สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 93 แก้วตาดวงใจอะไร เอ่ยปากออกมาได้

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 93 แก้วตาดวงใจอะไร เอ่ยปากออกมาได้

บทที่ 93 แก้วตาดวงใจอะไร เอ่ยปากออกมาได้

หลังจากที่ลู่อี้ก้าวเข้ามา เขาก็พบว่าบรรยากาศผิดแผกออกไป

เขามองมู่ซืออวี่ที่นั่งทำหน้าบึ้งตึง แล้วมองลู่เซวียนที่มีสีหน้าเยือกเย็น สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋น

“นางใช้เงินที่ท่านพ่อให้หมดแล้ว เอาไปซื้อจตุรสมบัติห้องหนังสือ*[1] มาชุดใหญ่”

“ท่านอาไม่พอใจ คิดว่าท่านแม่ใช้เงินสิ้นเปลืองโดยไม่ได้กลั่นกรอง”

“นางคิดว่าท่านอาเป็นสุนัขกัดหลี่ว์ตงปินไม่รับรู้เจตนาดี*[2] มองไม่เห็นความปรารถนาดี”

พี่ชายน้องสาวเจ้าพูดหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ ผลัดกันบอกเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวให้พ่อของตนฟัง

“เงินมอบให้นางแล้ว เช่นนั้นก็ต้องให้นางแบ่งสันปันส่วน จ่ายไปแล้วก็คือจ่ายไปแล้ว” ลู่อี้เอ่ยขึ้น “ลู่เซวียน พี่สะใภ้ของเจ้าเป็นนายหญิงของครอบครัว เรื่องราวภายในบ้านก็ปล่อยให้นางจัดการเถอะ”

“ท่านพี่!” ลู่เซวียนลุกขึ้นยืน “วันนี้นางใช้เงินไป 4 ตำลึงในคราเดียว”

“นางทำงานหนักเพื่อครอบครัวเพียงนี้ ใช้เงินสักหน่อยจะเป็นไรไป? ข้าพูดแล้วว่าเงินของบ้านนี้ให้นางจัดสรร เจ้าก็ฟังคำพี่สะใภ้เจ้าซะเถอะ” ลู่อี้เอ่ยต่อไปว่า “หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ก็ยังมีข้า”

“ท่านทำให้นางเคยตัว!” ลู่เซวียนกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องนอนของตนไป

มู่ซืออวี่เบ้ปาก “เขาไม่ยินดีก็ช่างปะไร ลู่ฉาวอวี่ ลายมือของเจ้าเป็นเช่นไร?”

ลู่ฉาวอวี่ปรายตามองนาง “พอใช้”

“เช่นนั้นก็ให้เจ้าเขียน” มู่ซืออวี่กอดอก “เขาไม่เชื่อข้า สักวันจะต้องเสียดาย เจ้าเด็กนั่นสายตาคับแคบ อ่านหนังสือก็ไม่เก่ง ยังจะไม่รู้จักโอนอ่อนผ่อนตามอีก เจ้าอย่าเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างล่ะ”

ลู่อี้สงสัยยิ่งกว่าเดิมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เขาคิดจะพูดบางอย่าง แต่มู่ซืออวี่ไม่เปิดโอกาสให้พูด เขาจึงดึงลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปในห้องนอน

ตั้งแต่ถงซื่อและมู่เจิ้งหานย้ายออกไป ลู่เซวียนก็อยู่อีกห้องหนึ่งเพียงคนเดียว ส่วนลู่อี้และลู่ฉาวอวี่อยู่ด้วยกันอีกห้องหนึ่ง

ลู่อี้ไปอาบน้ำเย็นก่อน จากนั้นจึงกลับมาที่ห้องแล้วถามลู่ฉาวอวี่เรื่องรายละเอียดของเหตุการณ์ ฝ่ายหลังสาธยายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างชัดเจน

“อาย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา ต่อให้เป็นบัณฑิต จะมีสักกี่คนที่เขียนได้จริง ๆ?”

“แม่ของเจ้าไม่เคยทำการค้าขาดทุน ความสามารถของนางในระยะนี้ไม่อาจทำให้พวกเจ้าวางใจได้หรือ?”

“ท่านพ่อเชื่อคำพูดของนางงั้นหรือ?”

“เจ้าเป็นลูกชายของนาง หากไม่มีใครเข้าข้างนาง เจ้าควรเป็นคนแรกที่ยืนอยู่ข้างนาง คอยสนับสนุนนาง ไม่มีแม่ลูกคนใดบาดหมางกันในชั่วข้ามคืนหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางกำลังพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อชดเชยให้พวกเจ้า เข้าใจหรือไม่?”

ลู่ฉาวอวี่นอนลงบนเตียงและไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ

วันถัดมา ทันทีที่ลู่อี้ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนชายหนุ่มคนนั้นที่มาจากภัตตาคารเจียงซื่อจะมารับสินค้าแล้ว

“กุ้งแม่น้ำราดน้ำจิ้มเผ็ดที่เจ้าคิดขึ้นมาใหม่เป็นที่นิยมมาก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถึงภัตตาคารหมายเลขหนึ่งจะออกรายการอาหารที่คล้าย ๆ กันออกมา แต่ลูกค้าก็ไม่ซื้อ ยังคงกินสูตรที่ท่านทำ”

“เถ้าแก่บอกหรือไม่ว่าให้ทำกุ้งแม่น้ำราดน้ำจิ้มเผ็ดมากหน่อย อย่างอื่นให้ทำน้อย ๆ”

“ไม่ ไม่ ไม่ ตอนนี้ลูกค้ากลับมาแล้ว ของอย่างอื่นก็ขายดีไม่น้อย เถ้าแก่บอกว่าทำตามแผนเดิมดีกว่า”

“ได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าให้พวกท่านหมดเลยก็แล้วกัน! ท่านดูตาชั่ง ทั้งหมด 620 อีแปะ ข้าจะปัดเศษให้ เอาให้ข้า 600 อีแปะก็พอ อีก 20 อีแปะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางนะ”

“ไม่ต้อง ๆ เถ้าแก่ให้เงินข้ามาแล้ว”

“ที่เถ้าแก่ให้ก็ส่วนที่เถ้าแก่ให้ ข้าให้ก็ส่วนข้าให้ วางใจเถอะ ข้าจะไม่บอกเถ้าแก่ ปริมาณอาหารก็มากขึ้นไม่น้อย หากเถ้าแก่เห็น เขาคงเอ่ยชมท่านด้วย”

“ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าพี่สาวก็แล้วกัน! ถือว่าท่านเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของข้าแล้วนะ”

“อะแฮ่ม” ลู่อี้ยืนอยู่ที่ประตู “นี่เจ้าจะเอาเปรียบหรือ ครู่เดียวก็มีพี่สาวแท้ ๆ มาเพิ่มอีกคนเสียแล้ว”

เฟิงเจิงมองลู่อี้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “มาแล้วหรือ วันนี้ก็นั่งรถม้าพวกเราเข้าไปในเมืองเถอะ!”

“เจ้าเด็กขี้เหนียว” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของลู่อี้ “ดูไปได้ดีที่ภัตตาคารเจียงซื่อนี่”

“เถ้าแก่ใจดีกับพวกเรามาก มีความสุขยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก บางครั้งอาหารในร้านไม่หมด เขาก็ให้พวกเราเอากลับไปให้คนในครอบครัว”

มู่ซืออวี่เอาห่อผ้าห่อใหญ่ออกมาจากด้านใน “นี่เป็นมื้อกลางวันของท่าน หากถึงศาลาว่าการแล้วก็เข้าไปในครัว บอกว่านี่เป็นอาหารกลางวันพิเศษสำหรับทุกคนนะ”

“ส่งไปให้ทุกวันเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้พวกเขาเคยตัวหรือไร จิตใจของคนมักโลภมาก ไม่เคยรู้จักบันยะบันยังหรอก” ลู่อี้ไม่เห็นด้วย

“คิดออกแล้ว เจ้าแค่บอกว่าของพวกนี้เป็นรายการอาหารใหม่ของภัตตาคารเจียงซื่อที่กำลังจะขาย ให้พวกเขาลองชิมดูก่อน อีกไม่กี่วันภัตตาคารเจียงซื่อจะขายอาหารพวกนี้แล้ว”

นี่ไม่เพียงเป็นการบอกต่ออาหารของภัตตาคารเจียงซื่อเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่าของพวกนี้ใช่ว่าจะมีทุกวัน ให้พวกเขารับความปรารถนาดีของลู่อี้ไว้ ภายหลังหากอยากกินอีก ก็ทำได้เพียงไปกินที่ภัตตาคารเจียงซื่อแล้ว

“พี่สาวช่างเยี่ยมยอดจริง ๆ” เฟิงเจิงพูดขึ้น “รอให้ข้าบอกให้เถ้าแก่ฟังก่อนเถอะ เถ้าแก่ต้องซาบซึ้งน้ำใจของพี่สาวเป็นแน่”

“ดูสิ พูดกับคนฉลาดก็ง่ายเช่นนี้เอง” มู่ซืออวี่เอ่ย “พวกเจ้ารีบไปเถอะ! ขนมเปี๊ยะพวกนี้เอาไว้กินระหว่างทาง ข้าทอดเอง”

ลู่อี้รับเอาห่อกระดาษน้ำมันที่นางยื่นให้ พลางจ้องมองนางราวกับต้องการจะเอ่ยบางสิ่ง

“เจ้าจะพูดอะไร?” มู่ซืออวี่ถามขึ้น

“ข้าเขียนได้” ลู่อี้กระแอมในลำคอหนึ่งครั้ง “คืนนี้… คืนนี้กลับมาจะเขียนให้เจ้า”

เดิมทีมู่ซืออวี่ไม่เข้าใจว่าเขียนอะไร แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่าเขาเอ่ยถึงเรื่องเขียนนิยาย

“เจ้าทำงานตรากตำทุกวันเช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าช่วยข้าอย่างไม่เกรงใจได้อย่างไร?”

“ข้าไม่ได้ลำบาก”

ชีวิต

ในตอนนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่กล้านึกถึงมาก่อน จึงไม่รู้สึกลำบากแม้แต่น้อย

“กลับมาคืนนี้ค่อยว่ากันเถอะ ข้าจะคุยกับฉาวอวี่ เจ้าเด็กเห็นแก่เงินนั่นจะต้องฟังข้าแน่ ๆ”

ถึงแม้เรื่องที่ลู่ฉาวอวี่ตัดฟืนขายให้หมู่บ้านข้าง ๆ จะเป็นความลับ แต่นางฉลาดขนาดนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร? บ่อยครั้งยังเห็นรอยขีดข่วนมากมายบนมือของเขา หลังจากที่แอบตามเขาไปเงียบ ๆ ทั้งเช้าจึงได้รู้เหตุผล

นางเพียงแค่ไม่อยากเปิดเผยความลับของเขาเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั่นอีกก็เท่านั้น

เมื่อเทียบกับการตัดฟืนที่ขายได้แค่หนึ่งถึงสองอีแปะในตอนเช้า กิจการที่กำไรมหาศาลเช่นนี้คงจะไม่อาจหลอกล่อใจเด็กน้อยเห็นแก่เงินนั่นได้เชียวหรือ?

หลังจากที่ลู่อี้ไปแล้ว มู่ซืออวี่จัดการงานบ้านเสร็จสิ้น เพียงไม่นานฟ้าก็สว่าง

ในยุคโบราณไม่มีกิจกรรมความบันเทิงใด ๆ ฟ้ามืดก็เข้านอน ทุกวันได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ จึงทำงานได้อย่างกระตือรือร้น

“เอาเสื้อสกปรกของเจ้ามาให้ข้า” มู่ซืออวี่เคาะประตูห้องของลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่ขยี้ตาอย่างงัวเงีย ก่อนจะยื่นเสื้อผ้าสกปรกของเขาและผู้เป็นพ่อออกมา

มู่ซืออวี่ไม่เคยเห็นลู่ฉาวอวี่สงบนิ่งน่าเอ็นดูเช่นนี้มาก่อน พอเห็นว่าเจ้าเด็กคนนี้น่ารักขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งก็บีบแก้มของเขาแล้วเอ่ยชม “น่ารักมาก”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

เกิดอะไรขึ้น?

เขายืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“เจ้าไปเอาเสื้อผ้าสกปรกของท่านอาเจ้ามาด้วย ข้าจะซักพร้อมกัน” มู่ซืออวี่หันหน้ามาพูดกับลู่ฉาวอวี่ที่เช้านี้น่ารักน่าเอ็นดู “หากข้าเข้าห้อง เขาจะดูไม่ดี”

ลู่ฉาวอวี่ก้มหัวลง ปิดบังแก้มแดงเรื่อเอาไว้พลางเคาะประตูห้องของลู่เซวียน “ท่านอา ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”

ไม่นานเท่าใดนัก เขาก็กลับออกมาพร้อมเสื้อผ้าสกปรกของลู่เซวียน

มู่ซืออวี่ซักเพียงเสื้อผ้าชั้นนอกของลู่เซวียน ส่วนเสื้อผ้าชั้นในนั้นอีกฝ่ายซักด้วยตนเอง

“ท่าน… จะเริ่มเขียนเมื่อไหร่หรือ?” ลู่ฉาวอวี่เดินตามนางมา

มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ “ยังคงเป็นลูกชายข้าที่เป็นเด็กดี รอข้าซักผ้าเสร็จแล้วกลับไปค่อยเริ่ม ลูกชายแก้วตาดวงใจของข้า เจ้าควรนอนต่ออีกสักหน่อย จะได้กระปรี้กระเปร่า”

ลู่ฉาวอวี่ “…”

อะไรนะ?

แก้วตาดวงใจอะไร

หญิงผู้นี้ช่างไม่กระดากอาย คำพูดเช่นนี้ยังเอ่ยปากออกมาได้

[1] จตุรสมบัติห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึก

[2] สุนัขกัดหลี่ว์ตงปินไม่รับรู้เจตนาดี หมายถึง ไม่อาจแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ เข้าใจความปรารถนาดีของผู้อื่นผิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท