สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 30 เขาจะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 30 เขาจะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร

บทที่ 30 เขาจะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร

“นี่มันเป็นไปไม่ได้” ถงซื่อส่ายหน้า พยายามจะดันตัวลุกขึ้น “ข้าจะไปถามเขาให้รู้เรื่อง ข้าอยากจะได้ยินจากปากเขาด้วยหูตัวเอง เราสองคนเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี เขาจะไม่ต้องการข้าได้อย่างไร”

มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ต้องการอะไรอีกเล่าท่านแม่ จริงอยู่ที่แม่เฒ่าเจียงเป็นคนยุยงให้เขาหย่า แต่ถ้าเขาเป็นห่วงท่านจริง จะยอมหย่าด้วยการชักจูงเพียงไม่กี่คำได้อย่างไร เท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าเขามันคนใจดำ ท่านลองคิดดูว่าผู้ชายเช่นนี้ควรค่าแก่การคะนึงหาอย่างนั้นหรือ ท่านอยากกลับไปนวดเท้าให้เขาในตอนกลางคืนหลังจากตัวเองตรากตรำทำงานอย่างหนักมาทั้งวันอย่างนั้นหรือ”

“ลูกสาว เจ้าไม่เข้าใจ แม่แต่งงานกับเขาตั้งแต่อายุสิบหก มีลูกกับเขา ดูแลงานบ้านและชีวิตต่าง ๆ ของเขามาตลอด ชีวิตของข้าล้วนอยู่เพื่อเขา แล้วเขาจะไม่ต้องการข้าแล้วได้อย่างไร แม่ผิดมากหรือที่อยากจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป เหตุใดเขาถึงได้ทำกับแม่แบบนี้” ถงซื่อขยับตัว ทำให้รอยแผลถูกกระทบจนเจ็บแสบ ใบหน้านางซีดขาว

“ท่านแม่ขอรับ ท่านอยากกลับไปอย่างนั้นหรือ ข้าไม่เคยคิดอยากจะกลับไปเลยแม้แต่น้อย ดีใจเสียอีกที่กำจัดคนพวกนั้นออกไปจากชีวิตได้ พวกนั้นทำให้ท่านต้องทุกข์ทรมาน แม้จะต้องไปเป็นขอทานอยู่ข้างถนน ข้าก็ยอมทั้งนั้น เพียงแค่ได้ออกมาจากบ้านนั้น… อย่างไรข้าก็จะไม่กลับไปอีกแล้ว นั่นมันบ้านท่านลุง บ้านของญาติที่ไม่ใช่บ้านของเรา เราเป็นแค่ทาสรับใช้ในบ้านหลังนั้น ท่านแม่ ถ้าท่านคิดจะกลับไป ท่านจะไม่มีวันได้เจอหน้าข้าอีกเลย” แววตาของมู่เจิ้งหานเต็มไปด้วยความแน่วแน่

หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องไป

ถงซื่อเรียกตามหลังลูกชายอย่างกระวนกระวายใจ “หานเอ๋อร์”

มู่ซืออวี่เอ่ยต่อมารดา “หานเอ๋อร์ถูกทำร้ายจิตใจ ถูกทำให้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะที่ท่านเป็นแม่ของเขา เหตุใดท่านไม่ลองคิดถึงใจเขาบ้าง เขาก็ลูกหลานตระกูลมู่เช่นกัน เหตุใดคนอื่นไปเรียนหนังสือได้ แต่เขาต้องทำงานอย่างหนักทุกวัน ถูกตบตีด่าทออย่างทาสรับใช้ ที่คนว่ากันว่ามารดามักลำเอียงรักลูกชาย แล้วท่านล่ะ ไม่รักเขาบ้างเลยหรือ”

หลังพูดจบ นางก็หันไปทางลู่จื่ออวิ๋น “เสี่ยวอวิ๋น ไปกินข้าวกันเถอะ”

ลู่จื่ออวิ๋นมองไปที่ถงซื่ออย่างเป็นห่วง “ท่านยาย เดี๋ยวอวิ๋นเอ่อร์จะมาปลอบใจท่านนะเจ้าคะ อย่าร้องไห้อีกเลยนะ”

มู่ซืออวี่ลูบหัวลูกสาวตัวน้อย “เสี่ยวอวิ๋น เด็กดีของแม่ น่ารักมาก”

ปิ่งที่ทอดไปได้ครึ่งหนึ่งตอนนี้เริ่มเย็นเสียแล้ว นางขอให้ลู่ฉาวอวี่ช่วยจุดไฟใหม่แล้วทอดปิ่งให้เสร็จ จากนั้นก็เอาชิ้นที่เย็นแล้วมาอุ่นต่ออีกครั้ง

อาหารเช้าวันนี้คือปิ่งต้นหอมและข้าวโพด มู่ซืออวี่จัดอาหารเช้าที่โต๊ะ บอกให้ทุกคนในบ้านกินกันไปก่อน ส่วนตนเองก็ออกไปตามหาน้องชายที่วิ่งออกไป

มู่เจิ้งหานไม่ได้หนีไปไหนไกล แม้จะอารมณ์เสียอย่างมาก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นเด็ก ไม่ได้มีที่ไหนให้ไป ถ้าไปจากที่นี่ก็คงได้เป็นเพียงขอทานข้างถนนจริง ๆ

มู่ซืออวี่พบว่าเขานั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้แถวบ้าน

“เจ้าร้องไห้จนพอใจแล้วก็ไปกินข้าวเช้ากับข้าเถอะ” หญิงสาวเอ่ยกับน้องชายที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก “ข้ารู้ว่าเจ้าผิดหวังมาก อารมณ์ของแม่ยังไม่คงที่ นางเป็นคนอ่อนไหวอยู่แล้วด้วย มันยากที่จะยอมรับเรื่องนี้ได้ทันที ตอนนี้นางมีแผลถูกลวกอย่างรุนแรง ทั้งยังบาดเจ็บภายใน ต้องนอนนิ่ง ๆ บนเตียงไปอีกครึ่งเดือน พวกเรามีเวลามากพอจะเกลี้ยกล่อมนางระหว่างที่นางไปไหนไม่ได้แบบนี้”

“แล้วถ้านางหายดีแล้วกลับไปที่บ้านตระกูลมู่อีกล่ะ?” มู่เจิ้งหานร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ไม่มีทาง” มู่ซืออวี่พูดต่อ “คนบ้านนั้นทำเรื่องเลวร้ายกับนางเอาไว้มาก นางจึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นทาสตามสามัญสำนึก แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอย่างดีในบ้านเราไปได้สักหน่อย นางจะเข้าใจเองว่าชีวิตที่ผ่านมาช่างน่าอนาถ ที่นางเจอมาตลอดคือนรก ความสุขต่างหากที่นางสมควรได้รับ ไม่ควรถูกดุด่าตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนเช่นนั้น”

มู่เจิ้งหานไม่พูดอะไรต่อ แต่กลับร้องไห้ออกมาเสียงดังขึ้นจนนางรู้สึกได้

“เอาล่ะ ต่อไปนี้พี่สาวจะอยู่ข้างเจ้า เจ้าไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้บนบ่าเช่นนั้นอีกแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าทุกข์ใจคนเดียว ไปกันเถอะ” มู่ซืออวี่ขยับเข้าไปหาน้องชายแล้วยื่นมือให้เขา

มู่เจิ้งหานสบตาพี่สาวแล้วเอ่ยว่า ท่าน… ต่างจากเมื่อก่อนมาก”

“คนดี ๆ ที่ไหนจะเติบโตมาในบ้านตระกูลมู่ หลังจากออกมาจากที่นั่น หูตาของข้าก็พลันสว่างขึ้นมา ข้ารู้ตัวทันทีว่าก่อนหน้านี้ตนเป็นคนโง่เง่าเพียงใด เมื่อได้พบเจอกับสิ่งดี ๆ จิตใจก็ต้องดีขึ้นตาม จากนี้ไปเราจะใช้ชีวิตอย่างดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่สนใจคนเลวพวกนั้นอีก” มู่ซืออวี่ว่าต่อ “เมื่อก่อนข้าอาจเป็นพี่สาวที่แย่มากของเจ้า แต่ต่อไปนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ข้าไม่ให้ใครมารังแกน้องชายของข้าได้อีกแล้ว”

มู่เจิ้งหานวางมือของเขาลงบนฝ่ามือนาง

นี่เป็นครั้งแรกที่สองพี่น้องได้ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ แก้มของเด็กชายพลันแดงระเรื่อ

มู่ซืออวี่ดึงเขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไปกันดีกว่า ปิ่งจะเย็นหมดแล้ว”

