ไม่นานนัก ทุกคนต่างค่อยๆ ทยอยตื่นขึ้นมาแล้วทักทายพวกซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะไปจัดการธุระของตัวเอง
“น้องห้า” ซือหม่าโยวเล่อเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้พวกเราจะทำอะไรกันดี”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พลางพูดว่า “เมืองวิเศษปิดอยู่ มิอาจเข้าไปได้ ข้าก็ไม่มีแผนอะไรแล้ว”
“ข้ากับพวกพี่ใหญ่อยากเข้าไปเที่ยวเล่นในภูเขาสักหน่อย เจ้าจะไปด้วยหรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“ดีเลย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พวกเจ้าจะออกไปหรือ” เหยียนลู่พูด “ถึงแม้ว่าที่นี่จะอยู่ห่างจากศูนย์กลางการจลาจลพอสมควร แต่ก็มีสัตว์อสูรวิเศษที่คลุ้มคลั่งอยู่ไม่น้อยเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราออกไปกันหลายๆ คนหน่อยก็ใช้ได้แล้วนี่” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“พี่สาว พี่สาว ข้าจะไปกับท่านด้วย!” สายรุ้งบินเข้ามาแล้วร่อนลงบนบ่าของเธอ
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบหัวเล็กของสายรุ้ง หลังจากนั้นจึงมองเจ้าไก่ฟ้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพลางถามว่า “ภรรยาเจ้าจะไปกับพวกเราด้วย เจ้าจะไปหรือไม่”
“ที่นี่มีสิ่งที่ทำให้สัตว์อสูรวิเศษไม่สงบอยู่ พวกเจ้าไม่ออกไปจะเป็นการดีที่สุดนะ” เจ้าไก่ฟ้าพูด
“เจ้าก็สัมผัสได้เช่นกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เจ้าไก่ฟ้าพยักหน้า หลังจากมาถึงที่นี่แล้วเขาก็สัมผัสกลิ่นอายขุมหนึ่งได้ กลิ่นอายเช่นนี้ทำให้แม้แต่เขาเองก็ยังจิตใจปั่นป่วนอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะพลังยุทธ์ค่อนข้างสูง ตอนนี้เขาก็อาจจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วก็เป็นได้
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง หลังจากมาถึงเขาภาพมังกรแล้ว เจ้าคำรามน้อยก็บอกเธอว่ารู้สึกถึงกลิ่นอายอันไม่สงบอย่างหนึ่ง แต่พอเธอถามย่ากวงและเชียนอิน พวกนั้นกลับไม่รู้สึกเลย
แต่ตลอดมาเธอก็ไม่เคยสงสัยคำพูดของเจ้าคำรามน้อยเลย เพราะมันเป็นสัตว์มงคล ย่อมต้องมีสัมผัสไวต่อกลิ่นอายต่างๆ เป็นอย่างมาก
ตอนนี้เมื่อได้ยินเจ้าไก่ฟ้าพูดเช่นนี้ เธอก็ยิ่งแน่ใจในความคิดของตนเองว่าการจลาจลที่เกิดขึ้นทุกๆ สองสามปีของเทือกเขาหมื่นอสูรนี้จะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน
“คงจะมิใช่ว่าที่นี่สะกดอสูรร้ายอะไรเอาไว้อีกหรอกนะ!” เมื่อนึกถึงฉากที่เห็นบนเกาะลืมกังวลกว่าหนึ่งปีก่อน เธอก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าโยวเล่อเห็นเธอดูผิดปกติไปจึงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก ไปเรียกพวกพี่ใหญ่มาดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ตนคาดเดาเอาไว้จะเป็นจริง เรื่องนี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกตน ไม่อย่างนั้นดินแดนแห่งนี้อาจจะแหลกสลายไปนานแล้วก็เป็นได้
เมื่อคิดเรื่องนี้จนกระจ่างดีแล้ว เธอก็ไม่กังวลอีกต่อไป แล้วเอ่ยกับเจ้าไก่ฟ้าว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ไปด้วย พวกเราก็จะไปกันแล้วนะ”
“ดูแลสายรุ้งให้ดีด้วยล่ะ” เจ้าไก่ฟ้าพูดจบแล้วหมุนกายกลับกระโจมของตนไป
สัตว์อสูรเหนือเทพก็พักในกระโจมด้วย นี่ก็เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเช่นเดียวกัน
พวกซือหม่าโยวหมิงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า ”น้องห้า ไปกันเถิด”
“คุณหนูเหยียน เจ้าจะไปหรือไม่” ซือหม่าโยวเล่อถาม
เหยียนลู่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เมื่อคืนบอกพวกโยวฉิงเอาไว้แล้วว่าวันนี้ข้าจะพาพวกนางไปเดินเล่นในหมู่บ้านสักหน่อย”
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ระวังตัวกันด้วยล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วออกมาจากที่พักพร้อมกับพวกซือหม่าโยวหมิง
ภูเขาของเทือกเขาหมื่นอสูรนั้นค่อนข้างสูง พวกเขามาถึงยอดเขาภาพมังกรแล้วมองลงไปยังหมู่บ้านเบื้องล่าง ก็พบว่าหมู่บ้านดูมีการจัดรูปแบบอยู่ด้วย
“เอ๊ะ?” เธอมองดูทิวทัศน์บริเวณรอบๆ แล้วเปล่งเสียงออกมาด้วยความสงสัยในทันใด
“น้องห้า มีอะไรหรือ” ซือหม่าโยวหรานถาม
“พวกท่านดูสิ หมู่บ้านกับทะเลสาบดูเหมือนจุดสองจุดของสัญสักษณ์หยินหยางหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้หมู่บ้านและทะเลสาบพลางเอ่ยขึ้น
ถึงแม้ว่าทะเลสาบและหมู่บ้านจะอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก แต่ผ่านหุบผาแห่งหนึ่ง ดูแล้วเหมือนถูกเขาภาพมังกรแยกออกจากกัน กลายเป็นจุดหยินหยางสองจุดพอดี
“สัญสักษณ์หยินหยางหรือ มันคือสิ่งใดกัน” ซือหม่าโยวฉีถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด เธอนึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่ต้องไม่มีสำนักเต๋าอะไรอยู่แล้ว คนเหล่านี้ก็ต้องไม่รู้จักสัญสักษณ์หยินหยางเป็นธรรมดา
“ไม่มีอะไรหรอก คือค่ายกลชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง” เธอยิ้มอย่างผิดหวังเล็กน้อย
พวกเขาเดินผ่านภูเขาหลายลูกแล้วก็ยังไม่พบอะไรพิเศษ แม้กระทั่งสัตว์อสูรวิเศษก็ยังไม่พบเลย ความคิดที่อยากจะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อฝึกฝีมือของพวกเขาก็ถูกพับเก็บไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงอยากจะกลับไปยังค่ายพักแรม
เพราะรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ ดังนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงบอกว่าอยากจะไปเดินเล่นลำพัง จากนั้นคนอื่นจึงกลับไปก่อน ส่วนเธอนั้นเหาะเหินอยู่คนเดียวท่ามกลางขุนเขา
ในที่สุดเธอก็มาถึงด้านบนของหน้าผาแห่งหนึ่ง เธอมองดูทิวทัศน์ไกลออกไปพลางเอ่ยอย่างเจ็บปวดอยู่บ้าง “โลกใบนี้หนอ… ชาตินี้ไม่รู้จะกลับไปได้หรือเปล่า เฮ้อ… ทำไมอยู่ดีๆ ก็คิดถึงชาติก่อนขึ้นมากันนะ”
เธอหยุดอยู่บนหน้าผาครู่หนึ่ง ในขณะที่เธอกำลังจะจากไปนั้นเองก็ได้กลิ่นหอมหวานอย่างหนึ่งโชยมา
“บุปผาร้อยใบ!” เธอลุกขึ้นยืนแล้วดมอย่างละเอียดทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างดีใจว่า “บุปผาร้อยใบจริงๆ ด้วย! กลิ่นดอกไม้หอมขนาดนี้ ดอกคงจะผลิบานแล้วสินะ คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีอย่างนี้ พอออกมาก็ได้เจอบุปผาร้อยใบเลย!”
กลิ่นดอกไม้นั้นโชยมาจากด้านล่างของหน้าผา เธอก้มตัวลงไปมอง จากนั้นจึงเหาะลงไป
“วะฮะฮ่า… ในที่สุดก็รอจนดอกไม้บานเสียที เจ้าดอกไม้แสนงามจ๋า รีบให้ข้าเด็ดเจ้าเร็วเข้าสิ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงข้างล่างก็เห็นชายชราผอมบางคนหนึ่งกำลังนั่งยองอยู่ที่ริมหน้าผาพลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันหยาบโลน
เธอเห็นเขาขุดบุปผาร้อยใบขึ้นมาหมดแม้กระทั่งต้นและราก ก่อนจะวางลงในกล่องไม้จันทน์อย่างระมัดระวัง จึงรู้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนที่รู้จักรักถนอมสมุนไพรคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
เดิมทีคิดว่าจะได้โอกาสมาเปล่าๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนชิงตัดหน้าไปเสียก่อนแล้ว เธอไม่คิดจะไปช่วงชิง จึงหมุนกายเดินกลับมา
“เจ้าเด็กคนนี้ช่างแปลกประหลาดนัก ในเมื่อถูกกลิ่นของดอกไม้ดึงดูดลงมาทั้งที แล้วเหตุใดจึงจากไปโดยไม่พูดไม่จาเสียอย่างนั้นเล่า” ชายชราร่างเล็กจัดเก็บบุปผาร้อยใบเรียบร้อยแล้วจึงหมุนกายไปมองซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดกับตน จึงหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ท่านได้มันไปครองแล้วมิใช่หรือ แล้วจะให้ข้ารีรออะไรอยู่อีกเล่า ให้รอดูท่านเด็ดสมุนไพรอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าจะช่วงชิงไปก็ได้นี่นา!” ชายชราร่างเล็กเส้นผมขาวโพลน แววตาทั้งสองเปล่งประกายสดใส ดูมีชีวิตชีวาไปทั้งตัว
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินวาจาของเขาแล้วสะดุ้ง มีคนที่เรียกให้ผู้อื่นช่วงชิงของของตนอยู่ด้วยหรือนี่
เธอส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าบุปผาร้อยใบนี้จะหายาก แต่ก็ยังไม่พอจะทำให้ข้าจิตใจหวั่นไหวหรอกนะ ถ้าหากเอาชนะท่านได้ก็ยังพอว่า แต่ถ้าเอาชนะท่านไม่ได้ก็ไม่เท่ากับข้าอยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวเปล่าๆ หรอกหรือ”
“เจ้าช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!” ชายชราร่างเล็กพูด “เจ้าก็เป็นนักหลอมยาเช่นกันหรือ”
“ทำเป็นบ้างเล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่าเธอมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ออกเลย จึงตกตะลึงอยู่บ้าง แต่คิดๆ ดูแล้วผู้ที่กล้าเดินทางอยู่ในเทือกเขาหมื่นอสูรตามลำพังในยามนี้จะเป็นคนธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน
ชายชราร่างเล็กคิดว่าคงจะต้องพบกับการต่อสู้แย่งชิงดังเช่นก่อนหน้านี้ คิดไม่ถึงว่าจะพบเด็กโง่งมคนหนึ่งเข้าเสียได้
“เจ้าไม่คิดต่อสู้แย่งชิงจริงๆ น่ะหรือ” ชายชราร่างเล็กถามย้ำอีกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ในตัวท่านยังมีของที่ทำให้คนจิตใจหวั่นไหวมากกว่านี้อีกหรือไม่เล่า ถ้ามีข้าจะได้ชิงมา แต่ถ้าไม่มีก็ช่างเถิด”
พอพูดจบเธอจึงหมุนกายจากไป
ชายชราร่างเล็กมองแผ่นหลังของซือหม่าโยวเย่ว์พลางลูบคางอันแหลมยื่น ทันใดนั้นก็รีบตามมาแล้วคว้ามือซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าเด็กนี่ เจ้าจะไม่ช่วงชิงจริงหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองชายชราร่างเล็กแล้วตกตะลึงไปกับพลังยุทธ์และความเร็วของเขา พร้อมกันนั้นสีหน้าก็ดำทะมึน เขามีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเช่นนี้แล้วตนจะกล้าไปแย่งชิงของจากเขาได้อย่างไรกันเล่า
ในขณะนี้เอง สร้อยข้อมือม่านถัวที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันสั่นไหวขึ้นมา ซึ่งทำให้เธอประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“โอ้… สร้อยข้อมือของเจ้าเส้นนี้ช่างพิเศษยิ่งนัก” ชายชราร่างเล็กมองสร้อยข้อมือม่านถัว “เป็นดอกม่านถัวหลัวเสียด้วย นี่มันดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แทนสุดยอดมารร้ายเมื่อหลายหมื่นปีก่อนนี่นา! เด็กน้อย เหตุใดเจ้าจึงใช้ดอกไม้ที่มืดมนเช่นนี้ได้เล่า”