บทที่ 244 งานแต่งของเซี่ยคุนกับอันอวี้
ชาวบ้านที่มุงดูส่ายหน้า มองแม่เฒ่าเจียงด้วยสายตาเวทนา จากนั้นต่างแยกย้ายกันไป
ตั้งแต่โบราณมา ประตูของโรงพนันและหอนางโลมก็เป็นสถานที่ที่ฉายด้านมืดเช่นนี้
“มู่ต้าซาน เจ้ามัวแต่ยืนอึ้งอะไรอยู่? รีบตามมา”
คนหลายคนเดินผ่านไปมา ในหมู่คนตรงนั้น หัวหน้าพ่อบ้านรูปร่างอ้วนท้วมกำลังตะโกนเรียกชายวัยกลางคนร่างผอมที่มัวรีรออยู่ด้านหลัง
มู่ต้าซานมองแม่เฒ่าเจียงที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังอยู่บนพื้นด้วยอารมณ์ซับซ้อน ท้ายที่สุดจึงเดินตามคนอื่นไปพร้อมกับกล่องที่อยู่บนบ่า
ยามเย็น ท้องฟ้าเริ่มหม่นแสง แสงสุดท้ายของวันถูกจักรพรรดิสวรรค์พรากจากไป ทิ้งโลกทั้งโลกให้ตกสู่อนธการ
โฮ่ง โฮ่ง!
สุนัขในหมู่บ้านส่งเสียงเห่าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
“ใครน่ะ? ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ยังจะเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกอีก” เจ้าของสุนัขพึมพำอยู่ข้างใน แต่กลับไม่มีความตั้งใจที่จะออกมาตรวจดู
สุนัขเห่าเสียงดังเช่นนี้ ถึงแม้จะมีจริง พวกมันย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้ามาปล้นในบ้านของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ในหมู่บ้านจะมีกิจการหมู่บ้านขึ้นมาหนึ่งแห่ง ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตง่ายกว่าหลายปีที่ผ่านมา ทว่าไม่ใช่เหตุที่จะดึงดูดพวกขโมย ขโมยที่ไหนบ้างไม่ปล้นคนมั่งมี แต่มาขโมยคนจนเช่นพวกเขา?
ตึง!
ในที่สุดแม่เฒ่าเจียงก็ลากร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของตนกลับมาถึงบ้าน
นางผลักประตูแต่กลับเปิดไม่ออก จึงเอาแต่ทุบประตูบ้านอยู่อย่างนั้น “เปิดประตู”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงกลับมาดึกดื่นเช่นนี้?” ถังซื่อเดินออกมาอย่างเชื่องช้า เอ่ยตำหนิไปว่า “ไปเล่นอยู่ที่ใดนานเพียงนี้ ให้พวกเรารอเสียนาน”
แม่เฒ่าเจียงมองถังซื่ออย่างเยือกเย็น
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว สายตาของแม่เฒ่าเจียงจ้องถังซื่อเขม็งอยู่อย่างนั้น อีกฝ่ายพลันรับรู้ได้ถึงอันตราย จึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ “ท่านแม่ ข้าแค่เป็นห่วงท่าน”
“เป็นห่วงข้า?” แม่เฒ่าเจียงเย้ยหยัน “หากเจ้ามีเวลามาห่วงข้า เหตุใดไม่ไปเป็นห่วงลูกชายของเจ้าโน่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกชายของเจ้าถูกขับไล่ออกจากสำนักบัณฑิตแล้ว?”
“อะไรนะ?” ถังซื่อตกตะลึง “เหตุใดจึงถูกขับไล่ออกมาได้?”
“เจ้าถามข้า ข้าจะไปถามใคร?” แม่เฒ่าเจียงยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธหนักกว่าเดิม นางคว้าไม้กวาดที่วางอยู่ข้าง ๆ ปัดป่ายไปทางถังซื่อ “ข้าจะตีเจ้าให้ตาย เจ้าตัวซวย! เจ้าเอาหลานชายที่ว่านอนสอนง่ายคืนข้ามา!”
มู่ต้าไห่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงออกมา “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าออกมาพอดี ข้าอยากให้เจ้าส่งนังคนนี้ไปตายเสีย!” แม่เฒ่าเจียงชี้หน้าด่าทอถังซื่อ “เอาแต่เกียจคร้านตัวเป็นขนทั้งวัน ไม่รู้จักถามไถ่ว่าลูกชายตนเป็นอย่างไรบ้าง หากข้าไม่เจอเขาในเมืองวันนี้ คงไม่รู้ว่าเขาถูกขับไล่ออกจากสำนักบัณฑิตแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาไปขลุกอยู่ที่หอนางโลมทุกวัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาไปคลุกคลีกับหญิงนางโลมเหล่านั้น?”
“อี้เอ๋อร์ไม่มีทางทำเช่นนั้น เขาเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเด็ก ท่านอาจารย์ยังเอ่ยชมว่าเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี” ถังซื่อไม่อาจยอมรับข่าวนี้ได้
นางยังเฝ้ารอคอยให้ลูกชายของตนสอบขุนนางได้ลาภยศสรรเสริญ ภายหน้านางอาจได้เป็นเก้ามิ่งฮูหยิน*[1] เชียวนะ!
มู่ตงหยวนถูกเสียงดังปลุกขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งข้างนอก สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
มู่เจิ้งอี้นับว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ดีได้อย่างไรกัน?
ความสัมพันธ์ของครอบครัวลู่ราบรื่นขึ้นเรื่อย ๆ แม่เฒ่าเจียงมีปัญหาอันใดย่อมไม่เกี่ยวกับพวกเขา แต่เรื่องของพวกเขาไม่ใช่ความลับ อย่างไรเสียหมู่บ้านใหญ่โตเช่นนี้ ย่อมมีคนที่ทำตัวเป็นตัวกระจายข่าวหลายคน ขอแค่เพียงมีคลื่นลมเล็กน้อยย่อมสุมไฟให้โหมกระพือไปไกลได้
งานแต่งของเซี่ยคุนและอันอวี้ใกล้เข้ามาแล้ว
เป็นงานแต่งที่ใหญ่โตอู้ฟู่ที่สุดเท่าที่หมู่บ้านเคยมีมา
เกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหาม กวานหงส์ สายสะพาย อีกทั้งยังมีของกำนัลไม่น้อย สินสอดมากมายกองอยู่เต็มลานบ้าน
อวี้ซื่อเชิดหน้า พยักหน้ารับชาวบ้านที่มาแสดงความยินดีกับนาง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
สตรีที่ชอบนินทาเป็นชีวิตจิตใจในหมู่บ้านนี้มักจะเอ่ยถึงลูกสาวตาบอดของครอบครัวนาง ลูกสาวตาบอดแล้วอย่างไร ได้แต่งงานดีกว่าลูกสาวสมประกอบของพวกเขาเสียอีก
เซี่ยคุนแต่งงาน ครอบครัวลู่เป็นเจ้างานที่แท้จริง ชาวบ้านย่อมต้องให้เกียรติพวกเขา
ผู้ใหญ่บ้านเห็นเจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการมามากมาย แค่เพียงแขกจากศาลาว่าการก็มีถึงสิบโต๊ะแล้ว จึงเข้าไปต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
“พี่สะใภ้อวี้ ท่านมีวาสนายิ่งนัก!”
“ลูกชายเป็นซิ่วไฉ ลูกสาวได้งานแต่งที่ดีเช่นนี้ โชคดีอะไรเช่นนี้!
อวี้ซื่อตอบเรียบ ๆ “พอใช้ได้”
หญิงสาวในหมู่บ้านหลายคนมองหน้ากันไปด้วย สายตาล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉา
อย่างนี้เรียกพอใช้ได้งั้นหรือ? ถึงแม้จะไม่ใช่ก้อนทองอันใด ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีเช่นนี้นับว่าเป็นโชคอันใหญ่หลวงแล้ว
“ข้าได้ยินว่าพ่อครัวใหญ่จากภัตตาคารเปิดใหม่ในเมืองได้รับเชิญมาทำอาหารงานเลี้ยงงานแต่งโดยเฉพาะ” ใครบางคนเอ่ยขึ้น “หนึ่งโต๊ะก็ 10 ตำลึงเงินแล้ว”
“จริงหรือ? เช่นนั้นพวกเราทานให้มากหน่อย”
เหยาซื่อช่วยมู่ซืออวี่เป็นพัลวัน ยุ่งจนแทบไม่ได้หยุดพัก นางจึงดึงตัวมู่ซืออวี่ออกมาข้าง ๆ
“ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้า”
“บอกมาเถิด”
“ข้าเห็นว่าเหม่ยฉินของเราน่ะ อายุอานามก็ถึงวัยแต่งงานแล้ว ข้าเห็นลู่อี้ของพวกเจ้าพาชายหนุ่มมากมายมาที่นี่ ชายหนุ่มเหล่านี้หน้าตาไม่เลวเลย เจ้าช่วยถามลู่อี้สักหน่อย มีคนใดที่ยังไม่ได้มีคู่หมั้นคู่หมายหรือไม่?”
มู่ซืออวี่จนปัญญา
ลู่เจินเจินก็คนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังมีลู่เหม่ยฉินโผล่มาอีกคน นี่ล้วนแต่จับตามองผู้คนข้างกายพวกเขาหรือ?
แต่นี่ไม่แปลกอันใด เมื่อเทียบกับหนุ่มชาวนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินในหมู่บ้านแล้ว หากได้แต่งงานกับเจ้าหน้าที่ทางการที่ครอบครัวมีกินแล้ว ชีวิตภายภาคหน้าย่อมดีขึ้นกว่าเดิม
มู่ซืออวี่หันกลับไป เห็นแม่นางน้อยเหล่านั้นที่ยังไม่ถูกทาบทามสู่ขอต่างกำลังจับจ้องชายหนุ่มเหล่านั้น คิดว่าคงไม่ใช่แค่เหยาซื่อเพียงคนเดียวเป็นแน่ที่มีความคิดเช่นนี้
“ข้าจะดูให้” มู่ซืออวี่กล่าว “หากมีข่าวใดข้าจะบอกท่านน้า”
“ดียิ่งนัก” เหยาซื่อดีอกดีใจ “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเต็มใจ ไม่อาจบีบบังคับได้”
“แน่นอน”
นักการเกายังไม่ได้ถาม ตอนนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกคน คำร้องขอเหล่านี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงตอนนั้นค่อยปรึกษาหาหนทางกับลู่อี้
นอกจากเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวแล้ว ผู้ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในวันนี้ก็คืออันอี้หางและลู่เซวียน ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ แม่นางมากมายจ้องมองพวกเขาไม่วางตา นอกจากนี้ยังมีลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหาน แน่นอนว่าสองคนนี้ยังไม่มีใครคิดจะจับ เพียงแค่ถามไถ่ว่าการเรียนของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง แทบยกย่องพวกเขาเป็นซิ่วไฉไปแล้ว
“อวิ๋นเอ๋อร์น้อย เหตุใดเจ้าจึงฉลาดหลักแหลมเช่นนี้?”
“นี่นับเป็นฉลาดหลักแหลมอย่างไร? ขอแค่เป็นคนที่อ่านหนังสือได้ก็ทำได้”
“แต่ท่านแม่ของข้าไม่ให้ข้าเรียนหนังสือ บอกว่าสตรีอย่างเราสิ้นเปลืองเงินเปล่า ๆ ภายหน้าก็แต่งงานไปอยู่ครอบครัวอื่นแล้ว”
“ท่านแม่ข้าบอกว่าข้าเป็นเสื้อนวมตัวน้อย ๆ ของนาง ทำให้หัวใจของนางอบอุ่นที่สุด” ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของลู่จื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่ข้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ย่อมหาเงินได้มากมาย แม่ข้าบอกว่าหากข้าได้เรียนหลายอย่าง ๆ ภายหน้าข้าก็จะเก่งยิ่งกว่านาง เช่นนี้ข้าจึงจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น”
หญิงสาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ มองลูกสาวหน้าตามอมแมมเปื้อนฝุ่นของตน จากนั้นมองอวิ๋นเอ๋อร์ที่ดูดีไม่แพ้คุณหนูจากตระกูลผู้ดี ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์
หลังจากงานเลี้ยงงานแต่ง หลายครอบครัวในหมู่บ้านไม่อาจข่มตาหลับได้ลง
อวี้ซื่อก็นอนไม่หลับเช่นกัน
นางมองสินสอดของกำนัลที่กองอยู่เต็มห้อง ทว่าบนใบหน้ากลับไม่ปรากฏรอยยิ้ม
อันอี้หางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ พวกเราย้ายบ้านเถอะ”
“หา?” อวี้ซื่อมองนางด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดเจ้าจึงอยากย้ายบ้าน?”
เพิ่งย้ายมาที่นี่เพียงสองเดือนไม่ใช่หรือ?
“น้องสาวแต่งงานแล้ว ข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใดอีกแล้ว ข้าอยากกลับไปอาศัยอยู่ที่เมือง บ้านหลังนี้ก็ให้น้องสาวเถอะ ถึงแม้จะทรุดโทรมไปหน่อย แต่ก็พอใช้เป็นห้องเก็บฟืนได้”
“เจ้ากลัวว่าข้าจะไปขอเงินน้องสาวเจ้าใช่หรือไม่?” อวี้ซื่อถามด้วยสีหน้าเย็นชา “รีบพาข้าไปเช่นนี้ เพื่อให้ที่ทางน้องสาวเจ้ากระมัง?”
อันอี้หางไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ผลักประตูแล้วเข้าไปในห้องของตน อวี้ซื่อจึงรู้ว่าเขายอมรับกลาย ๆ แล้ว
นางโกรธมากเสียจนนั่งปาดน้ำตาอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ
หลายปีมานี้นางทำเพื่อใคร? ก็เพื่อเขาไม่ใช่หรือ?
[1] เก้ามิ่งฮูหยิน เป็นยศที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้ภรรยาหรือมารดาของขุนนางระดับสูงในราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง