ซือหม่าโยวเย่ว์บินเข้าไปแล้วร่อนลงบนภูเขาข้างๆ เห็นว่าที่ริมทะเลสาบมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก คนที่หลี่มู่พามาและคนตระกูลน่าหลานยืนอยู่ด้วยกัน
ซือหม่าโยวหยางและชายหนุ่มผู้หนึ่งต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ ส่วนคนด้านล่างกำลังส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ เพราะโยวหยางถูกอีกฝ่ายทำร้ายในการต่อสู้เมื่อครู่
“ซือหม่าโยวหยาง เจ้ายังไม่เรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเจ้าออกมาอีกหรือ” หมาป่าสีขาวองอาจสง่างามตนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มผู้นั้น
“สัตว์อสูรเทพ” ซือหม่าโยวหยางมองหมาป่าสีขาว มีบางครั้งที่สัตว์อสูรวิเศษระดับสัตว์อสูรเทพไม่มีปีก แต่กลับเหาะเหินเดินอากาศได้ หมาป่าสีขาวตนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ซือหม่าโยวหยางยกมือขึ้นปาดโลหิตบนริมฝีปากทิ้งแล้วเอ่ยว่า “แค่จะจัดการเจ้า ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของข้าเลย!”
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” เธอทะยานลงมาจากภูเขาแล้วพูดขึ้น “นี่คือการแข่งขันสัตว์อสูรเทพหรือ ต้องให้เจ้าวิหคน้อยไปเล่นกับมันด้วยหรือไม่”
มาหาเรื่องข้าในเวลาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าอยากลองเชิงพลังยุทธ์ของคนรุ่นเยาว์ตระกูลซือหม่าหรอกหรือ!
“โยวเย่ว์ เจ้ากลับมาแล้ว!” คนตระกูลซือหม่าเห็นเธอกลับมาจึงเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ อีกฝ่ายเป็นคนของสมาพันธ์นักหลอมยาเมืองวิเศษ บอกว่าพวกเราลักพาตัวคุณหนูของพวกเขามา จึงได้มาหาเรื่องพวกเรา ต่อมาจึงบอกว่าหากพวกเราเอาชนะพวกเขาได้สามคนก็จะยอมปล่อยเรื่องนี้ไป”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแวบหนึ่ง ซือหม่าโยวฉิง ซือหม่าโยวหลาน และเหยียนลู่ล้วนไม่อยู่ที่นี่ทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจงใจเลือกเวลาที่เหยียนลู่ไม่อยู่มาท้าทาย
ซือหม่าโยวเย่ว์บินมาที่ข้างกายซือหม่าโยวหยางแล้วเอ่ยว่า “โยวหยาง คนเช่นนี้เจ้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ ขายขี้หน้าหรือไม่เล่า! เจ้าลงไป ข้าเอง”
คนตระกูลซือหม่าเหล่านี้จะลงไปแข่งขันด้วยกันหมด เธอไม่อยากทำตามความต้องการของอีกฝ่ายเลย
“โยวเย่ว์…” ซือหม่าโยวหยางมองเธอแวบหนึ่ง
เขาจะไม่รู้วัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายได้อย่างไร แต่อีกฝ่ายมารังแกกันถึงที่เช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางถอยหนีได้อยู่แล้ว
“ไปเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบบ่าเขา หลังจากนั้นจึงมองน่าหลานเจี๋ยพลางยิ้มอย่างร้ายกาจ “พวกเจ้ามิได้อยากหยั่งเชิงดูพลังยุทธ์ของตระกูลซือหม่าหรอกหรือ ข้าก็เลยมาเล่นกับพวกเจ้าด้วย เอาชนะคนสามคน ใช้ข้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว!”
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คนตระกูลน่าหลานจึงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่เจอกันสองปี เจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยเลยนะ” น่าหลานเจี๋ยจำเธอได้จากที่เคยพบกันที่เมืองหลินชวนในตอนนั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่จางลงเลย เธอเอ่ยว่า “ขอบใจที่ชม แต่ไม่พบกันสองปี กลิ่นอายของเจ้ามิได้แข็งแกร่งขึ้นสักเท่าใดเลยนี่”
“เจ้า…” คนตระกูลน่าหลานโมโหจนแทบจะเข้ามาทุบตีเธอ แต่กลับถูกน่าหลานเจี๋ยสกัดเอาไว้
“เจ้าเป็นใครกัน” ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถาม
“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ
“ข้าคือหยวนเฟิง ศิษย์ของผู้อาวุโสสี่แห่งสมาพันธ์นักหลอมยา” หยวนเฟิงพูด
“สมาพันธ์นักหลอมยา ชื่อฟังดูใหญ่โตเหลือเกินนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็มิอาจสาดน้ำโคลนใส่ตระกูลซือหม่าตามใจชอบได้อยู่ดี! ในเมื่ออยากหยั่งเชิงพลังยุทธ์ของตระกูลซือหม่า เช่นนั้นก็เข้ามาสิ”
“เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ! อีกประเดี๋ยวข้าจะตีจนมารดาเจ้าจำเจ้าไม่ได้เลย!” หยวนเฟิงพูดอย่างอำมหิต“หมาป่าสีขาว ลุยเลย!”
