สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 3 เพิ่งออกไปด้านนอกในสภาพเปาบุ้นจิ้นหรือ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 3 เพิ่งออกไปด้านนอกในสภาพเปาบุ้นจิ้นหรือ?

บทที่ 3 เพิ่งออกไปด้านนอกในสภาพเปาบุ้นจิ้นหรือ?

มู่ซืออวี่พาเด็กทั้งสองเดินกลับไป ตามหลังมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าชาวนาที่อยู่ในทุ่งนาแถวนั้น

เด็กหญิงตัวน้อยได้รับบาดเจ็บเพราะหวังซื่อ ไม่ใช่เพราะถูกมารดาทำร้ายร่างกาย

หลังจากกลับมาถึงบ้าน มู่ซืออวี่ก็วางลู่จื่ออวิ๋นลง ก่อนจะหันไปแย่งห่อยาในมือของลู่ฉาวอวี่มา และพูดอย่างหมดความอดทนว่า “ให้ข้าต้มเอง หากเจ้าทำพังแล้วจะสิ้นเปลืองของไปเปล่า ๆ อย่าคิดว่าข้าจะเสียเงินเพื่อของไร้สาระพวกนี้ล่ะ”

ลู่ฉาวอวี่มองไปที่ฝ่ามือว่างเปล่าแล้วรีบกำหมัดแน่น เขามองตามแผ่นหลังของมู่ซืออวี่ด้วยความขุ่นเคืองใจ แววตาวาบไหวดุร้ายราวกับหมาป่า

เมื่อลู่ฉาวอวี่ออกไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็ยู่ปากด้วยสีหน้าน้อยใจ

นางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด สายตาเด็กน้อยแสดงอารมณ์น่ากลัวเกินไปจริง ๆ

เอาอย่างไรดี ไม่ต้องสนใจเรื่องราวแล้วคุยดี ๆ กับเขาเลยดีหรือไม่?

เพราะหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางที่เพิ่งจะข้ามเวลามาก็คงจะถูกเด็กคนนี้เขมือบทั้งเป็น นางไม่อยากกลายเป็นหญิงสาวผู้เดินทางข้ามเวลาคนแรกที่ตายด้วยน้ำมือของผู้ร้ายตัวน้อยตั้งแต่เริ่มหรอกนะ

แต่เด็กคนนี้ก็ไม่เลว เหมือนกับพ่อของเขาที่เป็นตัวร้าย โตไปคงก็จะกลายเป็นตัวร้ายเช่นเดียวกัน น่าจะเป็นตัวร้ายที่มีกลอุบายไม่แพ้ท่านพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ อย่ามองว่าตอนนี้ลู่ฉาวอวี่เป็นเพียงเด็กน้อยน่ารัก ความจริงแล้วหัวใจและประสบการณ์ของเขาโตเกินวัย อันตรายกว่าผู้ใหญ่หลายคนเสียอีก

มู่ซืออวี่สับสนยิ่งนัก หากจู่ ๆ นิสัยนางผิดแผกไปจากเดิม คนในสมัยโบราณเหล่านี้จะเอานางไปเผาเพราะคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เรื่องทั้งหมดพังทลายลง ถึงแม้ว่านางจะรักเด็กที่น่าสงสารสองคนนี้มากเพียงใด สุดท้ายก็ต้องแสร้งทำเป็นดุร้าย

เวลาที่จะแสดงความห่วงใย มู่ซืออวี่ยังต้องหาเหตุผลที่น่าไว้วางใจและสมเหตุสมผลมากพอ หากกลายเป็นการยั่วโมโหตัวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า คงน่ากังวลใจจริง ๆ ว่าอึดใจต่อมาคอจะหลุดจากบ่า ไม่รู้ว่าจะพูดว่าง่ายได้หรือไม่

มีฝุ่นหนาเตอะอยู่บนเตา ภายในเตาก็ยังดำคร่ำเขรอะ ไหนจะกลิ่นหืนที่ลอยออกมา พอมองไปยังโอ่งน้ำข้าง ๆ ก็พบว่าน้ำแม้แต่หยดเดียวก็ไม่มี เมล็ดข้าวก็เช่นกัน ในตะกร้ามีเพียงแค่ไม่กี่สิบเมล็ดเท่านั้น

มู่ซืออวี่ที่เพิ่งเดินทางข้ามเวลายังไม่มีเวลายอมรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับหวังซื่อเข้าแล้ว ครั้นมองดูครอบครัวที่ยากจนของตนในเวลานี้ นางก็สงสารลูกสองคนที่อยู่ด้านนอกเหลือเกิน เพียงแค่นี้ก็ไม่มีเวลาจัดการกับอารมณ์ของตนเองแล้ว

นางแบกถังน้ำออกไปนอกประตู

ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมแบกถังเปล่าสองถังได้อย่างสบาย ๆ สักพักนางก็แบกน้ำกลับมา ผู้หญิงยุคใหม่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่เคยชินกับน้ำประปาอย่างนางเริ่มจะเดากับความไม่เคยชินอื่น ๆ ที่กำลังจะตามมาได้

ลู่ฉาวอวี่อยู่กับลู่จื่อวิ๋นภายในห้อง พอได้ยินเสียงดังซ่าจากด้านนอกจึงเดินไปดูที่หน้าต่าง ก่อนจะพบว่ามู่ซืออวี่กำลังแบกถังน้ำออกไป ภาพนี้สร้างความประหลาดใจซึ่งฉายผ่านนัยน์ตาคู่งามอย่างมาก

เกิดอะไรขึ้น? ถูกอาคมเข้าแล้วรึ?

หลายปีที่ผ่านมา ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยไปหาบน้ำ แม้แต่เอาน้ำมาล้างหน้าก็ไม่เคย ทุกวันนางจะออกไปเดินทอดน่องอยู่ในหมู่บ้าน หิวแล้วค่อยกลับมากินข้าว กินอิ่มแล้วก็ออกไปเดินเล่นอีก เขากับน้องสาวที่อยู่ในบ้านจะรู้สึกดีใจทุกครั้งที่ไม่เห็นนางอยู่ในบ้าน สาเหตุที่ไม่มีความสุขเป็นเพราะมักถูกเฆี่ยนตี ถูกดุด่า เทียบกับถ้อยคำต่ำช้าจากหวังซื่อก่อนหน้านี้ นางผู้เป็นแม่คนนี้ดุด่าพวกเขายิ่งกว่านั้น

แต่ไฉนวันนี้นางกลับออกไปหาบน้ำ?

เรื่องราวที่มู่ซืออวี่ออกไปหาบน้ำแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว คนในหมู่บ้านเริ่มจับเข่าคุยกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ บางคนพูดว่าลู่อี้จากไปนานเหลือเกิน มู่ซืออวี่จะดื่มปัสสาวะแทนก็ไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องออกไปหาบน้ำเอง บางคนพูดว่ามู่ซืออวี่ก็มีมือมีเท้า แต่งกับลู่อี้มาแล้วก็หลายปีแต่ไม่เคยทำงานทำการเลย คงจะเป็นอย่างที่คิดไว้ ยินยอมแต่งกับลู่อี้มาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น ส่วนบางคนก็หัวเราะเยาะร่างอ้วนของมู่ซือวี่ที่กำลังไปแบกน้ำ เหน็บแหนมว่าหากตกบ่อ บ่อก็คงจุไม่ไหว

ซ่า…

มู่ซืออวี่เทน้ำทั้งสองถังลงในโอ่ง

จากนั้นนางก็วางถังน้ำลง เช็ดเหงื่อตัวเอง เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เปื้อนรอยดำของตนแล้วก็แทบจะล้มโครม

สวรรค์! นางเพิ่งออกไปด้านนอกในสภาพเปาบุ้นจิ้นหรือ?!

เมื่อค้นหาผ่านความทรงจำ นางก็พบว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นในหนึ่งปีอาบน้ำน้อยมาก เพราะฉะนั้นอย่าพูดถึงเรื่องล้างหน้าเลย

“ข้าตกลงไปในส้วมหลุมแล้วรึ” มู่ซืออวี่พูดถึงกลิ่นที่อยู่บนร่างกาย พอก้มลงไปดมเนื้อตัวก็อยากอ้วกออกมาทันที “ช่างเถอะ! ต้มยาก่อนค่อยว่ากัน”

ล้างไปห้าหกรอบ หม้อที่ดำเขรอะถึงได้ดูสะอาดขึ้นมา กลิ่นหืนก็ค่อย ๆ กระจายหายไป นางต้มตามอัตราส่วนที่ท่านหมอบอกไว้ นั่นคือต้มน้ำสองสามชามเพื่อให้ได้น้ำต้มยาเพียงแค่หนึ่งชาม หลังจากต้มเสร็จก็พักไว้ให้น้ำเย็นลงจนกว่าจะเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม

“ต้มเสร็จแล้ว เจ้าเรียกนางมาดื่มยาเถิด” มู่ซืออวี่อยากไปเรียกลู่จื่ออวิ๋นมาดื่มยาด้วยตนเอง แต่เห็นสายตาหวงน้องสาวของลู่ฉาวอวี่แล้ว นางก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำตัวเป็นมิตรมากจนเกินไป

ลู่ฉาวอวี่รับถ้วยยามา ก่อนจะลองลูบเบา ๆ แล้วเดินไปข้าง ๆ เตียงนอน

เมื่อครู่ที่มู่ซืออวี่ต้มยานั้น เขาแอบมองอยู่ตลอด กลัวว่านางจะเติมอะไรลงไปด้วย

เขารู้ว่าในสายตาของนาง พวกเขาเป็นเด็กสองพี่น้องที่รกหูรกตาเพียงเท่านั้น นางสาปแช่งพวกเขามากกว่าหนึ่งครั้ง จำได้ว่าอยากให้พวกเขาตาย ๆ ไปซะหรืออะไรสักอย่าง

เฮอะ! เหตุใดพวกเขาจะต้องตาย คนที่สมควรตายต้องเป็นนางมากกว่า

มู่ซืออวี่มองไปยังลู่ฉาวอวี่ที่กำลังป้อนยาลู่จื่ออวิ๋น ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เด็กชายตัวน้อยก็มีความคิดมากมายประดังประเดเข้ามาในหัว เขาคิดจะฆ่าจริง ๆ ด้วยซ้ำ แต่มู่ซืออวี่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้สักนิด

ลู่จื่ออวิ๋นดื่มยาลงไปอย่างราบรื่น มู่ซืออวี่ที่เห็นแล้วก็วางใจ

นางนึกถึงหวังซื่อที่วิ่งหนีไป ความโกรธภายในใจพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

เด็กน้อยได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ ต่อให้พูดอย่างไรก็ไม่สามารถยกโทษให้ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเดินออกไป

ลู่ฉาวอวี่หันกลับมามองมู่ซืออวี่ที่เดินออกไป แววตาเขาทวีความเย้ยหยัน

สันดานหมาจะไม่กลับไปกินขี้*[1] ได้อย่างไร

เมื่อครู่ตอนที่นางต้มยา ก็คงเป็นดั่งที่นางพูดว่าไม่อยากสิ้นเปลืองยา จะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองอีก ผู้หญิงอย่างนางหรือจะมีหัวใจ เขาคาดหวังอะไรอยู่กัน

……

นอกประตูไม้อันทรุดโทรม ปรากฏร่างหญิงเจ้าเนื้อคนหนึ่งกำลังกระแทกประตูอย่างแรง ประตูเก่าคร่ำส่งเสียงทื่อ ๆ ก่อนที่ซี่ไม้จะแตกร้าวเป็นสองเส้น

ปึง! ปึง!

“แม่นางตระกูลหวัง! เจ้าอย่าเสแสร้งว่าตายเลย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ด้านใน เจ้ามิใช่อยากได้ต้นกล้าผักหรือ ข้าเอามาให้เจ้าแล้ว ออกมาเอาสิ!”

ไม่ผิดเพี้ยนแน่ เจ้าของเสียงคือมู่ซืออวี่

ต้นกล้าผักนี้นางถอนออกมาจากสวนของบ้านลู่กับมือ

“ข้าคนนี้จะพูดเพียงรอบเดียว เด็กสองคนนั้นถอนต้นกล้าผักของเจ้า อย่างไรก็ต้องนำกลับมาคืนเจ้าอย่างแน่นอน ข้าเอามาคืนแล้ว เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

ด้านในยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด

มู่ซืออวี่รู้ว่าด้านในมีคนอยู่

เหตุผลแรกคือประตูนี้ถูกปิดจากด้านใน ไม่ได้ลงกลอนจากด้านนอก นอกจากนั้น เมื่อครู่ที่นางเพิ่งมาถึงก็ได้ยินเสียงจากทางด้านใน มันหายไปเมื่อนางเคาะประตู จึงแจ่มแจ้งว่ามีใครบางคนหลบซ่อนอยู่ด้านใน

“เจ้าพวกคนแซ่หวัง คิดว่าจะซ่อนได้ตลอดไปหรือ? หากเจ้าไม่เปิดประตูวันนี้ ข้าจะบุกเข้าไป!เจ้าทำร้ายลูกสาวข้า หากวันนี้เจ้าไม่อธิบายให้ข้าฟัง เจ้ากับข้าไม่จบกันแน่!”

หวังซื่อไม่รู้ว่ากำลังทำให้มู่ซืออวี่โกรธ พอรู้ว่าไม่สามารถหลบหนีได้ก็ยืนเท้าสะเอวด่าทอใส่ “ลูกสาวจากบ้านพวกเจ้าขโมยของข้า ข้าเพียงแค่ตบตีเบา ๆ นางตัวบางอย่างกับกระดาษ ยังจะมาตำหนิข้ารึ”

“เบา ๆ อย่างนั้นหรือ นางอ้วกออกมาเป็นเลือด!” มู่ซืออวี่ใช้แรงถีบประตูลานบ้านอย่างแรง “เปิดประตู! มิฉะนั้นข้าจะถีบเจ้าเอง!”

“แม่ของฉาวอวี่ มีเรื่องอะไรก็พูดกันดี ๆ ไม่ได้หรือ” ชาวบ้านที่ผ่านไปมาเอ่ยขึ้น “ฟังพี่สะใภ้หวังพูดสิ ลูกเจ้าไปขโมยของเขาก่อน อย่างไรก็เป็นของพวกเขา เจ้ามาหาเรื่องอะไรที่นี่ จะมาตำหนิพี่สะใภ้หวังที่ถูกทำก่อนไม่ได้นะ”

เมื่อได้ยินเสียงดังเอะอะ พวกชาวบ้านก็วิ่งเข้ามาล้อมวงกันที่ลานบ้านของหวังซื่อกันอย่างถ้วนหน้าถ้วนตา

[1] สันดานหมาจะไม่กลับไปกินขี้ หมายถึง คนเลวที่กลับไปทำนิสัยเดิม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท