เมื่อได้ยินอายุของซือหม่าโยวเย่ว์ ริมทะเลสาบก็เงียบงันไปหลายวินาที จากนั้นจึงมีเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่น
“อายุยี่สิบสองปี เจ้ากลับกล้าแข่งหลอมยากับศิษย์พี่หลี่อย่างนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ข้าได้ยินมาในปีนี้เลยล่ะ!”
“เจ้าเป็นนักหลอมยาหรือ” เหยียนลู่ถาม
“ใช่” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบรับ “ถึงแม้ว่าระดับขั้นจะไม่สูงมากนัก แต่ก็ยังพอแข่งกับเขาได้อยู่”
เหยียนลู่มองเธออย่างประหลาดใจ เธอมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนี้ เป็นเพราะระดับขั้นสูงกว่าเขาอีกอย่างนั้นหรือ อย่างน้อยก็ต้องเท่ากันกับเขา!
นักหลอมยาขั้นสี่อายุยี่สิบสองปี พรสวรรค์เช่นนี้ช่างชวนให้คนตกใจยิ่งนัก! แม้กระทั่งศิษย์พี่หานก็ยังอายุถึงยี่สิบสี่ปีจึงจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสี่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกลอีกด้วย!
“มิน่าเล่าพวกโยวฉิงถึงได้บอกว่าเขาเป็นตัวประหลาด พรสวรรค์เช่นนี้ก็เป็นตัวประหลาดจริงๆ นั่นแหละ!”
“ได้ ในเมื่อเจ้าอยากแข่งกับข้า เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้เจ้าเอง เจ้าเป็นนักหลอมยาขั้นใดเล่า” หลี่มู่เองก็อยากจะจัดการเธอด้วยมือตัวเองยิ่งนักจึงเอ่ยถามขึ้น
“ขั้นไหนไม่สำคัญหรอก ในเมื่อเจ้าหลอมยาวิเศษขั้นสี่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็มาแข่งขั้นสี่กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้าแพ้แล้วกลับคำอีกครั้ง คราวนี้พวกเราต้องมีพยานด้วย”
เมื่อถูกเธอเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพลิงโทสะในใจหลี่มู่ก็ยิ่งโหมกระหน่ำ เขาถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“ก็ต้องไปหาพยานมาน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แข่งกันที่นี่ไม่ได้หรอก ต้องไปที่หมู่บ้านภาพมังกร ต่อหน้าทุกคน หากมีพยานมากๆ ข้าจะได้วางใจหน่อย”
“ก็ได้ ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าก็ต้องปล่อยให้พวกเราจัดการด้วยล่ะ!” หลี่มู่พูด
“ไม่มีปัญหา!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าคิดว่าหากข้าตกไปอยู่ในเงื้อมมือพวกเจ้าจะต้องไม่เหลือแม้แต่ซากแน่ ทว่าข้าใจกว้างกว่า ไม่ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนพวกเจ้าหรอก ถ้าหากเจ้าพ่ายแพ้ ภายหลังหากพบหน้าข้าก็จงเรียกข้าว่าลูกพี่สักคำหนึ่งก็พอแล้ว!”
“ได้สิ!” หลี่มู่รับปาก
“เช่นนั้นพวกเราไปกันตอนนี้เลยดีกว่า เพื่อเลี่ยงมิให้พวกเจ้ามาร้องเจี๊ยวจ๊าวต่อหน้าข้าอีก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ใช่แล้ว คุณชายตระกูลน่าหลาน พวกเจ้ามิได้อยากหยั่งเชิงพลังยุทธ์ของพวกเราหรอกหรือ บอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่าข้าไม่เข้าร่วมการแข่งขัน ดังนั้นเจ้าให้คนมาหยั่งเชิงข้าได้ตามสบายเลย ข้าจะรับไว้ทั้งหมด”
มือที่ไพล่หลังอยู่ของน่าหลานเจี๋ยกำเป็นหมัดแน่น
หลี่มู่มองคนคนตระกูลซือหม่าปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด”
จากนั้นพวกเขาจึงไปยังหมู่บ้านภาพมังกร เมื่อถึงเวทีประลอง คนของสมาพันธ์นักหลอมยาจึงเคาะนาฬิกาเรือนใหญ่บนเวทีประลองคราหนึ่ง เสียงนาฬิกาจึงก้องสะท้อนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
เมื่อคนในหมู่บ้านได้ยินเสียงนาฬิกาแล้วจึงรีบพุ่งตัวมายังเวทีประลอง อยากเห็นว่าใครที่กำลังจะดวลกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ที่ด้านล่างของเวทีประลอง เมื่อเห็นเวทีอันแข็งแรงมั่นคง ทั้งยังมีค่ายกลล้อมรอบ จึงรำพึงว่า “คิดไม่ถึงว่าสถานที่แห่งนี้จะมีเวทีประลองอยู่ด้วย”
“ผู้ที่มายังเขาภาพมังกรมีแต่พวกเลือดร้อนไฟแรงกันทั้งนั้น ทำให้มีการปะทะกันอยู่เป็นประจำ จึงได้สร้างเวทีประลองแห่งนี้ขึ้นมาที่ด้านข้างหมู่บ้าน เพื่อปกป้องหมู่บ้านเอาไว้น่ะ” เหยียนลู่พูดอธิบาย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคาง “ดูเหมือนว่าทักษะค่ายกลของผู้สร้างเวทีแห่งนี้ในหมู่บ้านจะไม่เลวเลยทีเดียวนะ”
“น่าจะใช่กระมัง แต่นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว พวกเราก็ไม่รู้แล้วละว่าเป็นใคร” เหยียนลู่พูด
เพียงไม่นาน คนในหมู่บ้านก็วิ่งลงมากันหมด เมื่อเห็นหลี่มู่อยู่บนนั้นจึงพากันคาดเดา “จะมีคนมาแข่งกับคนของสมาพันธ์นักหลอมยาอย่างนั้นหรือ”
“ใครกันที่อาจหาญถึงเพียงนั้น”
“จริงหรือเท็จกันน่ะ”
“แข่งกับคนของสมาพันธ์นักหลอมยา จะแข่งหลอมยาอย่างนั้นหรือ”
“วันนี้พวกเราจะได้เห็นการหลอมยากับตาแล้วสินะ”
“แข่งหลอมยากับคนของสมาพันธ์นักหลอมยา นี่มิใช่การรนหาที่หรอกหรือ”
“ใครจะไปรู้! ข้ารู้จักคนผู้นี้ เขาชื่อหลี่มู่ เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นเยาว์ของสมาพันธ์นักหลอมยา อายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีก็เป็นนักหลอมยาขั้นสี่แล้ว!”
“นักหลอมยาขั้นสี่วัยเยาว์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ใช่น่ะสิ จึงไม่รู้ว่าใครกันที่มีตาหามีแววไม่ ถึงได้กล้ามาแข่งขันกับเขา”
เมื่อเห็นว่ามีคนมากันมากพอสมควรแล้ว หลี่มู่จึงมองไปยังซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ด้านล่างของเวทีพลางถามว่า “เจ้าคิดจะขึ้นมาเมื่อไหร่กัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างเชื่องช้า
“เจ้าเด็กผู้นี้ดูจะอายุอ่อนกว่าหลี่มู่เสียอีก!”
“เขาจะแข่งหลอมยากับหลี่มู่จริงหรือ นี่มันบ้าไปแล้ว!”
“พวกเราลงพนันกันดีหรือไม่ มาพนันกันว่าใครจะชนะ”
“ช่างมันเถิดน่า นี่มันต้องเทไปฝ่ายเดียวอยู่แล้ว จะทำไปเพื่ออะไรเล่า!”
คนเหล่านี้ไม่อยากพนัน แต่กลับมีเสียงหนึ่งตะโกนมาจากข้างเวที
“มาสิๆ มาแทงพนันกันดีกว่า หากแทงข้างหลี่มู่ชนะ อัตราหนึ่งต่อห้า หากแทงข้างโยวเย่ว์ชนะ อัตราหนึ่งต่อสิบรีบมาลงพนันกันเร็วเข้าสิ!”
ทุกคนมองตามเสียงไปก็เห็นว่าตรงนั้นมีโต๊ะวางอยู่ตัวหนึ่ง บนนั้นปูผ้าซึ่งเขียนชื่อหลี่มู่และซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้
“เจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้ามาตั้งโต๊ะตรงนี้ ถ้าหากแพ้แล้วพวกเจ้าจะจ่ายพวกเราไหวหรือ”
ซือหม่าโยวหยางกางพัดจีบแล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่คิดเอาเองว่ามัดใจผู้อื่นได้ “เรื่องนี้พวกท่านวางใจได้เลย แต่ไหนแต่ไรตระกูลซือหม่าเราก็ไม่เคยติดหนี้ใครอยู่แล้ว!”
“ตระกูลซือหม่าหรือ”
“ข้ารู้จักคนผู้นี้ เขาคือคุณชายผู้เป็นทายาทตระกูลซือหม่า เป็นหลานชายสายตรงของประมุขตระกูลคนปัจจุบัน”
เมื่อมีคนตะโกนเช่นนี้ออกมา ทุกคนจึงเชื่อถือในตัวตนของซือหม่าโยวหยาง
มีคนตั้งโต๊ะ ทุกคนก็ย่อมอยากเข้าร่วมวงพนันด้วยอยู่แล้ว จากนั้นจึงกรูกันเข้าไป
“มาๆๆ การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วนะ! ใครอยากเข้าร่วมก็รีบมาลงพนันเร็วเข้า! ได้กำไรเห็นๆ เลยนะ!” ซือหม่าโยวหยางตะโกนพูด
“ลงข้างหลี่มู่กันหมด ไม่มีใครลงข้างโยวเย่ว์ของพวกเราบ้างเลยหรือ” ซือหม่าโยวหยางมองดูคนที่ลงพนันแล้วขมวดคิ้ว “โยวเย่ว์ของเราอัตราหนึ่งต่อสิบเชียวนะ!”
“ข้าเอง ข้าพนันข้างซือหม่าโยวเย่ว์!” บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา ในขณะที่เขากำลังจะวางตำลึงทองลงบนโต๊ะนั้นก็ถามขึ้นประโยคหนึ่งว่า “เขาเป็นคนตระกูลซือหม่าของพวกเจ้าหรือ อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวหยางพูดพลางยิ้มตาหยี “ถูกต้อง โยวเย่ว์เป็นน้องชายของข้า อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุยี่สิบสองแล้วล่ะ”
มือของชายวัยกลางคนอยู่ห่างจากโต๊ะอีกเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรแล้วชักมือกลับไป หลังจากนั้นจึงพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่งว่า “ข้าลงข้างหลี่มู่ดีกว่า”
“ฮ่าๆ…” ผู้คนโดยรอบพากันหัวเราะขึ้นมา
รอยยิ้มของซือหม่าโยวหยางชะงักค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโบกพัดพลางเอ่ยว่า “ความจริงแล้วโยวเย่ว์ของเราร้ายกาจยิ่งนัก จะต้องเอาชนะหลี่มู่ได้อย่างแน่นอน พวกท่านไม่ลงข้างเขากันจริงๆ หรือ”
“คุณชายซือหม่า ท่านบอกว่าเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบสองปี คนทั่วไปอายุยี่สิบสองปี สำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสามได้ก็ไม่เลวแล้ว หลี่มู่ผู้นี้เป็นถึงนักหลอมยาขั้นสี่ แล้วใครจะกล้าไปลงข้างเขาได้เล่า!” มีคนพูดพลางหัวเราะ
“พวกท่านไม่ลงข้างเขาตอนนี้ก็อย่ามานึกเสียใจภายหลังล่ะ!” ซือหม่าโยวหยางพูด
“พี่ชาย ข้าลงข้างเขาคนหนึ่งแล้วกัน” เด็กน้อยอายุราวสิบกว่าขวบแทรกตัวเข้ามาแล้ววางตำลึงทองหลายอันลงบนโต๊ะ
“หนิวหวา เจ้าไม่อยู่เฝ้าร้านของพวกเจ้าหรือ มาร่วมวงอะไรที่นี่เล่า!”
หนิวหวารับใบลงพนันมาพลางยิ้มให้คนที่พูดกับเขาแล้วเอ่ยว่า “คนมาที่นี่กันหมดทั้งเมืองแล้ว ไม่มีลูกค้าหรอก พ่อข้าถึงกับปิดร้านเลยทีเดียว ไม่ต้องให้ข้าเฝ้าแล้วล่ะ”
“สหายตัวน้อยช่างมีสายตาแหลมคมนัก!” ซือหม่าโยวหยางเอ่ยชม
หนิวหวามองดูกระดาษในมือแล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เอ๊ะ… เหตุใดจึงไปลงของฝ่ายตรงข้ามได้เล่า ข้าจะลงข้างปรมาจารย์หลี่ต่างหาก!”
ทุกคนมองไปบนโต๊ะก็เห็นว่าตำลึงทองหลายอันเป็นตำลึงทองของฝั่งหลี่มู่ แต่เพราะผู้ที่ลงข้างหลี่มู่มากเกินไป ตอนที่เขาลงพนันจึงเข้าไปอยู่ในพื้นที่ฝั่งซือหม่าโยวเย่ว์พอดี
คราวนี้รอยยิ้มของซือหม่าโยวหยางแข็งค้างไปจริงๆ เสียแล้ว