“เจ้าวิหคน้อย เจ้าไปเล่นกับเจ้าหมาป่าน้อยนั่นหน่อยสิ! ระวังอย่าทำมันตายเสียล่ะ สัตว์อสูรเทพทั้งตัว พวกเราชดเชยไม่ไหวหรอกนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับเจ้าวิหคน้อยที่อยู่บนบ่า
“ได้เลย เจ้านาย ข้าจะลงมือแบบรักษาน้ำใจหน่อย” เจ้าวิหคน้อยพูดจบจึงแปลงเป็นร่างเดิม ผู้คนด้านล่างแทบจะถูกปกคลุมอยู่ภายใต้เงาปีกของมันทั้งหมด
“วิหคสี่ปีก!” คนตระกูลน่าหลานเห็นร่างเดิมของเจ้าวิหคน้อยแล้วจึงร้องอุทานออกมา
เจ้าวิหคน้อยพุ่งตรงเข้าใส่หมาป่าสีขาว กรงเล็บแหลมคมทรงพลังตะปบเข้าใส่มัน มันจึงรีบบินหลบไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี
“แข่งบินกับข้าดีไหมเล่า” เจ้าวิหคน้อยส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชาก่อนจะโจมตีเข้าใส่หมาป่าสีขาวอีกครั้ง
การที่หมาป่าสีขาวบินได้นั้นไม่มีผลต่อเจ้าวิหคน้อยเลยสักนิดเดียว ขณะที่หลบหลีกก็ยังแสดงการโจมตีออกมาด้วย
หยวนเฟิงเห็นสัตว์อสูรเทพของตนถูกกดดันเช่นนี้จึงส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น ปราณวิญญาณกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กๆ
“ปรมาจารย์วิญญาณธาตุคู่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นทักษะวิญญาณที่อีกฝ่ายใช้ เห็นได้ชัดว่าเป็นธาตุทอง แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาก็เป็นนักหลอมยาด้วย ย่อมต้องมีธาตุไฟอยู่ด้วยแน่นอน
“เพิ่งรู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ!” หยวนเฟิงพูด “เจ้าคุกเข่าขอร้องข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่ละเว้นเจ้า!”
“ช่างเป็นคนที่สำคัญตัวเองผิดจริงๆ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ใครบอกเจ้าว่าข้าจะขอร้องเจ้าเล่า แต่ข้าจะคืนคำนี้ให้เจ้าต่างหาก วันนี้ข้าจะตีจนมารดาเจ้าจำเจ้าไม่ได้เลย ต่อให้เจ้าคุกเข่ากับพื้นแล้วขอรัองข้า ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้าเป็นอันขาด!”
เธอพูดพลางแปลงปราณวิญญาณให้กลายเป็นเปลวเพลิงผลาญทำลายกระบี่เล่มจิ๋วหลายสิบเล่มที่อีกฝ่ายซัดออกมาจนหมดเกลี้ยง แต่เปลวเพลิงของเธอก็สลายหายไปหมดด้วยเช่นเดียวกัน
“ไอ้หยา ดูเหมือนว่าธาตุไฟของข้าเพิ่งจะกำจัดทักษะวิญญาณของเจ้าไปละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างใจร้าย
“เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจเร็วเกินไปนักเลย ในเมื่อเจ้าอยากเล่นไฟ ข้าก็จะให้เจ้าเล่นสมใจอยาก” หยวนเฟิงพูด “เป็นนักหลอมยา สิ่งที่เล่นได้ดีที่สุดก็คือไฟนี่แหละ!”
ไม่พูดไม่ได้ว่าหยวนเฟิงเล่นไฟได้ดีจริงๆ เปลวเพลิงแต่ละกองที่อยู่ในมือเขาเปลี่ยนแปลงไปมาราวกับเคล็ดวิชามารก็มิปาน
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาอย่างจนคำพูด นี่อีกฝ่ายกำลังสำแดงเคล็ดวิชามารเพลิงหรืออย่างไร
“ไป…” อีกฝ่ายสำแดงอยู่นาน ในที่สุดก็กลายเป็นลูกหมาป่าสีขาวตัวหนึ่งออกมา มันพุ่งเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ภายใต้การควบคุมของเขา
ดาบเล่มใหญ่ในมือซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนที่หมาป่าเพลิงพุ่งเข้าใส่เธอจึงถูกเธอฟันดาบเข้าใส่จนร่างแยกจากกัน
“เจ้าเล่นไฟเก่งใช้ได้จริงๆ ระดับขั้นของทักษะวิญญาณนี้ไม่ต่ำเลย แต่น่าเสียดายที่เจ้ามิได้ศึกษาให้ดี ความเร็วของมันจึงช้าเกินไป รอจนเพลิงของข้ามอดดับไปก่อนแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วพุ่งเข้าใส่เขาในทันใด ความเร็วนั้นแทบจะเทียบเคียงได้กับสัตว์อสูรบินได้อยู่แล้ว
เธอมาถึงข้างกายหยวนเฟิงก่อนจะเตะเขาคราหนึ่งจนเขาร่วงหล่นจากกลางอากาศลงมากระแทกพื้น
“พลั่ก…”
ในขณะที่ร่วงหล่นลงมาด้วยความเร็วสูงนั้นเอง หยวนเฟิงทำอะไรไม่ทันนอกจากสร้างชั้นป้องกันให้ตนเองชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงร่วงลงมากระแทกพื้น ชั้นป้องกันแตกสลายไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ร่อนลงมาข้างกายเขา ก่อนจะเข้าไปเงื้อหมัดต่อยใส่เขา
หยวนเฟิงเพิ่งจะลุกขึ้นยืนได้ก็ถูกต่อยล้มลงไปอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ใบหน้าของเขาถูกต่อยจนฟกช้ำดำเขียว ดวงตาบวมปูด ปากแตก จนมองรูปลักษณ์ก่อนหน้านี้ไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
“หยุดนะ!” หลี่มู่คิดไม่ถึงว่าหยวนเฟิงจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ นอกจากนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ยังลงมือรวดเร็วอย่างยิ่ง ชกต่อยแค่ไม่กี่ครั้งก็ทำให้หัวเขากลายเป็นหัวหมูเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหลี่มู่ปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นี่มิใช่การแข่งขันหรอกหรือ เขายังไม่ได้บอกว่ายอมแพ้ แล้วข้าจะหยุดได้อย่างไรกันเล่า”
“ข้า… ข้ายอมแพ้!” หยวนเฟิงอาศัยจังหวะนี้เอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ต่อยใส่เขาอีกหมัด แล้วหยุดก่อนถึงใบหน้าเขาหนึ่งเซนติเมตร
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าจึงยอมแพ้เสียแล้วเล่า พวกเรายังไม่ได้สู้ยกที่สองกันเลยนะ!” เธอถอนหายใจพลางปล่อยมืออย่างจนใจ หยวนเฟิงจึงล้มตัวลงบนพื้นอีกครั้ง “ข้าพูดคำไหนคำนั้นมาตลอด เป็นอย่างไรเล่า กลับไปถามท่านแม่เจ้าสิว่านางรู้จักเจ้าหรือไม่”
“พรืด…”
คนตระกูลซือหม่าต่างพากันหัวเราะออกมา เจ้าคนผู้นี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว ต่อยจนผู้อื่นตาบวมปากแตกแล้วยังจะเสียดสีเขาอีก
ซือหม่าโยวเย่ว์หันไปมองคนของสมาพันธ์นักหลอมยาแล้วเอ่ยว่า “ยังเหลืออีกสองรอบ พวกเจ้าจะส่งใครมาดีเล่า”
คนของสมาพันธ์นักหลอมยาต่างถอยไปด้านหลังคนละก้าวโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งหยวนเฟิงที่มีพลังการต่อสู้สูงที่สุดก็ยังถูกเธอทำร้ายจนน่าอนาถถึงเพียงนั้น แล้วใครจะกล้าเข้าไปอีกเล่า
“นี่มันอะไรกันน่ะ” เหยียนลู่และพวกซือหม่าโยวฉิงเหาะกลับมา เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้จึงขมวดคิ้วถามขึ้น