บทที่ 351 อาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว
บทที่ 351 อาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว
งานแสดงสินค้าดำเนินต่อไปอีกครึ่งเดือน
ครึ่งเดือนผ่านไป เมื่อมีการตรวจสอบบัญชี มู่ซื่ออวี่ก็พบว่ารายได้ในครึ่งเดือนนี้ทะลุยอดตั้งแต่เปิดร้านมาจนถึงปัจจุบันแล้ว มากกว่าที่พวกเขาคำนวณไว้ไปมหาศาล
มู่ซืออวี่ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
ในยุคปัจจุบัน ผลที่ได้รับจากงานแสดงสินค้ามากมายกว่านี้นัก เวลานี้มีเงื่อนไขมากมายจำกัด ทำได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่าเป็นความสำเร็จในขั้นแรกแล้ว
“อาจารย์ คำสั่งซื้อรายการใหญ่นี้ต้องส่งไปที่เมืองเตียนอวี้ จากที่นี่ไปถึงเมืองเตียนอวี้ต้องใช้เวลาราวสิบวัน” เจี่ยงจงแสดงรายการสั่งซื้อของลูกค้าให้มู่ซืออวี่ดู
“หากเถ้าแก่เนี้ยมู่ไม่วางใจ ตระกูลฉินของเราสามารถไปส่งสินค้าให้ได้” ฉินเหวินหานเดินเข้ามาจากด้านนอก “ขอแสดงความยินดีกับเถ้าแก่เนี้ยมู่ ครั้งนี้มีรายได้เข้ามามหาศาล อีกทั้งยังเปิดเส้นทางใหม่ให้คนอาชีพเดียวกัน”
“ขอบคุณ” มู่ซืออวี่หยิบยกสิ่งที่เขาเอ่ยเมื่อครู่นี้ออกมา “ตระกูลฉินมีคาราวานส่งสินค้าหรือ?”
“มิผิด ตระกูลฉินทำกิจการมากมายหลายอย่าง รับส่งสินค้าไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะไกลเพียงใด พวกเราก็จะส่งไป พวกเราใช้โอกาสนี้ออกไปทำการค้าบ่อย ๆ”
“ฟังดูไม่เลวเลย” มูซืออวี่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน “เช่นนั้นพวกเราก็จะจ่ายค่าเดินทางกองคาราวานของท่านตามกฎ”
“ย่อมได้”
เรือนของจงอ๋องก็ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว มู่ซืออวี่ใกล้จะออกจากเมืองซูโจวทุกที
อย่างไรเสียกิจการที่นี่ก็จะมอบหมายให้เจิ้งซูอวี้อยู่แล้ว ดังนั้นเจิ้งซูอวี้ควรเป็นผู้ติดต่อกับฉินเหวินหานมากกว่า ส่วนนางจดจ่อกับการสะสางงานที่กำลังล้นมือต่อไป
เซี่ยคุนกลับมาแล้ว เขานำตัวเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปยังจวนจงอ๋อง หลังจากนั้นคนของจวนจงอ๋องก็นำตัวเหวินอี้ไปทันที
“ท่านแม่” ลู่ฉาวอวี่เดินนำฉูเหยี่ยนและมู่เจิ้งหานออกมา
ฉูเหยี่ยนทักทายมู่ซืออวี่ “ท่านป้า ข้าต้องรบกวนท่านอีกแล้ว”
มู่ซืออวี่ส่งยิ้มให้ฉูเหยี่ยน “คุณชายฉู ที่นี่ยินดีต้อนรับท่านเสมอ เกิดปัญหาอันใดขึ้นหรือไม่?”
“เหตุใดท่านจึงเรียกข้าว่าคุณชายฉูอีกแล้ว ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวฉูก็ได้” ฉูเหยี่ยนกล่าว “จริงสิ พวกเราจะกลับไปเมืองฮู่เป่ยแล้ว ข้าจึงมาบอกท่าน”
“ได้เลย ข้าจะทำของอร่อยสักเล็กน้อยให้พวกเจ้าทานระหว่างทาง”
“ไม่ต้องแล้ว ท่านแม่” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยขึ้น “ท่านทำงานหนักทุกวัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ให้คนของท่านทำให้ก็ได้”
“นั่นสิ ท่านพี่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา” มู่เจิ้งหานเอ่ยขึ้นบ้าง
“เช่นนั้นข้าจะเชิญอาจารย์และสหายร่วมชั้นเรียนของพวกเจ้ามาทานอาหาร เดิมทีก็อยากเชิญท่านอาจารย์เหวินมาทานสักมื้อ แต่ข้าไม่ว่างเสียที ตอนนี้จะกลับไปแล้ว ไม่อาจเลื่อนออกไปได้อีก” มู่ซืออวี่กล่าว “ฉาวอวี่ น้องหาน พวกเจ้าไปเชิญอาจารย์มาด้วยตนเอง เรื่องนี้ต้องทำให้สำเร็จล่ะ”
“อื้ม” มู่เจิ้งหานรับปาก
ฉูเหยี่ยนยืนอยู่ในสวน ขยับนกไม้ในมือไปมา
พรึ่บ!
ลมพลันตีขึ้นมา หอบนกไม้ลอยขึ้นไป
เสียงวุ่นวายในห้องหายไป มีเสียงแอ๊ดดังขึ้นมา
คนข้างในออกมาแล้ว
ลู่ฉาวอวี่นึกไม่ถึงว่าฉูเหยี่ยนจะอยู่ในสวน เขาถามขึ้นว่า “กำลังทำอะไรน่ะ?”
“รอเจ้าไงเล่า!” ฉูเหยี่ยนหันหน้ากลับมายิ้มให้บาง ๆ “ฉาวอวี่ แม่ของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นสิ่งแปลกใหม่เช่นนี้เลย”
“นางไม่ชำนาญเรื่องเย็บปักถักร้อยเหมือนสตรีทั่วไป ชอบเพียงท่อนไม้พวกนี้” ลู่ฉาวอวี่นั้นแม้ปากจะไม่ชอบ ทว่าในแววตากลับเผยรอยยิ้ม
ฉูเหยี่ยนอยู่กับลู่ฉาวอวี่มานานถึงเพียงนี้แล้ว เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าสหายคนนี้กำลังปากอย่างใจอย่าง
เขาเอ่ยด้วยความรู้สึกมากมายหลากรส “ไม่ว่าเจ้าจะกลับมาดึกดื่นเพียงใด นางก็จะนำมื้อดึกมาให้เจ้า มองเจ้ากินแล้วค่อยไป แม่เจ้าจะเย็บปักถักร้อยไม่เป็นแล้วอย่างไร นางเป็นแม่ที่ดีมากแล้ว”
“อืม” ลู่ฉาวอวี่รับคำ
แม่ของเขาดีอย่างไร หากผู้อื่นไม่เอ่ยเขาก็รู้
สายตาของฉูเหยี่ยนเต็มไปด้วยความอิจฉา “ถึงแม้จะยังไม่ได้พบพ่อของเจ้า แต่ก็รู้ว่าไม่เลวร้ายแน่ ๆ เจ้ามีความสุขเสียจริง บิดาเคร่งครัดมารดารักใคร่ สติปัญญาเป็นเลิศหน้าตาสง่างาม สวรรค์ช่างโปรดปรานเจ้าจริง ๆ”
ลู่ฉาวอวี่ “…”
เหตุใดต้องทำน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดเช่นนี้?
ฟังสำบัดสำนวนแล้ว ฉูเหยี่ยนคงไม่ใช่คุณชายจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป หน้าตาตนเองก็ไม่เลว ยังมีอะไรให้บ่นอีก?
ก่อนที่ศิษย์ของสำนักศึกษาเหวินชางจะออกจากเมือง เหวินอวี่เซวียนก็ได้ตอบรับคำเชิญของนาง
มู่ซืออวี่ไม่ได้ยึดติดกับความฟุ้งเฟ้อภายนอก แต่ครั้งนี้นางลงมือทำอาหารเต็มสองโต๊ะด้วยตัวเอง
“โต๊ะนี้มีประโยชน์จริง ๆ” ฉูเหยี่ยนหมุนโต๊ะด้วยความสนอกสนใจ “หมุนได้ ไม่จำกัด เอื้อมถึงอาหารอยู่ตรงหน้า หากภัตตาคารด้านนอกใช้โต๊ะนี้ คงจะสะดวกไม่น้อย”
“สายตากว้างไกล โต๊ะนี้ยังเป็นโต๊ะที่ขายดีที่สุดในงานแสดงสินค้าครั้งนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงที่อื่น ภัตตาคารขนาดใหญ่ในเมืองซูโจวภายในสองเดือนก็ใช้โต๊ะนี้แทนที่กันแล้ว เพียงแต่จำนวนที่พวกเขาต้องการนั้นมากเกินไปหน่อย ตอนนี้เรายังไม่มีสินค้ามากมายปานนั้น ฉะนั้นเราจึงทำได้เพียงจัดส่งตามหลักมาก่อนได้ก่อน”
“ท่านป้า ท่านทำเช่นนี้ก็เป็นการทำประโยชน์แก่ราษฎร” ฉูเหยี่ยนกล่าว
ไม่ว่าเจ้าจะปากหวานเพียงใด ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะได้แตะลูกสาวของข้าแม้แต่ปลายก้อย
มู่ซืออวี่คิดอยู่ในใจ
ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจนว่าพระเอกจะเป็นคนไร้หัวใจหรือไม่ แต่ว่าไม่ว่าบุรุษที่ออกจากวังจะเรียบง่ายเพียงใด อย่างไรเสียอวิ๋นเอ๋อร์ก็ไม่มีทางข้องเกี่ยวกับคนในราชวงศ์เหล่านี้เด็ดขาด
สายตาของเหวินอวี่เซวียนจับจ้องภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนอยู่ในห้องรับแขก
ภาพนั้นเป็นภาพกำแพงเมืองจีน
ถึงแม้มู่ซืออวี่จะใช้ชิวิตอยู่ในยุคโบราณได้ดีเพียงใด นางยังคงคิดถึงบ้านเกิดตน
นางไม่กล้าวาดสถานที่อื่น และไม่อาจวาดได้ วาดภาพกำแพงเมืองจีนคงไม่เผยพิรุธให้ผู้อื่นรู้กระมัง?
