สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 262 ฮูหยินคิดว่าข้าคิดอะไรอยู่เล่า

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 262 ฮูหยินคิดว่าข้าคิดอะไรอยู่เล่า?

บทที่ 262 ฮูหยินคิดว่าข้าคิดอะไรอยู่เล่า?

วันถัดมา ลู่อี้กลับมาจากข้างนอก ทันทีที่เข้าลานบ้านมา เขาก็พบท่านหมอจูตากยาสมุนไพรอยู่

“ท่านหมอจู” ลู่อี้ทัก

ท่านหมอจูเหลือบตามองลู่อี้ แค่นหัวเราะหึ ๆ แล้วทำงานของตนต่อ

“ท่านหมอจู เกิดอะไรขึ้นหรือ? ข้าทำอะไรผิด?” ลู่อี้ก้าวเข้าไปถาม

“ยื่นมือมา” ท่านหมอจูกล่าว

ลู่อี้ยื่นแขนออกไป ท่านหมอจูจึงได้ตรวจชีพจรของเขา

“ว่าแล้วเชียว พิษตกค้างยังไม่สลายสิ้น! เจ้าไม่สนใจเลยหรือ?”

ลู่อี้จนใจ “ท่านหมอจูทันข่าวคราวดีจริง ๆ”

“ไม่ใช่ข้าหรอก ภรรยาเจ้าต่างหาก” ท่านหมอจูกล่าว “เมื่อคืนเจ้าไม่กลับบ้าน เป็นเจ้าหน้าที่แล้วไม่อยากได้บ้านแล้วหรือไร”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” ลู่อี้ขมวดคิ้ว “ท่านหมอจู อย่าพูดเพ้อเจ้อสิขอรับ ในใจข้า แน่นอนว่าครอบครัวสำคัญที่สุด”

“อย่ามาพูดเช่นนี้กับข้าเลย ไปบอกภรรยาเจ้าโน่น เจ้าโดนพิษไม่บอกภรรยา แต่คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกลับทราบดี ส่งยามาช่วยเจ้าขจัดพิษอีกต่างหาก เจ้าก็รู้ดี เดิมทีซืออวี่อดกลั้นคำถามต่อเจ้าไว้มากมาย นางยุ่งอยู่ในครัวแต่เช้า ไม่รู้ง่วนกับสิ่งใดอยู่ เจ้าไปดูเถอะ”

“ขอบคุณท่านหมอจูที่ชี้แนะ ข้าจะไปดู”

ภายในครัว มู่ซืออวี่กำลังสอนคนครัวให้หุงข้าวขาวในหม้อ

“ฮูหยิน เย็นแล้ว”

“เย็นสนิทแล้วหรือไม่?”

“เย็นสนิทแล้ว”

“เช่นนั้นก็หักสิ่งนี้ จากนั้นไปกวนกับข้าวขาวในภายหลัง…”

“เจ้าค่ะ”

ลู่อี้ยืนมองมู่ซืออวี่ง่วนอยู่กับงาน

“ฮูหยิน หั่นผักเรียบร้อยแล้ว” คนครัวอีกคนออกมาหามู่ซืออวี่

“ถูเกลือให้ดีนะ”

“เจ้าค่ะ”

มู่ซืออวี่เดินไปอยู่ตรงหน้าคนครัวแต่ละคน ก่อนจะชี้แนะให้พวกเขาทำตามที่นางต้องการ

“ฮูหยิน เจี้ยง*[1]นี่หอมยิ่งนัก”

“อืม เจี้ยงที่ข้าทำหอมและสะอาด ดีกว่าข้างนอกมากนัก” มู่ซืออวี่กล่าวเสียงเรียบ “พวกเจ้าทำต่อเถอะ”

หลังจากนั้น นางก็ไปยังประตู เดินผ่านลู่อี้ไป

ลู่อี้ตามนางไป

“ฮูหยิน…”

มู่ซืออวี่ทำหูทวนลม นำกรรไกรตัดกิ่งไม้ออกมาและเริ่มตัดแต่งต้นไม้

หากลู่อี้ไม่รู้ว่านางกำลังโกรธ เขาก็คงซื่อบื้อเต็มที

“อึก…” เขากุมท้องของตน

แกร๊ก!

มือของมู่ซืออวี่สั่น งับดอกไม้ร่วงไปหนึ่งกิ่ง

นางหันมามองลู่อี้ “เป็นอะไร?”

“ข้า… ไม่ได้กินข้าวมาแต่เมื่อคืน ปวดท้องเหลือเกิน” ลู่อี้ดูไม่สบาย

“เหตุใดไม่กินข้าวเล่า?” มู่ซืออวี่เก็บกรรไกรแล้วเข้ามาพยุงเขา “ในครัวยังมีโจ๊ก ข้าจะไปตักใส่ชามมาให้”

“ฮูหยินไม่เมินข้าแล้วหรือ?” ลู่อี้ที่ดูอ่อนแอเมื่อครู่รวบตัวนางอุ้มขึ้นมา

“ท่านหลอกกันนี่!”

“ข้าหิวจริง ๆ นะ ไม่ได้กินอะไรมาสองมื้อแล้ว” ลู่อี้กล่าว “แต่ข้ายังมีแรงอุ้มฮูหยินอยู่”

มู่ซืออวี่ตีหน้าเย็นชา ไม่กล่าวอะไร

“ฮูหยินอารมณ์ไม่ดีเพราะกังวลกับบาดแผลของข้าหรือ?”

“ท่านถูกพิษ แต่ข้ากลับเป็นคนสุดท้ายที่รู้” มู่ซืออวี่ถลึงตามองเขา “ข้านับเป็นอะไร?”

“ข้าไม่อยากให้เจ้ากังวล”

“พิษตกค้างในกายท่านยังไม่สะสาง ไฉนไม่ดูแลตัวเอง?”

“อันที่จริง ช่วงนี้ข้าก็กินยาอยู่” ลู่อี้อุ้มนางกลับห้อง

หลังจากกลับถึงห้อง ลู่อี้ก็กล่าวกับจือเชียนซึ่งอยู่ข้างนอก “ในครัวมีโจ๊ก เจ้าไปตักมาชามหนึ่ง เอาผักดองที่ฮูหยินทำไว้ออกมาด้วย”

มู่ซืออวี่กล่าวเสริมว่า “ซาลาเปาก็ยังมีอยู่เยอะ เอาไปสักสองสามลูกสิ”

“ฮูหยินไม่โกรธแล้วหรือ?”

มู่ซืออวี่ดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของเขา

“ถอดเสื้อออก”

“จือเชียนจะนำอาหารมา ฮูหยินต้องทนก่อนกระมัง” ลู่อี้กล่าวเสียงขัดเขิน

มู่ซืออวี่เบิกตากว้าง “นี่ท่านคิดอะไรอยู่ในหัวกัน?”

“ฮูหยินคิดว่าข้าคิดอะไรอยู่เล่า?” ลู่อี้จับมือของนางขึ้นมาจุมพิต

มู่ซืออวี่นิ่งเฉยไม่ชักมือกลับ ปล่อยให้เขาจับมือไว้เช่นนั้น

จือเชียนนำข้าวและซาลาเปามาส่ง ก่อนจะรีบเผ่นออกไป

มู่ซืออวี่มองลู่อี้ละเลียดกินอย่างช้า ๆ

“กินเสร็จแล้วหรือยัง?”

“ฮูหยินรีบเพียงนั้นเลยหรือ?”

“ใช่ ข้ารีบ ไม่ได้หรือ?” มู่ซืออวี่ถูกเขาหยอกจนไม่สนใจภาพลักษณ์ ได้แต่จิ้มเขาเล่น

ลู่อี้ยิ้ม ยกผ้าเช็ดหน้าข้างตัวเขาขึ้นมาเช็ดปาก

เขาโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งแล้วปลดเข็มขัด ดวงตาคู่นั้นจับจ้องที่ร่างนางราวกับเพลิงไฟพร้อมแผดเผา

แม้มู่ซืออวี่จะหน้าหนา นางในยามนี้ก็ยังขัดเขินเล็กน้อย

นางลุกขึ้น สายตาจ้องมอง ณ จุดที่เขาบาดเจ็บ

บาดแผลยังคงอยู่ ดูคร่าว ๆ ราวแผลถลอก นางจึงไม่ได้สนใจก่อนหน้านี้ ใครเล่าจะคาดคิดว่าแผลธรรมดา ๆ เช่นนี้จะโดนพิษ

นิ้วของนางเลื่อนไปใกล้แผล

“คุณหนูเฉินบอกว่าท่านมีพิษตกค้างในร่างกาย จึงส่งยาขวดหนึ่งมาให้ท่าน ท่านหมอจูบอกว่ายานี้ดี ท่านกินได้”

ลู่อี้เชยคางนางขึ้น “ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย บาดแผลของข้าเป็นอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง สตรีผู้นี้จิตใจคดเคี้ยว ไม่ได้ไร้พิษภัยเช่นที่เห็น”

“ข้ารู้” มู่ซืออวี่มุ่ยหน้า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไปล่อลวงสาวน้อยให้คล้อยตาม อยากยกตำแหน่งข้าให้นางหรือไร!”

“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องนั่งในตำแหน่งนี้ให้มั่น ผู้ใดก็ไม่อนุญาตให้มาชิง หากสักวันเจ้ากล้าขัดขืน ถอยให้ผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้า ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าสถานหนัก” ลู่อี้กล่าวเสียงขรึม

“ท่านจะจัดการกับข้าอย่างไร?”

“อยากรู้หรือ?”

หลังจากทำศึกในร่มกันไป ลู่อี้ก็โอบแขนรอบร่างของมู่ซืออวี่แล้วกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่านายอำเภอฉินจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วล่ะ”

“แล้วผู้ใดจะขึ้นเป็นนายอำเภอคนใหม่?”

“ข้ายังไม่รู้” ลู่อี้กล่าว “ข้าก็แค่ทำงานส่วนของข้า ยุ่งเรื่องอื่นมากไม่ได้หรอก”

ลู่อี้รับปากซ้ำ ๆ ว่าจะกินยาตรงเวลาและเข้าตรวจอาการกับท่านหมอจู มู่ซืออวี่จึงปล่อยเขาไป

จากนั้นนางจึงพูดถึงเรื่องของเหวินอี้เล็กน้อย

ลู่อี้ตั้งใจกับตนเองว่าจะตรวจสอบคนผู้นี้ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรกับมู่ซืออวี่ เขาไม่อยากให้นางคิดมากจนกว่าเรื่องจะกระจ่าง

ถงซื่อกลับมาพร้อมผักตะกร้าหนึ่ง

ท่านหมอจูกระแอมเบา ๆ

เมื่อถงซื่อเห็นเขา นางก็หันหลังเดินไปอีกทิศ เห็นเช่นนี้ ท่านหมอจูก็รีบวางยาสมุนไพรในมือแล้วสาวเท้ายาว ๆ ไล่ตามไป

“ชุนนี”

ถงซื่อชะงัก กล่าวขึ้นเสียงแข็ง “อย่าเรียกข้าเช่นนั้น”

“ที่นี่ไม่มีคนนอก ไฉนจะเรียกไม่ได้?” ท่านหมอจูกล่าว “เราไม่พูดกันดี ๆ แล้วหรือ?”

“ข้า… ข้าไม่ได้ตอบตกลงกับท่าน” ถงซื่อหน้าขึ้นสีอย่างเอียงอาย มองไปรอบ ๆ อย่างระแวง “ท่านมาหาข้าทำไมกัน?”

“คืนปิ่นให้เขาหรือยัง?” ท่านหมอจูถาม

“ข้าจะคืนให้เขาหรือไม่นั้น ไม่ใช่ธุระของท่านเลย” ถงซื่อถลึงตามองเขา

ท่านหมอจูนำกล่องใบหนึ่งจากในแขนเสื้อส่งให้ถงซื่อ “นี่คือเจตนาของข้า เจ้าไม่ยอมรับเขา แต่ยอมรับข้าได้หรือไม่?”

ถงซื่อ “…”

นางไม่ได้รับของจากท่านหมอจูแต่กลับเดินจากไป

คนผู้นี้นี่จริง ๆ เลย!

นางดูเหมือนคนสายตาสั้นนักหรือ?

ฮึ! ทำอย่างกับว่านางชอบรับของกำนัลจากผู้ชายอย่างนั้นแหละ

[1] เจี้ยง คือเครื่องปรุงรสประเภทเต้าเจี้ยว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท