บทที่ 301 คำเชิญ
บทที่ 301 คำเชิญ
“ถ้วยชามเหล่านี้สวยงามยิ่งนัก” เฉินซือจวินมองของตรงหน้ามู่ซืออวี่แล้วถามเถ้าแก่ว่า “ข้าก็อยากได้แบบนี้เช่นกัน ยังมีอีกหรือไม่?”
“มีเพียงแค่ชุดเดียวขอรับ ไม่มีอีกแล้ว” เถ้าแก่ยิ้มเจื่อน “ลวดลายของเครื่องถ้วยชุดนี้เป็นฮูหยินลู่วาดเอง ข้าเพียงนำไปทำให้ กล่าวได้ว่าทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงชุดเดียวขอรับ”
“ฮูหยินลู่ช่างมีพรสวรรค์จริง ๆ” เฉินซือจวินเอ่ยขึ้น “จริงสิ ฮูหยินลู่ งานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์จะจัดขึ้นในอีกสองสามวันนี้แล้ว ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นฮูหยินลู่จะไปหรือไม่?”
“งานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์หรือ?” มู่ซืออวี่งุนงง
“ต้องโทษข้าที่ไม่กล่าวให้ชัดเจน งานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์จัดขึ้นที่เมืองฮู่เป่ยทุกปี ช่วงเวลานี้ของปี ทางการจะรวบรวมตัวบัณฑิตและผู้มีพรสววรรค์โดดเด่นทั่วเมืองฮู่เป่ย ทุกคนจะได้ขับขานบทกวี แลกเปลี่ยนความคิดที่หลากหลายกัน ครึกครื้นทีเดียว ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ขอแค่เพียงพวกเขาเป็นบัณฑิตที่มีพรสวรรค์หรือสตรีรูปโฉมงดงาม ย่อมได้รับคำเชิญอย่างแน่นอน”
“อ้อ”
การรวมตัวกันครั้งนี้มีความหมายอะไร ก็แค่คนรู้หนังสือกลุ่มหนึ่ง วางหนังสือในมือลงแล้วหันมายกย่องชมเชยกัน
“กิจการของข้ายุ่ง คงไม่มีเวลา”
“ใต้เท้าลู่เป็นนายอำเภอปีนี้ปีแรก อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เขาจะปรากฏในงานงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์ ฮูหยินลู่ไม่ปรากฏตัวในโอกาสเช่นนี้ ข้าเกรงว่า….” เฉินซือจวินไม่กล่าวให้จบ ทว่าสีหน้าของนางกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด
ราวกับนางจะเอ่ยว่า ‘เกรงว่าจะเป็นที่นินทา ดึงดูดความสนใจคน’ ออกมา
ลูกไม้เล็ก ๆ เช่นนี้มู่ซืออวี่ไม่เก็บมาใส่ใจ ทว่าคำหนึ่งคำผุดขึ้นมาในใจนาง นั่นคือปีนี้เป็นครั้งแรกที่ลู่อี้เป็นนายอำเภอ ถึงเวลาที่จะเอาชนะใจของผู้คนแล้ว
“ในเมื่อเป็นโอกาสสำคัญเช่นนี้ ข้าจะปรึกษากับสามีของข้าก็แล้วกัน” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ฮูหยินลู่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทุกคนในเมืองฮู่เป่ยผู้ใดไม่รู้บ้าง ทุกคนต้องเฝ้ารอที่จะได้พบกับฮูหยินลู่เป็นแน่” เฉินซือจวินยิ้มบาง ๆ “เถ้าแก่ พวกท่านยังมีสินค้าดี ๆ อะไรหรือไม่?”
“มีขอรับ สินค้าชุดหนึ่งเพิ่งส่งมาเมื่อไม่นานมานี้ เหล่าฮูหยินในเมืองหลวงล้วนชมชอบเป็นอย่างมาก เชิญทางนี้ขอรับ” เถ้าแก่รับรองเฉินซือจวินอย่างอบอุ่น
จื่อซูเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮูหยิน เหตุใดจึงรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ไม่ใจดีอย่างที่เห็นเล่าเจ้าคะ?”
“ไม่เลวนี่ แม่นางน้อยจื่อซู เจ้ารู้จักแยกแยะจิตใจของคนแล้ว” มู่ซืออวี่ลูบหัวจื่อซู “จิตใจของคุณหนูใหญ่ผู้นี้หยิ่งยโสทะนงตัว เดิมทีก็ไม่เคยเห็นหญิงชนบทอย่างเราอยู่ในสายตา อันที่จริงเจตนาของนางนั้นชัดเจนยิ่ง ใช้เท้าของข้าดูก็ยังรู้ว่านางคิดจะทำอะไร”
“อะไรหรือเจ้าคะ?”
“ข้าก็แค่หญิงชนบทผู้หนึ่งที่รู้จักแต่ทำการค้าหาเงินทอง หากปรากฏตัวในโอกาสใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะทำบรรยากาศในงานพังหรือไม่?”
“ย่อมไม่แน่นอนเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุใด?”
“ฮูหยินเคยทำพังด้วยหรือ?”
“แม่นางน้อยจื่อซู นี่เป็นเพียงความคิดของเจ้า แต่ผู้อื่นไม่คิดเช่นนั้น” มู่ซืออวี่กล่าว “เอาล่ะ เด็ก ๆ ย้ายของเข้าไปในรถม้า”
เด็กรับใช้ข้าง ๆ จึงขานรับว่า “ขอรับ ฮูหยิน”
หลังจากที่เด็กรับใช้ขนของเข้าไปในรถม้าแล้ว จื่อซูก็ให้เงินเด็กรับใช้คนนั้นหนึ่งตำลึงเงิน
“ขอบพระคุณฮูหยินขอรับ”
มู่ซืออวี่เข้าไปในรถม้า เมื่อจื่อซูตามขึ้นมา นางจึงเอ่ยเย้าแหย่ “พัฒนาขึ้นแล้วนะนี่ ครั้งแรกที่ข้าบอกให้เจ้าตบรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้ายังจำได้ว่าสีหน้าของเจ้าราวกับถูกเฉือนเนื้อ”
“ตั้งแต่ยังเล็กบ่าวไม่เคยมีอาหารการกินเครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอ ในมือไม่มีแม้กระทั่งเงินสิบอีแปะ นับประสาอะไรกับตำลึงเงิน ครั้งแรกที่ตบรางวัลแทนฮูหยิน แน่นอนว่าบ่าวย่อมปวดใจ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าไม่ปวดใจแล้วหรือ?”
“ตอนนี้… ฮูหยินมีเงินมากมาย ทุกครั้งที่ฮูหยินให้เงิน ล้วนให้เด็กยากจนที่ประพฤติตัวดี พวกเขาได้รับเงินไป คนที่บ้านย่อมสบายขึ้นเล็กน้อย การได้ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องดีเจ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่า” มู่ซืออวี่หัวเราะเบา ๆ “เป็นเด็กที่น่ารักจริง ๆ”
รถม้าแล่นผ่านเรือนวสันต์อีกครั้ง มู่ซืออวี่เปิดม่านออก มองเห็นมู่เจิ้งอี้ที่กำลังออกมาพร้อมกับสตรีงดงามจับใจผู้หนึ่งในที่อยู่ในอ้อมแขน สายตาของนางพลันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“หาที่จอดสักประเดี๋ยว”
คนบังคับรถม้ารับคำหนึ่งคำ จากนั้นจึงหยุดรถม้า
มู่ซืออวี่มองมู่เจิ้งอี้และสตรีนางนั้นจากไป จากนั้นจึงเอ่ยกับคนบังคับรถม้าว่า “เจ้าเข้าไปสอบถามเรื่องของสองคนเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มผู้นั้นชื่อมู่เจิ้งอี้ ลองถามแม่เล้าข้างในดูว่าสถานการณ์เป็นมาอย่างไร”
ไม่นานคนขับก็กลับมาที่รถม้า บอกกล่าวความเป็นมาจากข้างในให้นางฟัง
“ฮูหยิน มู่เจิ้งอี้ผู้นั้นไถ่ถอนตัวนางโลมออกไปขอรับ สตรีผู้นั้นชื่อเสี่ยวเอ๋อร์”
“เงินค่าไถ่ตัวมากน้อยเพียงใด?”
“พันตำลึงขอรับ”
มู่ซืออวี่ประหลาดใจ ในหัวเกิดภาพมากมายผุดขึ้นมา ‘สหายน้อย เจ้ามีเครื่องหมายคำถามมากมายใช่หรือไม่?*[1]’
นางส่ายหัว สลัดภาพน่าขบขันออกไป
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
ใช้หนึ่งพันตำลึงเงินไถ่ตัวหญิงนางโลมออกไป ดูเหมือนว่าสตรีนามเสี่ยวเอ๋อร์ผู้นั้นจะมีความสามารถไม่น้อย
มู่เจิ้งอี้นี่ไร้เดียงสากว่าที่คิด!
จำความแค้นที่ถูกตีจนร่างแหลกก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยหรือ?
“ดอกไม้หายาก*[2]” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง
“ฮูหยิน ดอกไม้อะไรหายากหรือเจ้าคะ?” จื่อซูฉงนสงสัย
“ไม่มีอะไร” มู่ซืออวี่กล่าว “ไปเถอะ กลับได้แล้ว”
รถม้าแล่นไปพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นอย่างรุนแรงแล้วหยุดสนิท
“ฮูหยิน… ฮูหยิน… ข้าชนคนเข้าแล้วขอรับ!” คนบังคับรถม้าตะโกนเสียงสั่นเครือจากข้างนอก
มู่ซืออวี่เปิดม่านออกแล้วกระโดดลงมาจากรถม้า จ้องมองสตรีที่นอนเลือบอาบหัวอยู่บนพื้น
“นี่…” จื่อซูเอ่ยอย่างตระหนก “ฮูหยิน จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
“จื่อซู เจ้าแข็งแรง เจ้าอุ้มนางขึ้นไปในรถม้า พวกเราจะส่งนางไปที่โรงหมอเดี๋ยวนี้” มู่ซืออวี่จัดแจงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าค่ะ”
ณ โรงหมอ
เมื่อท่านหมอกงเห็นมู่ซืออวี่ก็ถอนหายใจเบา ๆ “เป็นพวกเจ้าอีกแล้ว”
จื่อซูแบกสตรีที่บาดเจ็บผู้นั้นเข้ามา “ท่านหมอกง ครั้งนี้เป็นผู้อื่นนะเจ้าคะ รถม้าของเราไปชนนางเข้าโดยบังเอิญ ท่านรีบมาดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง”
“วางนางนอนราบซิ” ท่านหมอกงเอ่ยเสียงเรียบ
ครั้นคนจัดยานำกล่องยาออกมา ท่านหมอกงก็รีบตรวจบาดแผลของสตรีผู้นั้นทันที
“ถูกเกือกม้าเตะ อาการไม่ค่อยดีนัก” ท่านหมอกงกล่าว “ข้าจะพันแผลให้เสียก่อน รอนางตื่นขึ้นมาถึงจะรู้ว่าสมองกระทบกระเทือนหรือไม่ รถม้าของเจ้าขับอย่างไรกัน? คนตัวเป็น ๆ ทั้งคนเช่นนี้ ถึงแม้นางจะปรี่เข้ามาเอง แต่หากควบคุมสายบังเหียนได้ทันการ นางคงไม่บาดเจ็บถึงเพียงนี้กระมัง”
มู่ซืออวี่ปล่อยให้ท่านหมอกงอบรมสั่งสอน ไม่อาจปฏิเสธแม้เพียงครึ่งคำ
“ไม่ใช่ว่าฮูหยินของพวกเราขับเสียหน่อย…” จื่อซูพึมพำกับตนเองเบา ๆ
“จื่อซู” มู่ซืออวี่ส่ายหน้า “เป็นรถม้าของบ้านเรา คนขับทำผิดพลาดก็คือข้าทำผิดพลาด”
“พวกเจ้าอย่ายืนโง่งมอยู่ที่นั่น นางคงไม่ตื่นไปสักพัก หาที่นั่งรอก่อนเถอะ” ท่านหมอกงเอ่ย
“จื่อซู เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ของข้าว่าข้ายุ่งกับกิจการ ให้นางจัดการเรื่องที่บ้าน สำคัญที่สุดคือดูแลอวิ๋นเอ๋อร์ดี ๆ เจ้าเด็กคนนั้นหมู่นี้ฝึกฝนการเย็บปักถักร้อย สิบนิ้วของนางอาการไม่ดีนัก เจ้าให้แม่ข้านำยาที่อาจารย์ฟ่านเป็นคนเขียนตำรับยามาต้มให้นางแช่เสียหน่อย”
“บ่าวจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ” จื่อซูรับคำ
มู่ซืออวี่นั่งมองสตรีตรงหน้าอยู่ไม่ไกลนัก
ดูเหมือนว่าอายุอีกฝ่ายคงไม่เกินยี่สิบปี หน้าตาพริ้มเพรา เครื่องแต่งกายนี้ก็….
นางขมวดคิ้ว
หญิงผู้นี้ไม่ได้สวมใส่รองเท้า เสื้อผ้ายับย่น ดูเหมือนว่าจะวิ่งออกมาจากที่ไหนสักแห่ง…
[1] สหายน้อย เจ้ามีเครื่องหมายคำถามมากมายใช่หรือไม่ มาจากมีมดังภาพนี้
[2] ดอกไม้หายาก หมายถึง แปลกประหลาด มักใช้อธิบายในวรรณกรรมเวลาเอ่ยถึงตัวละครที่โดดเด่น