สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 92 น้องสามี อยากรวยหรือไม่

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 92 น้องสามี อยากรวยหรือไม่?

บทที่ 92 น้องสามี อยากรวยหรือไม่?

อันอี้หางรู้สึกได้ว่ามีคนจ้องเขาอยู่

อันที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติเพราะความเคยชิน ทว่าการจ้องมองนี้แตกต่างจากที่เคยรู้สึก ดูไม่เหมือนกับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความชื่นชม แต่เป็นการจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ครั้นเขาหันไปมองก็พบมู่ซืออวี่ที่กำลังยืนรอปิ่งอยู่ด้านข้าง

นางอีกแล้ว!

เขาจำได้ดีว่าหญิงผู้นี้เป็นหญิงที่เขาเคยช่วยเหลือ คลับคล้ายคลับคลาว่าได้พบนางที่ร้านหนังสือเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว และดูเหมือนว่านางกำลังถือหนังสือที่เขาเขียนไว้ในมือ

โอ้ แท้จริงแล้วนางเป็น ‘ผู้อุปถัมภ์’

ส่วนใหญ่แล้วผู้คนที่ซื้อหนังสือของเขาล้วนเป็น ‘ผู้อุปถัมภ์’ ยิ่งมีคนซื้อหนังสือของเขามากเท่าไหร่ ผลงานของเขาก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น

เมื่อนึกได้เช่นนั้น อันอี้หางก็พยักหน้าให้นางอย่างเป็นมิตร

ไม่นานนัก เขาก็ได้รับปิ่งที่สั่งไว้

“ปิ่งสิบชิ้น” เด็กสาวผู้ขายปิ่งจ้องมองเขาด้วยความเขินอาย ขณะที่แม่ของนางเผลอ เด็กสาวผู้นั้นก็ยัดปิ่งเมล็ดงาอีกสองชิ้นใส่ลงไปในถุง

อันอี้หางขมวดคิ้ว เขานำปิ่งทั้งสองชิ้นออกมาอย่างใจเย็น ก่อนจะจากไปโดยไม่เอ่ยอะไร

“อย่าคิดหาผลประโยชน์เข้าตนเอง” หญิงร่างท้วมหยิกเอวเด็กสาว “คิดจะสุขสบายจากการไต่เต้าจากบันฑิตที่มีความรู้เช่นเขาหรือ? ไม่เห็นหรือว่าเขาไม่แม้แต่จะชายตามองเจ้า? ยังจะพยายามอีก”

“ท่านแม่ ข้าไม่ได้…” เด็กสาวรู้สึกเจ็บจึงหลบไปด้านข้าง

“แม่ของเจ้าไม่ได้ตาบอด! ข้าเพียงเงียบไว้เพื่อรักษาหน้าของเจ้าต่างหาก” หญิงร่างท้วมต่อว่าลูกสาวขณะวางปิ่งในมือลง “แต่งงานกับวัวควายเสียยังจะง่ายกว่า อย่าคิดเรื่องพรรค์นี้อีก”

เด็กสาวหลับตาลงพร้อมน้ำตา

มู่ซืออวี่เห็นแล้วก็ถอนหายใจ

เกิดเป็นสตรีไม่อาจเลือกได้เลยหรือ?

แม้แต่นักศึกษาเช่นนางก็รู้เพียงวิธีการเรียนอย่างเดียวเท่านั้น ลึก ๆ แล้วในความทรงจำ นางนึกถึงภาพที่ตนกำลังจ้องมองเด็กชายในชุดสีขาวจากระยะไกล ไม่มีผู้ใดเล่นกับเขาเลย

“ปิ่งห้าชิ้นรวมเป็นเงิน 5 อีแปะ” เด็กสาวกล่าว

“รับไปเสีย” มู่ซืออวี่ยื่นเงินให้เด็กสาว “อย่าร้องไห้เลย การได้รักใครสักคนไม่ควรเจ็บปวด แต่ควรที่จะมีความสุข การแอบรักใครสักคนจำเป็นต้องได้รับความรักตอบหรือ? มันเป็นเรื่องของเจ้าฝ่ายเดียวที่จะรักผู้ใดก็ได้ไม่ใช่หรือ?”

เด็กสาวเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ ดวงตาเปียกชุ่มของนางเบิกกว้าง นางไม่เคยคาดคิดว่าจะมีผู้ใดปลอบโยนนางเช่นนี้

ทุกคนต่างเกลี้ยกล่อมให้นางเลิกแอบรักชายผู้นี้ แต่ไม่มีผู้ใดเคยพูดว่า ‘การแอบรักใครสักคนไม่จำเป็นต้องได้รับความรักตอบ เพราะนั่นเป็นเรื่องของเราที่จะเลือกรักใคร’

ใช่! นางแอบรักเขา แต่นางรู้สถานะความแตกต่างระหว่างนางและอีกฝ่ายดี จึงไม่เคยคาดหวังอะไร นางเพียงแอบชอบชายหนุ่มที่เพียบพร้อมและสูงศักดิ์ เหตุใดผู้คนมากมายจึงเอาแต่ต่อว่าราวกับว่านางพยายามก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้าย?

“ขอบคุณท่านมาก”

หญิงร่างท้วมที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร

เห็นได้ชัดว่าแม้หญิงร่างท้วมผู้นี้จะดุร้าย แต่นางยังคงเป็นห่วงลูกสาวเสมอ

สาวน้อยผู้นี้โชคดีแล้ว

มู่ซืออวี่แบกกระเป๋าไว้บนหลัง เตรียมจะเดินทางออกจากเมือง

การเดินทางเข้าสู่เมืองในครั้งนี้ทำให้นางได้พบโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งถือได้ว่าคุ้มค่ามาก ทว่าเงินที่มีกลับร่อยหรอลง สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นแผนการในปัจจุบันของนางคือการหาเงินให้ได้มากที่สุด

เมื่อเดินไปไม่นานก็พบขอทานผู้หนึ่งนั่งอยู่มุมถนน

ขอท่านผู้นี้มีท่าทีแปลกประหลาด ผมยาวปกคลุมทั่วใบหน้า เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะ ข้อเท้าและข้อมือเปิดโล่ง ไม่มีรองเท้าใส่ แต่กลับดูแข็งแรง มีพละกำลัง

เหตุใดถึงเลือกที่จะเป็นขอทาน?

มู่ซืออวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางปิ่งที่เพิ่งซื้อมาลงในชามขอทาน จากนั้นก็กล่าวว่า “กินปิ่งงานี้ให้อิ่มหนำแล้วไปหางานทำเสีย เจ้าดูแข็งแรง หากยังคงนั่งขอทานอยู่เช่นนี้ก็เท่ากับรอคอยความตาย ความสุขในการใช้ชีวิตของเจ้าคืออะไรกัน?”

นางกล่าวจบก็หันหลังแล้วเดินออกจากเมืองหลวงไปโดยไม่สนใจว่าขอทานผู้นั้นจะฟังหรือไม่

ขอทานผู้นั้นปัดผมที่ปกคลุมใบหน้าออก พลางจ้องมองไปยังปิ่งงาในชาม

“อะไรคือความสุข?” เสียงเข้มกังวานดุจเสียงฆ้องดังขึ้น “ความสุขในการใช้ชีวิตของเจ้าคืออะไรงั้นรึ?”

ขณะที่กำลังจะหลับตาลง เขาพลันมองเห็นชายหนุ่มสองคนที่มีท่าทีแปลกประหลาดเดินตามหญิงผู้นั้นไป

“เอาล่ะ” เขายืนขึ้น “ช่วยก็ได้”

จากนั้นไม่นาน ชายปริศนาทั้งสองคนก็มีใบหน้าบวมเป่ง จมูกฟกช้ำน่ากลัว

ชายขอทานกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ข้ารับเงินของผู้อื่นมา จะช่วยเหลือผู้มีพระคุณให้พ้นจากภัยอันตรายก็ไม่แปลก กลับไปบอกเจ้านายของพวกเจ้าว่า หากรบกวนหญิงผู้นี้อีก ข้าจะสังหารอินทรีดำทั้งหมด”

“เราจะยอมจ่ายให้เจ้าสองเท่าที่ผู้หญิงคนนั้นจ่าย เลิกยืนหยัดเพื่อนางซะ” ชายที่ถูกทำร้ายจนล้มลงนอนอยู่กับพื้นกล่าวด้วยความเจ็บปวด

“ข้า… หากยอมรับข้อตกลงของผู้ใดแล้ว ข้าก็จะไม่มีวันคืนคำพูด เข้าใจหรือไม่?”

มู่ซืออวี่ไม่อาจล่วงรู้ว่านางรอดพ้นอันตรายมาด้วยปิ่งงาเพียงชิ้นเดียว หากรู้เช่นนั้น นางจะต้องมอบปิ่งที่เหลือทั้งหมดให้กับขอทานผู้ใจดีคนนี้แน่

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านตระกูลลู่ ชาวบ้านที่ผ่านไปมาต่างก็ทักทายนาง บางคนบอกกับนางว่า ‘พ่อของเจ้าป่วยหนัก กินยาไปก็ไม่มีประโยชน์’ นางจึงขมวดคิ้วพลางตอบกลับอย่างเฉยเมยว่า ‘ปล่อยให้แม่ของเขาเป็นผู้ดูแลเขาไปเถอะ’

“น้องสามี” มู่ซืออวี่เรียกลู่เซวียนจากด้านหลังประตู

ลู่เซวียน “…”

ขนลุกพึ่บพั่บขึ้นมาเลยทีเดียว

ปกติแล้วพวกเขาไม่ชอบหน้ากัน ทว่าวันนี้นางกลับเรียกหาเขาอย่างกระตือรือร้น ต้องมีเรื่องไม่ดีแน่

“เจ้าเองก็อยู่บ้าน เหตุใดจึงไม่ตอบรับเสียงเรียกของข้า?” มู่ซืออวี่วางกระจาดในมือลงพร้อมหยิบของออกมา

“แล้วเจ้าไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่บ้านหรือ? ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ คิดว่าข้าจะออกไปไหนได้?” ลู่เซวียนฮึดฮัด

“เหตุใดเจ้าจึงจะออกไปไม่ได้? ถึงหมอจะไม่ให้ใช้ร่างกายหนัก แต่ลุกขึ้นเดินไปโน่นไปนี่ก็ไม่อันตรายหรอก” มู่ซืออวี่โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยถามว่า “อยากรวยหรือไม่?”

ลู่เซวียนจ้องมองนางด้วยความหวาดระแวง “ข้าจะไม่ฆาตกรรมหรือลอบวางเพลิงผู้ใดทั้งสิ้น”

“เจ้าเคยทำหรืออย่างไร?” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความเบื่อหน่าย “ข้ามาเพื่อจะพูดคุยกับเจ้าอย่างจริงจัง อย่าเพิ่งเอ่ยวาจาไร้สาระ”

“แล้วจะรวยได้อย่างไร?” ลู่เซวียนคิดว่าเรื่องที่นางกล่าวเป็นเพียงเรื่องขบขัน

“วันนี้ข้าไปที่ร้านหนังสือ จะซื้อหนังสือสองเล่มให้เจ้ากับฉาวอวี่ แต่ราคาแพงเกินไป หนังสือสองเล่มตั้งหลายตำลึงเงิน”

ลู่เซวียนฟังอย่างเงียบงัน ความประหลาดใจฉายชัดในแววตา

นางจะซื้อหนังสือให้เขางั้นรึ พี่สะใภ้ผู้นี้ช่างแปลกประหลาดไปทุกวัน

“ข้าบังเอิญพบกับบันฑิตผู้รอบรู้คนหนึ่งมาขายงานเขียนของเขา งานเขียนถูกขายให้กับร้านค้าเล่มละหนึ่งตำลึงเงิน! เถ้าแก่ร้านขายหนังสือบอกว่า เขาขายหนังสือของชายผู้นั้นในราคา 2 ตำลึงต่อหนึ่งเล่ม ทั้งบันฑิตและเถ้าแก่ล้วนได้รับกำไรงาม กิจการนี้ดูได้เงินดี ข้าเพียงคิดว่า ผู้รู้หนังสือทั้งสามคนในครอบครัวของเราก็อาจทำเช่นนี้ได้”

“ไร้สาระ คิดว่าการเขียนหนังสือเป็นเรื่องง่ายหรือ? แม้จะมีบันฑิตมากมาย แต่มีกี่คนกันที่จะเขียนหนังสือได้? ไม่เช่นนั้นบันฑิตมากมายจะอดตายหรือ?” ลู่เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ข้าเขียนไม่เป็น ถึงแม้ข้าจะเขียนหนังสือได้ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเขียนให้สละสลวยเช่นนั้น หากเจ้าเขียนได้ก็นำไปขาย แบ่งเงินกันคนละ 50 อีแปะ ตกลงหรือไม่?”

“เจ้าเขียนไม่ได้จริงหรือ?”

“จริงสิ! ข้าใช้เงินทั้งหมดที่เรามีซื้อปากกาขนนก หมึก กระดาษ และหินฝนหมึกมาแล้ว เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น”

ลู่เซวียนจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? หากขายไม่ออกเล่า? นั่นก็ไม่เท่ากับสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ?”

“เหตุใดจะขายไม่ออกเล่า? ต่อให้ขายไม่ออกจริง ๆ ข้าก็ยังมีกิจการอื่น ข้าเพียงกลัวว่าเจ้าจะเบื่อที่ต้องอยู่บ้านทั้งวัน แค่อยากหาอะไรให้เจ้าทำ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เจ้าทำยังสร้างรายได้ให้ครอบครัวด้วย”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท