัวเราะ
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “ตอนหญิงสาวที่ชื่อหงสยาผู้นั้นกำลังจะเผยตัวตน ได้ถูกหญิงสาวกระโปรงขาวปรามเอาไว้ ข้ารู้สึกว่าสองคนนั้นจะต้องเป็นคนมีหน้ามีตาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่ดี ยกห้องให้ห้องเดียว อาจเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีก็เป็นได้”
ซือหม่าโยวหยางเบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าเจ้าเห็นพวกนางเป็นหญิงงาม ก็เลยห้ามใจไม่อยู่มากกว่ากระมัง”
“หญิงงามดีจะตายไป หญิงงามดูแล้วเจริญหูเจริญตา รู้บ้างหรือไม่ ดีกว่าคนที่สร้างขึ้นจากโคลนเช่นเจ้ามากมายนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าสร้างขึ้นจากโคลนเสียที่ไหนเล่า”
“โบราณว่าไว้ สตรีสร้างขึ้นจากน้ำ บุรุษสร้างขึ้นจากโคลน หากเจ้ามิได้สร้างขึ้นจากโคลน แล้วมาจากไหนกันเล่า”
“มีคำพูดเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ” ซือหม่าโยวหยางตกตะลึง
“มีแน่นอนอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าก็มิได้สร้างขึ้นจากโคลนเช่นกันหรอกหรือ”
“ไม่พูดเรื่องนี้กับเจ้าแล้วดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “โยวหลิน พวกเราไปยังเมืองวิเศษแล้วจะมีที่พักหรือไม่ คงไม่เหมือนกับพวกนางที่หลับหูหลับตาไปแล้วไม่มีที่พักหรอกนะ”
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย พวกเรามีเรือนของตัวเองอยู่ที่เมืองวิเศษ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด จากนั้นจึงเริ่มบีบคนอื่นออกไป “ข้าอยากพักผ่อนแล้ว พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิดนะ”
“ได้สิ”
พอพวกเขาออกไปกันหมดแล้ว ซือหม่าโยวหรานจึงนั่งลงข้างเตียงพลางมองดูใบหน้าเล็กที่เริ่มผลิบานแล้วของซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า ”น้องห้า เมื่อใดเจ้าจึงจะเปิดเผยตัวตนได้เสียทีเล่า การแฝงตัวในคราบบุรุษไปตลอดมิใช่หนทางที่ถูกต้องเลยนะ”
“ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านพ่อข้าจึงได้บอกกับท่านปู่ว่าต้องการให้ข้าปลอมตัวเป็นบุรุษ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาระบุมา ย่อมต้องมีความสำคัญมากอย่างแน่นอน บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของตระกูลก็เป็นได้กระมัง ไม่แน่ว่ารอให้ข้าได้พบกับท่านพ่อก่อนก็คงใช้ได้แล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นก็คงต้องรอไปอีกหลายปีเลยสินะ” ซือหม่าโยวหรานถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “หญิงสาวบางคนพอเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ล้วนกลายเป็นแม่คนกันหมดแล้ว…”
“แค่กๆ พี่สาม ท่านพูดมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ที่ท่านพูดถึงนั่นมันคนสามัญทั่วไปกระมัง สำหรับปรมาจารย์วิญญาณแล้ว วัยยี่สิบกว่าปีนั้นถือว่ายังเยาว์วัยยิ่งนัก ท่านอย่าทำเหมือนข้าเป็นสาวแก่สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์รีบตัดตอนคำพูดของเขา หัวข้อสนทนาเช่นนี้ช่างไม่เหมาะสมกับเธอเอาเสียเลย