“ท่านอาจารย์เหวิน อาหารพร้อมแล้ว เชิญนั่งเจ้าค่ะ” มู่ซืออวี่เคารพเหวินอวี่เซวียนเป็นอย่างมาก
เขาอุทิศชีวิตให้กับเด็ก ๆ ไม่เพียงแต่ฝึนฝนความสามารถของลูกศิษย์เท่านั้น ยังสั่งสอนพวกเขาเรื่องการประพฤติตนด้วย อาจารย์เช่นนี้ควรค่าแก่การยกย่องชมเชย
“ฮูหยิน นี่คืออะไรหรือ?” เหวินอวี่เซวียนเอ่ยถาม
มู่ซืออวี่ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะเล่าที่มาของกำแพงเมืองจีนด้วยเรื่องจริงและเรื่องแต่งผสมปนเปกันไป
เหวินอวี่เซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฮูหยินรู้ว่าชายแดนของเรามีภูมิประเทศที่สูงชันหรือ?”
มู่ซืออวี่หัวเราะเจื่อน ๆ “ข้าเพียงแค่ฟังมาจากเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น”
“ถึงแม้ข้าไม่อาจกล่าวได้ว่าตนเป็นผู้ร่ำรวยความรู้ ก็พอนับได้ว่าเป็นผู้ที่อ่านมามากผู้หนึ่ง แต่กลับไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเช่นนี้ อย่างไรเสีย ยังคงต้องขอบคุณฮูหยินแล้ว”
มู่ซืออวี่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเหวินอวี่เซวียนก็พลันสับสนเล็กน้อย
นางรู้สึกคิดถึงบ้านจึงวาดรูปนี้ออกมาเพื่อรำลึกถึงบ้านเท่านั้น
ลูกหลานชาวจีนล้วนรู้สึกลึกซึ้งต่อ ‘แม่น้ำเหลืองแยงซีเกียง’ ‘กำแพงเมืองจีน’ และ ‘จัตุรัสเทียนอันเหมิน’
ทว่าเมื่อดูจากสีหน้าของเหวินอวี่เซวียนแล้ว คงไม่ได้คิดว่านางจงใจตอกย้ำเรื่องในวังกับเขากระมัง นางไม่มีความสามารถถึงขนาดห่วงใยเรื่องใหญ่หลวงในราชสำนักหรอก
“รีบทานอาหารเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้พวกท่านก็จะกลับกันแล้ว วันนี้ทานให้มากหน่อย ไม่ต้องเกรงใจข้านะเจ้าคะ”
“ยังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะร้องขอ”
“ท่านอาจารย์เชิญกล่าวมาได้เลย”
“ภาพนี้ข้าขอได้หรือไม่?”
มู่ซืออวี่ลังเลไปชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า
ทั้งเจ้าภาพและแขกล้วนดื่มด่ำกับอาหารมื้อนั้น
ฝีมือของมู่ซืออวี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝีมือของหัวหน้าพ่อครัวในภัตตาคารเหล่านั้น อีกทั้งรสชาติที่นางรังสรรค์ออกมาล้วนแปลกใหม่ ไม่เหมือนภัตตาคารที่รสชาติเหมือนเดิมทุกครั้ง
“ฉาวอวี่ ถึงแม้เจ้าจะฉลาดและหน้าตาดี ข้าก็ไม่เคยคิดอิจฉาเจ้า แต่วันนี้ข้าอิจฉาเจ้า ฝีมือของแม่เจ้าจะดีเกินไปแล้ว จนข้าอยากจะทานทุกวันเลย!” เด็กตัวอ้วนคนหนึ่งทั้งร้องไห้ไปพูดไป
คนอื่น ๆ ล้วนหัวเราะขบขัน
ลู่ฉาวอวี่มองเจ้าอ้วนน้อยที่น้ำตาน้ำมูกไหล สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
เขาดึงดูดคนอ้วนเป็นพิเศษหรือไร?
เจ้าอ้วนร้านขายเนื้อกระต่ายคนนั้นตามติดเขาแจทุกวัน ตอนนี้ยังมีมาเพิ่มอีกคนแล้ว