บทที่ 321 เปิดอกกับมู่เจิ้งหาน
บทที่ 321 เปิดอกกับมู่เจิ้งหาน
มู่ซืออวี่ส่งหูโม่ลี่ไปที่ ‘โรงหมอถงตั๋ว’
ถงซื่อยังอยู่ที่นั่นอย่างที่คิด
มู่ซืออวี่อยู่ดูสักพักหนึ่ง จึงพบว่าถงซื่อได้เรียนรู้วิธีการพันแผลแล้ว
หากพูดให้ชัดเจนก็คือเป็นผู้ช่วยของท่านหมอนั่นเอง
ถึงแม้หลาย ๆ เรื่องคนจัดยาจะเป็นคนทำ แต่หากรอบ ๆ ตัวคนไข้มีคนเข้าใจหลักการรักษาโรคเพิ่มขึ้นมาอีกคนย่อมเป็นเรื่องดี อีกทั้งยังทำให้ท่านหมอจูสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม
มู่ซืออวี่ไม่ได้เข้าไปรบกวน เพียงแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ สักพัก
ถงซื่อทำงานได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งยังเอาใจใส่ขณะพันแผลให้คนไข้ ไม่เพียงแต่พูดคุยกับอีกฝ่ายให้คลายความกังวลลง แรงมือที่ใช้ยังอ่อนโยนนุ่มนวลด้วย
ถงซื่อที่เป็นเช่นนี้นั้น นางไม่เคยเห็นมาก่อน
เตาซานเหนียงถือน้ำชาเดินออกมาวางลงบนโต๊ะท่านหมอจู
“ท่านหมอจู จิบชาหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ท่านหมอจูกำลังคลำชีพจรคนไข้ จึงไม่ได้สนใจนาง
เตาซานเหนียงรออยู่ข้าง ๆ กระทั่งท่านหมอจูส่งคนไข้กลับไปแล้ว นางจึงกล่าวยิ้ม ๆ “ท่านหมอจู ชานี้เป็นชาที่ท่านชงให้คนไข้เมื่อวานนี้ ข้าลองชงมาให้ท่าน ท่านลองชิมดู”
ท้ายที่สุดท่านหมอจูจึงหันกลับมามอง
เขากล่าวตอบเบา ๆ “ขอบคุณเจ้า แต่ข้าไม่ดื่มชา”
“นี่ไม่ใช่ชาทั่วไป แต่เป็นชาบำรุงร่างกายนะเจ้าคะ เมื่อวานท่านก็บอกคนไข้คนนั้นเช่นนี้ ท่านลืมไปแล้วหรือ?” เตาซานเหนียงเริ่มร้อนใจแล้ว
“ข้าบอกกับคนไข้เช่นนี้ เพราะอาการของเขาเหมาะกับชาบำรุงร่างกายชนิดนี้ แต่กับข้ามันไม่มีประโยชน์อะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบคุณท่าน แต่ท่านไม่จำเป็นต้องทำเพื่อข้ามากมายเพียงนี้ ท่านเป็นแค่เพียงมารดาลูกศิษย์ของข้า เรื่องในโรงหมอของข้าไม่รบกวนให้ท่านต้องมากังวล”
“ข้ายินดีเป็นกังวลอย่างยิ่ง” เตาซานเหนียงยังคิดจะเอ่ยมากกว่านี้ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของท่านหมอจู นางก็รู้ว่าหากกล่าวต่อไปอาจทำให้เขาเกลียดแล้ว จึงทำได้เพียงปล่อยไป
นางไม่เชื่อว่านางจะทำให้เขาประทับใจไม่ได้
ถงซื่อผู้นั้นมีอะไรดี? ทั้งน่าเบื่อหน่าย ผ่านไปครึ่งวันก็ไม่แม้แต่จะผายลมออกมา รู้เรื่องรู้ราวเสียที่ใดกัน เข้าใจถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเสียเมื่อไหร่กัน ช่วงเวลาหลายวันมานี้ นางรู้ว่าตนสิถึงจะเป็นนายหญิงที่แท้จริงของโรงหมอแห่งนี้
“ท่านหมอจู ท่านแม่” มู่ซืออวี่ปรากฏกายพร้อมกับหูโม่ลี่
“พวกเจ้ามาแล้วหรือ” ถงซื่อยังคงทายาให้คนไข้ เมื่อเห็นพวกนางก็เอ่ยทักทาย จากนั้นจึงให้ทั้งสองหาที่นั่งรอประเดี๋ยว รอให้นางทำงานให้แล้วเสร็จ
เตาซานเหนียงเคยพบกับมู่ซืออวี่จึงรู้สถานะของอีกฝ่าย เมื่อเห็นนางปรากฏตัว ก็หลบออกไปทันที
“เป็นอย่างไร?” ถงซื่อเดินเข้ามาหา
“พวกเขาไปแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยตอบ “ท่านวางใจ ระยะเวลาสั้น ๆ นี้คงไม่มารบกวนท่านอีก”
“ข้าไม่คิดว่าจะราบรื่นเช่นนี้ ดูจากนิสัยใจคอของพวกเขาแล้ว ไม่แตกต่างอะไรกับท่านย่าของเจ้าผู้นั้นนัก นึกไม่ถึงว่าจะถอยกลับไปง่ายดายเพียงนี้”
“วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากตอนนั้นพวกเรามีสถานะอย่างในตอนนี้ ท่านคิดว่าแม่เฒ่าเจียงจะกล้าทำอะไรพวกเราหรือ? หากกล่าวจริง ๆ แล้ว เหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกว่าศัตรูยุ่งยากเกินไป นั่นเป็นเพราะตนอ่อนแอเกินไป”
“ตระกูลมู่นับว่าจบสิ้นแล้ว” ท่านหมอจูเดินเข้ามา “วันนี้ข้ากลับไปที่หมู่บ้านเที่ยวหนึ่ง พวกเจ้าลองทายดูว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?” หูโม่ลี่เอ่ยถาม “ครอบครัวพวกเขาเหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว”
“มู่ซือเจียวไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วหรือ? เด็กทารกคนนั้นถูกนางโยนทิ้งไว้ที่บ้าน ถังซื่อและมู่ต้าไห่หาคนมาซื้อนางไป หัวหน้าหมู่บ้านจึงออกหน้าช่วยเด็กคนนั้น เพื่อที่จะรักษาชีวิตเด็กคนนั้นไว้ เขาจ่ายไปถึง 5 ตำลึงเงิน สองสามีภรรยาถังซื่อและมู่ต้าไห่ใจคออำมหิตยิ่งนัก เด็กคนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กที่ลูกสาวพวกเขาคลอดออกมา ถึงกับกล้าทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้”
“หัวหน้าหมู่บ้านทำเช่นนี้ เกรงว่ารังแต่จะเป็นการสุมไฟใส่หัวใจละโมบหยิ่งยโสของพวกเขา” มู่ซืออวี่ออกความคิดเห็น
“วางใจเถิด 5 ตำลึงนั้นหาใช่มอบออกไปเปล่า ๆ ภายหน้าเด็กคนนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว” ท่านหมอจูกล่าว “ความหมายของหัวหน้าหมู่บ้านคือ พวกเขาตั้งใจว่าจะมอบเด็กให้คนที่จิตใจดีรับเลี้ยง จะดีที่สุดหากคนผู้นั้นไม่มีบุตรธิดา ทั้งสามีและภรรยาต้องมีจิตใจดีงาม ยิ่งไกลจากหมู่บ้านสกุลลู่เท่าใดยิ่งดีเท่านั้น เด็กคนนั้นจึงจะไม่ถูกมู่ต้าไห่และถงซื่อตามไปรบกวน”
“เตรียมการเช่นนี้ก็ดี” มู่ซืออวี่กล่าว “หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนมีเมตตา คนดีย่อมได้รับผลดีตอบแทน”
หลังจากมู่ซืออวี่มาส่งหูโม่ลี่แล้ว นางก็ไปดูว่าลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาเหวินชางเป็นอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกันก็ไปส่งของอร่อย ๆ มากมายให้พวกเขาทาน
บัดนี้ทั่วทั้งสำนักศึกษาเหวินชางชื่นชอบการมาเยี่ยมเยือนของมู่ซืออวี่เป็นอย่างมาก เพราะนางมาคราใด วันนั้นย่อมมีของอร่อยให้ทาน ซึ่งไม่อาจหาทานได้จากที่อื่นแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น มู่ซืออวี่ยังจัดตั้ง ‘กองทุนการศึกษา’ นับจากปีนี้เป็นต้นไป ทุก ๆ ครึ่งปีจะมีการประเมินความสามารถ ผู้ใดมีผลการเรียนดี ได้รับการรับรองจากท่านอาจารย์เหวิน ไม่เพียงแต่จะได้ยกเว้นค่าเล่าเรียนเท่านั้น ยังได้รับทุนการศึกษาเป็นรางวัลด้วย
แน่นอนว่าทุนการศึกษาไม่ได้เกิดขึ้นมาเปล่า ๆ มู่ซืออวี่บริจาคในนาม ‘เรือนกรุ่นฝัน’
เมื่อท่านอาจารย์เหวินได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ทุนการศึกษา’ นี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก รีบดำเนินการในทันที
มู่ซืออวี่เรียกมู่เจิ้งหานมาพูดคุยที่บริเวณลานโล่งกว้างด้านหลัง
“ท่านพี่ หากท่านมีเรื่องจะกล่าวก็กล่าวออกมา อย่าได้มองข้าด้วยสายตาเศร้าโศกเช่นนี้ เข้าเริ่มหวาดกลัวแล้ว” มู่เจิ้งหานเย้าแหย่
“เจ้าสูงขึ้นไม่น้อยแล้ว” มู่ซืออวี่ทำมือวัดระดับความสูงของเขา จากนั้นจึงมาเทียบกับความสูงของตน “นี่นานเพียงใดแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะสูงกว่าข้าถึงครึ่งหัวแล้ว”
“ข้าเป็นเด็กหนุ่ม เดิมทีก็ต้องสูงอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาเป็นปมด้อย”
“ชิชะ ผู้ใดคิดว่าเป็นปมด้อยกัน?” มู่ซืออวี่ยกมือขึ้นบีบแก้มเขา “ข้าขอถามเจ้า เจ้าคิดว่าท่านหมอจูเป็นอย่างไร?”