เมื่อกลับมาถึงบ้าน สองพี่น้องพบว่าคนอื่น ๆ ยังคงรอพวกเขาอยู่

ลู่จื่ออวิ๋นรีบรายงานว่า “ข้าเพิ่งเอาปิ่งสองอันกับข้าวต้มให้ท่านยายกิน แต่ดูเหมือนนางจะกินได้น้อยมาก กินไปแค่ชิ้นเดียวเองเจ้าค่ะ”

“ขอบคุณเจ้ามากเสี่ยวอวิ๋น แม่ต้องรบกวนเจ้าให้ช่วยดูแลท่านยายในช่วงนี้ ถ้านางอยากดื่มน้ำก็เอาน้ำใส่ชามให้นางได้นะ” มู่ซืออวี่ลูบผมของลูกสาว

ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ท่าทางมีความสุข

มู่เจิ้งหานพูดขึ้นเสียงเบา “พี่เขย”

ลู่อี้กล่าวอย่างใจดีว่า “กินข้าวกันเถอะ เมื่อวานนี้เจ้าถูกเตะหลายครั้ง ข้าจะให้พี่เซวียนสั่งยาให้เจ้าด้วย”

“เจ้าบาดเจ็บอยู่ ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย” มู่ซืออวี่มองไปที่มู่เจิ้งหาน “เด็กโง่ เหตุใดเจ้าไม่บอกข้า”

“ข้าไม่เป็นไร” มู่เจิ้งหานก้มหน้าลง “ตราบใดที่ท่านแม่ไม่เป็นอะไร”

“ต่อไปก็อยู่ที่นี่ด้วยความสบายใจเถอะนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ลู่อี้พูดเบา ๆ “เจ้าแก่กว่าฉาวอวี่สองปี ดังนั้นฝากเจ้าดูแลเขาด้วย”

ลู่ฉาวอวี่มีท่าทางขนลุกขนพอง

เขาจะต้องการให้ใครมาดูแลกัน ด้วยขนาดตัวที่เล็กกว่าแบบนั้น ใครกันแน่ที่จะเป็นคนดูแล

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะขัดอะไรท่านพ่อ ปล่อยให้พวกเขาตกลงกันเอาเองไปอย่างนั้น

หลังอาหารเช้า มู่เจิ้งหานก็อาสารับหน้าที่ล้างจาน

ลู่อี้ไม่เห็นด้วย แต่มู่ซืออวี่เข้ามาจับไหล่ของเขาแล้วส่ายหน้าไปมา “หานเอ๋อร์ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ให้เขาช่วยงานบ้านบ้างเถอะ เจ้ายุ่งจนหัวหมุนแล้ว ข้าก็อยากทำเตียงแล้วด้วย”

“เตียง?” ลู่เซวียนมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ “ใช้ไม้ที่ลานบ้านทำอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” หญิงสาวรับคำ “ข้าจะทำเตียงใหญ่ ๆ สองสามหลัง ทุกคนจะได้ไม่ต้องนอนเบียดกันเหมือนเมื่อคืน”

“ล้อเล่นหรือไง หมู่บ้านเรามีช่างไม้อยู่คนเดียว เขาทำงานมาเป็นสิบปีกว่าจะได้เป็นนายช่าง เจ้ากำลังพูดบ้าบออะไรเนี่ย”

“ข้า… ข้าเคยได้อ่านหนังสืองานช่าง การออกแบบในเล่มนั้นช่างแยบยล ข้าจดจำมันไว้ขึ้นใจมาตลอด คิดว่าจะลองทำเสียตอนนี้เลย” มู่ซืออวี่ตอบ ท่าทางดูมีพิรุธมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ท่านพี่ ท่านเชื่อนางงั้นหรือ?” ลู่เซวียนขมวดคิ้ว “นางไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว แล้วท่านก็ไม่คิดจะห้ามความคิดไร้สาระของนางอีกงั้นรึ”

“มันก็แค่ไม้เท่านั้น ปกติเราเอาไปทำฟืนได้อย่างเดียว ปล่อยนางทำอะไรที่อยากทำเถอะ ถ้ามัวแต่ระแวง คงไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่าง”

ลู่เซวียนเอ่ยประชดประชัน “ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าบ้ามาก ยังโชคดีที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นแม่ที่ดีขึ้นมาได้จึงเบาใจลง แล้วตอนนี้กลับมาเป็นบ้าอีกแล้ว อะไรกันเนี่ย ข้าไม่อยากจะสนใจแล้ว ช่างมันเถอะ”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท