บทที่ 253 นางมีเมตตาเช่นนี้ เขาต้องรักษาไว้ให้ดี
ถงซื่ออยู่กับหูซื่ออีกสองสามวัน
หูซื่อย้ายบ้านใหม่ ไม่คุ้นชินหลายอย่าง ถงซื่อจึงช่วยสานสัมพันธ์อยู่ในหมู่บ้านเพื่อให้หูซื่อปรับตัวได้ง่ายขึ้น
คนในหมู่บ้านบางคนไม่ได้จัดการได้ง่าย ๆ ต้องบอกนางไว้เช่นกัน
ผู้ใดควรค่าให้คบค้า ผู้ใดควรคบเพียงผิวเผิน ผู้ใดซ่อนมีดในรอยยิ้ม ถงซื่อต้องบอกหูซื่อให้กระจ่างชัด เดี๋ยวคนใสซื่ออย่างนางจะโดนเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย ๆ
“ท่านกลับบ้านท่านแม่หนสุดท้ายเมื่อไหร่?”
สองพี่น้องซักผ้าริมธาร เสวนาถึงเรื่องทั่วไป
“สามปีก่อนเห็นจะได้” หูซื่อครุ่นคิดสักพักก็กล่าวว่า “ข้าในช่วงนี้ไม่อาจปลีกตัว ไม่ได้กลับไปเลย”
นางอยากจะขอยืมเงินมารดาเพื่อหาหมอให้หวงเฉิงเฟิง ทว่ามารดาของนางไม่พอใจนับตั้งแต่ที่กลับมามือเปล่าแล้ว พอได้ยินว่าอยากมายืมเงินก็ไล่ตะเพิดนางทันที กระทั่งอาหารยังไม่ทิ้งไว้ให้
หูซื่อเองก็หน้าบาง แล้วนางจะกล้ากลับไปสร้างปัญหาได้อย่างไร?
“เจ้าอยากกลับไปหรือ?”
“จะบอกว่าข้าเนรคุณก็ได้ แต่ข้าไม่อยากกลับไปหรอก” ถงซื่อก้มหน้าก้มตาซักผ้า
“ข้าจะพูดเช่นนั้นได้อย่างไร? เราก็เหมือนกันนั่นแหละ” หูซื่อกล่าว
คนหนึ่งมีบิดาก็เหมือนไม่มี อีกคนมีมารดาก็เหมือนไม่มี ซ้ำยังเป็นสตรีเหมือนกัน พึ่งพาอาศัยกันและกันมาแต่เด็กจนโต ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือดเสียอีก
ณ เรือนตระกูลลู่ ลู่อี้ถอดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่แล้วเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน มู่ซืออวี่ย้ายมาอยู่ในเมืองแล้ว เขาย่อมกลับมากินข้าวเที่ยงได้
เขามาที่ครัว ก่อนจะพบมู่ซืออวี่ยืนผัดกับข้าวอยู่หน้าเตา ส่วนลู่จื่ออวิ๋นกำลังจุดไฟ
เรือนตระกูลลู่ค่อนข้างใหญ่ งานทำความสะอาดนั้นปกติแล้วเป็นของพ่อบ้านแม่บ้าน ทว่ามู่ซืออวี่ยังชอบทำอาหารให้ครอบครัว นางยืนกรานจะเข้าครัวเอง
ลู่อี้มองใบหน้างดงามตรึงใจของนางด้วยสายตาแสนอ่อนโยน
แม้ตลอดมาเขาจะไม่ว่างมาอยู่กับนาง แต่เขาก็รู้ทุกสิ่งที่นางทำ เรื่องที่นางจัดแจงให้หูซื่อเป็นเจ้าบ้านหญิงก็ผ่านมือเขาเช่นกัน
นางช่างแสนดี แม้แต่หัวใจอันหนาวเหน็บของเขายังอบอุ่นขึ้น
มู่ซืออวี่หันมาเห็นลู่อี้ยืนอยู่ที่ประตู “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เพิ่งกลับมา” ลู่อี้เดินไปหานาง “ข้าจะช่วยยกจานออกไป”
มู่ซืออวี่เลื่อนสายตาลง พบว่าใบหน้าน้อย ๆ ของลู่จื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยเขม่าควัน นางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เอาล่ะลูกแมวลายตัวน้อย เจ้าไปล้างมือแล้วจัดสำรับกินข้าวได้”
“วันนี้มีปลาเปรี้ยวหวานที่ข้าชอบด้วย” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวเสียงหวาน “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่”
“บอกข้ามาก็พอว่าชอบกินอะไร ขอเพียงแม่ทำได้ แม่จะขุนเจ้าให้อ้วนกลมเลยเชียว” สายตาของมู่ซืออวี่เปี่ยมความรักใคร่เอ็นดู
จือเชียนล้างมือจากข้างนอก แล้วเดินเข้ามานั่งข้างลู่จื่ออวิ๋น และกล่าวกับมู่ซืออวี่ว่า “ข้าได้ยินเขากล่าวกันว่าช่วงนี้ฝนจะตกหนัก ฮูหยินเตรียมตัวไว้ด้วย”
“อากาศช่วงนี้ไม่ดีจริง ๆ” มู่ซืออวี่พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าจะพาพวกลุงหลี่ไปซื้อแป้งข้าวมามากกว่านี้อีก แล้วก็ทำความสะอาดรางน้ำในเรือนด้วย”
อากาศหนาวเย็นลงทุกขณะ ต้องเตรียมชุดผ้าฝ้ายให้ทุกคน
มู่ซืออวี่คำนวณว่าจะต้องซื้อดอกฝ้ายกลับมามากเพียงไร หนก่อนที่ถามไถ่ มานั้นพบว่าดอกฝ้ายไม่ได้ซื้อได้ง่าย ๆ นัก
“เมื่อวาน นักการเกาทลายร้านค้าหน้าเลือดได้หนึ่งแห่ง พวกเขาจงใจโก่งราคา ค้ากำไรโดยอาศัยโอกาสที่ดอกฝ้ายขาดแคลนในช่วงนี้ ศาลาว่าการยึดดอกฝ้ายมาได้มากมาย บอกว่าจะขายให้ผู้คนในราคาปกติ ข้าขอไต้เท้านายอำเภอซื้อมาครึ่งหนึ่งแล้ว ภายหลังน่าจะมีผู้นำมาส่ง”
มู่ซืออวี่หันมามองลู่อี้ด้วยความประหลาดใจ “นี่ท่านเป็นพยาธิในท้องข้าหรือ? ไฉนจึงรู้ว่าข้าคิดสิ่งใดอยู่?”
ลู่อี้เชยคางของนาง “เจ้าไม่รู้หรือว่าเขียนไว้บนหน้าชัดเพียงนี้?”
จือเชียนกระแอมเบา ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด
นายท่านและนายหญิงรักใคร่กลมเกลียวกันเกินไป เขาล่ะอยากล่องหนได้ทั้งวันนัก
หากสักวันเขาตายตั้งแต่ยังหนุ่ม คงไม่พ้นถูกนายท่านและนายหญิงสังหารเป็นแน่
ความปวดเศียรสูงสุดของมู่ซืออวี่คลี่คลายลงด้วยประการฉะนี้ ไร้สิ่งใดให้กังวล เรื่องต่อไปที่ต้องทำมีเพียงแย้มยิ้ม
“เจ้าลงทุนลงแรงช่วยตระกูลหวง ไม่คิดหรือว่าชั่วชีวิตนี้ พวกเขาอาจไม่สามารถตอบแทนได้” ลู่อี้ถาม
มู่ซืออวี่เงยหน้ามองเขา “ท่านคิดว่าข้าไม่ควรช่วยหรือ?”
ลู่อี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าเจ้าใจดีเกินไป อยากช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากแม้ต้องลงทุนลงแรง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าทุกครั้งยามเมตตาผู้อื่น เจ้าต้องได้รับสิ่งตอบแทน?”
เขาไม่อยากให้นางถูกคนที่ช่วยไว้อย่างเมตตาแทงข้างหลังในภายหน้า นางคงโศกเศร้าน่าดู เขาไม่อยากให้นางต้องทนทุกข์เช่นกัน
“ข้าช่วยคนเพราะอยากช่วย คนตระกูลหวงเป็นผู้ที่แม่ข้าห่วงใย ซ้ำนิสัยก็ไม่ได้แย่ ข้าช่วยเพื่อความสบายใจของแม่ข้า นับเป็นความกตัญญู สำหรับผู้อื่นนั้น พวกเขาจะยอมรับหรือปฏิเสธความช่วยเหลือของข้า ข้าก็ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด หากการช่วยเหลือของข้าสามารถให้อีกฝ่ายจดจำน้ำใจและส่งต่อความเมตตา ข้าก็คิดว่าความอบอุ่นนั้นคุ้มเงินที่เสียไปแล้ว นอกจากนั้น ข้าก็ใช่ว่าจะใจดีทุกเมื่อ”
นางให้หวงเฉิงเฟิงยืมเงิน 20 ตำลึงทอง หวงเฉิงเฟิงก็เขียนสัญญากู้ยืมด้วยตนเอง สัญญาว่าภายหน้าจะชดใช้
เขาไม่รู้ว่าชีวิตของเขาไม่ได้ยาวนานตามที่นางบอก แค่เห็นว่าเขามีกำลังใจดี นางก็รับสัญญามา
ส่วนคนอื่น ๆ อย่างพี่สะใภ้เฉิน มู่ซืออวี่รับน้ำใจ ได้เงินปันผลคืนมา เซี่ยคุนก็ยืมนางไปสองสามร้อยตำลึงเงิน แต่ดูท่าทีของเซี่ยคุแล้วไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่ได้เงินคืน
นางเข้าใจความนัยของลู่อี้ เขาเป็นห่วงว่านางจะเอ็นดูเขาจนเอ็นเราขาด ช่วยทุกผู้ที่ตนเห็น
แต่ไม่ต้องกังวลหรอก
แม้นางจะไม่สนใจผลประโยชน์ตอบแทน นางก็ครุ่นคิดก่อนช่วยคนอื่นทุกคราไป
มู่ซืออวี่ไม่ใช่แม่พระ เป็นเพียงคนธรรมดาที่อยากให้ครอบครัวมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดี
น้ำใจช่วยเหลือของนางดูเหมือนขาดทุน ทว่าเมื่อคิดดี ๆ แล้วมันไม่ใช่การเสียเงินเสียแรงเปล่า นอกจากนั้น ไฉนต้องมัวพะว้าพะวงในการใช้ชีวิต ทำอะไรราวกับไร้อิสรภาพปานนั้น?
“เรื่องที่ข้าบอกท่านไปหนก่อน ได้ไปถามไถ่มาหรือยัง?”
ลู่จื่ออวิ๋นกินเสร็จก็ไปเล่น จือเชียนตามนางไป เหลือเพียงคู่สามีภรรยาที่โต๊ะอาหาร
“ที่เจ้าบอกว่าลู่เจินเจินชอบนักการเกาหรือ?”
“ใช่”
“ข้าเกรงว่าคงไม่ได้หรอก” ลู่อี้กล่าว “เมื่อเดือนก่อน ญาติห่าง ๆ ผู้หนึ่งมายังเรือนของนักการเกา ดูท่าครอบครัวของเขาอยากจะให้ทั้งคู่แต่งงานกัน”
“เช่นนั้น ข้าก็ต้องอธิบายให้เจินเจินเข้าใจเสียก่อน นางจะได้ไม่ถลำลึกไปกว่านี้” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างจนใจ “ชะตาคนก็เป็นเช่นนี้ ยามคิดว่าแสนใกล้ แท้จริงกลับไกลสุดหล้า”
“เจ้านี่นะ ไฉนต้องกังวลนัก?” ลู่อี้ขยับม้านั่งมาข้างนาง “พวกเขาล้วนแต่เชื่อเจ้า ต้องอยากได้เจ้ามาเป็นแม่สื่อ”
มู่ซืออวี่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ คนทั้งหลายจึงเชื่อใจนาง แต่นางก็ยังมีเรื่องมากมายให้กังวล
“ข้าแค่เป็นผู้ส่งสาร ผลลัพธ์เป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับชะตาของพวกเขา ไม่ได้ยากเย็นอะไร” มู่ซืออวี่ลุกขึ้นเก็บจานชามและตะเกียบ “พวกนางต่างเป็นเด็กดี ได้แต่งงานกับคนดี ๆ ย่อมประเสริฐแล้ว”