มู่เจิ้งหานเอียงหัว จากนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แน่นอนว่าท่านหมอจูดีมาก หลายปีมานี้เขาก็ช่วยเหลือพวกเราไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะเขา ข้าและท่านแม่คงตายไปนานแล้ว”
หากไม่ถูกตีตายก็ต้องหิวโหยตาย
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าให้เขามาเป็นพ่อเลี้ยงของเราเป็นอย่างไร?” มู่ซืออวี่ถามอีกครั้ง
มู่เจิ้งหาน “…”
เขาอึ้งไปแล้ว
มู่ซืออวี่เห็นเขาไม่เอ่ยสิ่งใด จึงรู้ว่าคำถามของนางทำให้เขาสับสนเสียแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามเช่นนี้
“ครั้งก่อนที่เจ้าเห็นมู่ต้าซานแต่งภรรยา เจ้าเกิดหงุดหงิดโมโหขึ้นมา ท่านแม่กลัวจึงไม่กล้าเอ่ยว่านางชอบพออยู่กับท่านหมอจู ไม่นานมานี้ข้างกายท่านหมอจูมีเตาซานเหนียงผู้หนึ่งโผล่มา ข้าเห็นว่าหญิงผู้นั้นรับมือไม่ง่าย หากไม่จัดการในเร็ววัน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านแม่ไม่กล้าเอ่ยปาก ข้าจึงมาเอ่ยแทนนาง หากเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม เพียงแค่บอกพี่สาวอย่างข้า ข้าจะได้เข้าใจความรู้สึกของเจ้า”
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนจริง ๆ” มู่เจิ้งหานขยี้ผม “ข้าไม่เคยคิดว่าท่านแม่และท่านหมอจูจะเกิดความสัมพันธ์เช่นนี้ขึ้นมา หากเป็นความจริง แน่นอนว่าข้าต้องสนับสนุนพวกเขา”
“สนับสนุนหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
“หากท่านแม่อยู่ด้วยกันกับท่านหมอจู นางจะมีลูกให้เขาหรือไม่?” มู่เจิ้งหานทำอะไรไม่ถูก “หากคลอดลูกออกมาแล้ว ท่านแม่ยังจะสนใจพวกเราอยู่หรือไม่?”
“เจ้าคิดอะไรโง่ ๆ ล่ะนี่”
ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าท่านหมอจูและถงซื่ออายุปูนนี้แล้วจะมีลูกหรือไม่ หากพวกเขามีแล้ว มันจะกระทบกับมู่เจิ้งหานสักเท่าใดกัน
อีกไม่นานก็จะเข้าสอบถงซื่อ*[1]แล้ว อนาคตของเขาไร้ขีดจำกัด เขาควรมองไปยังจุดหมายข้างหน้ามากกว่า
ช่วงเวลานี้ พวกเขาควรยินดีกับถงซื่อที่ได้พบชีวิตครั้งใหม่ของนาง หากนางอยู่เพียงลำพังจะไม่น่าสงสารกว่าหรือ?
[1] ถงซื่อ คือ การสอบระดับต้น ซึ่งมีการแบ่งระดับชั้นเป็นการสอบสามระดับ ได้แก่ เซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ และย่วนซื่อ