บทที่ 368 ข้าเพียงแค่อยากเป็นสหายกับเจ้า
บทที่ 368 ข้าเพียงแค่อยากเป็นสหายกับเจ้า
ฮั่วอวิ๋นซิ่วส่ายศีรษะ
สินค้าที่เถ้าแก่เอ่ยถึงไม่ใช่ของที่พวกนางต้องการ น่าเสียดายยิ่งนัก
เถ้าแก่ที่ขายของรู้สึกละอายใจเล็กน้อย จึงไม่ได้ออกมาทักทายอีก
ฉูเหยี่ยนเห็นดังนี้จึงตัดสินใจที่จะสร้างความดีความชอบ
“ข้ารู้จักร้านผ้าร้านหนึ่งที่เพิ่งนำสินค้าใหม่เข้ามา สินค้าชุดนี้ส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสินค้ายอดเยี่ยมที่ที่นี่ไม่มี”
“จริงหรือ?” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเอ่ยถามด้วยความดีใจ “หากหาสินค้าที่ดีเช่นนั้นได้จริง ๆ ร้านสาวทอผ้าของเราจะซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
ฉูเหยี่ยนหันกลับมามองลู่จื่ออวิ๋น “เป็นอย่างไร? เจ้าอยากไปดูหรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นรู้สึกว่าฉูเหยี่ยนผู้นี้มักจะเป็นฝ่ายเข้าหานาง ทั้งคำพูดคำจาก็ไม่ค่อยเหมาะสม ลู่ฉาวอวี่ไม่อยากให้นางใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเท่าใดนัก นางจึงไม่ค่อยกระตือรือร้นเมื่อพบฉูเหยี่ยน
เพียงแต่ตอนนี้…
ช่างเถิด เพียงแค่ไปดูเท่านั้น
“เช่นนั้นต้องขอบคุณแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
ร้านค้าผ้าที่ฉูเหยี่ยนเอ่ยถึงเพิ่งมีสินค้าชุดใหม่เข้ามาจริง ๆ ฮั่วอวิ๋นซิ่วกวาดซื้อพวกมันก่อนเจ้าของร้านจะได้ตะโกนขายเสียอีก ทั้งยังต่อรองกับอีกฝ่ายว่าหากมีสินค้าเช่นนี้เข้ามา ให้ส่งไปที่ร้านสาวทอผ้าทันที
“เจ้าติดค้างข้าเรื่องหนึ่งแล้ว เจ้าอยากจะใช้คืนหรือไม่?” ฉูเหยี่ยนเอ่ยถามลู่จื่ออวิ๋น
ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมองเขา “ท่านอยากให้ข้าใช้คืนอย่างไร?”
“พี่ชายของเจ้าเป็นหนอนหนังสือ รู้จักเพียงแต่อ่านหนังสือทั้งวัน ข้าขอให้เขาออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันเขาก็ไม่ยอม เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปเที่ยวเล่นกับข้าแทนเป็นอย่างไร!” ฉูเหยี่ยนชี้ไปยังร้านของอร่อยที่มีอยู่เกลื่อนถนน “กินดื่มเที่ยวเล่น เมืองฮู่เป่ยครึกครื้นเพียงนี้ จะทำให้โอกาสดี ๆ เสียเปล่าไปได้อย่างไร?”
“ศิษย์พี่” ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับไปมองฮั่วอวิ๋นซิ่ว
“คุณชายน้อยท่านนี้เป็นสหายของพี่ชายเจ้าไม่ใช่หรือ?” ฮั่วอวิ๋นซิ่วถามนางเสียงค่อย
ลู่จื่ออวิ๋นพยักหน้าเบา ๆ
“เขาเชื่อใจได้หรือไม่?” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเอ่ยถามอีกครั้ง
ฉูเหยี่ยนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าพวกนางคุยอะไรกัน
เมื่อได้ยินทั้งสองพูดมาถึงตรงนี้ เขาจึงหันกลับมาเอ่ยกับพวกนาง “วางใจเถอะ ข้าไม่กินคน”
ฮั่วอวิ๋นซิ่วขมวดคิ้วน้อย ๆ
คารมคมคายตั้งแต่ยังเล็กเช่นนี้ ภายหน้าเกรงว่าจะเป็นชายหนุ่มนักรักแน่ ๆ
“ไม่เป็นไร” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ที่นี่มีผู้คนขวักไขว่ไปมา อีกทั้งยังมีนักการอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านพ่อของข้าเองก็เป็นนายอำเภอ ถ้าสมองยังปกติดีคงไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหาให้ข้า”
อย่างน้อยในเมืองฮู่เป่ย นางยังคงปลอดภัย
ฮั่วอวิ๋นซิ่วรู้สึกว่าตนกังวลมากเกินไป
อย่าได้มองว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ของนางยังเด็กเชียว สติปัญญาอีกฝ่ายเยี่ยมยอดถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าท่านอาจารย์ถึงให้ความสำคัญกับนางนัก
ไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่ชายน้องสาวครอบครัวลู่เติบโตมาอย่างไร เพราะไม่เพียงแต่สมองดีเท่านั้นแต่ยังหน้าตาดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือน้องสาว ล้วนลวงคนด้วยหน้าตาไร้พิษสงมานักต่อนัก
แต่สองคนนี้ไร้พิษสงจริงหรือ?
ฮั่วอวิ๋นซิ่วพลันนึกถึงตอนที่ลู่จื่ออวิ๋นมาที่ร้านสาวทอผ้าในครั้งแรก ๆ ตอนนั้นคนเย็บปักบางคนอิจฉาลู่จื่ออวิ๋นที่กลายเป็นศิษย์คนเล็กของท่านอาจารย์ ในขณะที่พวกนางทำงานขันแข็งมานานกลับไม่เข้าตา จึงทิ่มเข็มบาง ๆ ไว้ในงานปักของจื่ออวิ๋น
ผลที่ได้คือ…
วันถัดมามีเข็มแท่งบางปรากฏในรองเท้าของตัวอิจฉาทั้งหลาย และเพราะไม่ได้ระวังตอนสวมใส่ เข็มจึงทิ่มเข้าไปที่ส้นเท้าคนเหล่านั้นทันที
เสียงกรีดร้องทำให้ทุกคนตกใจ
ขณะที่หลายคนทำตัวไม่ถูก ลู่จื่ออวิ๋นกลับถามขึ้นมาอย่างใสซื่อ ‘เจ็บหรือไม่? มือของข้าก็เจ็บแบบนี้เช่นกัน’
“คุณชายฉู หากเสร็จแล้วรบกวนท่านมาส่งศิษย์น้องหญิงด้วย” ฮั่วอวิ๋นซิ่วเอ่ย
“วางใจเถิด” ฉูเหยี่ยนโบกมือ
เมืองฮู่เป่ยพัฒนาเร็วเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าหรือการเกษตร ต่างก็พัฒนาอย่างก้าวหน้าทุกวันราวกับมีมือคอยผลักให้เติบโต แม้แต่สำนักศึกษาก็กำเนิดขึ้นใหม่หลายแห่ง มีคนยินดีส่งลูกหลานของพวกเขาเล่าเรียนเพิ่มมากขึ้น
ลู่จื่ออวิ๋นไม่ได้สนใจฉูเหยี่ยนมากนัก ฉูเหยี่ยนก็ไม่สนใจท่าทีของนางเช่นกัน พอเขาเห็นอะไรที่อยากทานก็จะลากลู่จื่ออวิ๋นไปลองชิม มองปราดเดียวก็รู้ว่าคุณชายน้อยท่านนี้ไม่รู้จักความทุกข์ยากเลย มีหลายสิ่งที่เขาซื้อมาชิมเพียงคำเดียวและไม่ทานต่อ
“เมืองฮู่เป่ยอยู่ในการปกครองของพ่อเจ้า แม้กระทั่งขอทานบนถนนยังไม่มีแม้แต่คนเดียว” ฉูเหยี่ยนเอ่ย “ข้าเดินทางมาจากเมืองหลวงจึงรู้ว่าขนาดเมืองที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดก็ยังมีขอทาน มีเพียงเมืองฮู่เป่ยเท่านั้นที่ไม่มี”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยตอบ “นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ท่านพ่อข้าเป็นขุนนางที่ดี”
“พ่อเจ้าจะเป็นขุนนางที่ดีหรือไม่นั้นยังไม่อาจตัดสินได้ แต่ตอนนี้เขาเป็นขุนนางที่ทำประโยชน์ให้กับทุกคน” เมื่อเห็นลู่จื่ออวิ๋นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ฉูเหยี่ยนจึงรีบแก้คำพูดอย่างรวดเร็ว “ข้าหมายถึง ท่านพ่อของเจ้าจะเป็นขุนนางที่ดีหรือไม่ ราษฎรย่อมรู้ดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราตัดสินเองได้ มีเพียงคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน”
“อืม”
“จริงสิ ลานหรรษาที่แม่ของเจ้าต้องการจะสร้าง จะสร้างเมื่อไหร่หรือ?”
“ไม่รู้สิ ดูเหมือนจะเป็นแผนงานใหญ่ คงไม่เสร็จภายในหนึ่งปีหรือเร็ว ๆ นี้” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นแบบที่เขียนแล้ว นางรู้ดีว่าหากสถานแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อไหร่ เมืองฮู่เป่ยย่อมรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม
แววตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวังและตั้งตารอคอย
ฉูเหยี่ยนมองแม่นางน้อยที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง
แม่นางน้อยยังเล็ก เขาเพียงต้องการปฏิบัติต่อนางเหมือนน้องสาวจริง ๆ ทว่ายามนี้ เขากลับรู้สึกว่าลู่จื่ออวิ๋นนั้นงดงามยิ่ง ภายหน้าไม่รู้ว่าเจ้าเด็กบ้านไหนจะได้แต่งงานกับนาง
เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาดื้อ ๆ
“อวิ๋นเอ๋อร์” นักการเกาเดินนำคนกลุ่มหนึ่งผ่านมา เมื่อเขาเห็นลู่จื่ออวิ๋น จึงหยุดทักทายด้วยความเอ็นดู
“ท่านลุงเกา” ลู่จื่ออวิ๋นยกยิ้มหวานให้อีกฝ่าย “กำลังทำงานหรือเจ้าคะ?”
“ใช่ ข้ากำลังทำงานอยู่” นักการเกามองฉูเหยี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ นาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางลงเล็กน้อย “อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่เพียงคนเดียว? วันนี้ไม่ต้องไปที่ร้านสาวทอผ้าหรือ?”
เด็กน้อยตัวเหม็นที่ใด กล้าพาเซียนน้อยเมืองฮู่เป่ยของเขาออกมาเที่ยวเล่น
“เดี๋ยวข้าก็จะกลับไปแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ท่านพ่อข้ายุ่งอยู่หรือไม่?”
“หมู่นี้ยุ่งเล็กน้อย รอข้าเจอเขา ข้าจะต้องให้เขากลับไปอยู่กับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของเราโดยเร็วแน่นอน” นักการเกาลูบหัวลู่จื่ออวิ๋น
ลูกสาวน่ารักเช่นนี้ เขาก็อยากมีสักคนจริง ๆ
ไม่ได้ ๆ เขาต้องทำงานให้หนักกว่านี้ เพื่อจะได้มีลูกสาวกับภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ให้เร็วที่สุด
ฉูเหยี่ยนเฝ้าดูฝ่ามือใหญ่ของนักการเกาที่ลูบศีรษะของลู่จื่ออวิ๋น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
เขาก็อยากสัมผัสเช่นกัน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดแม่นางน้อยคนนี้ ต่อผู้อื่นมักจะปฏิบัติอย่างสุภาพพร้อมกับมอบรอยยิ้มอ่อนหวานให้ แต่ทุกครั้งที่นางพบเขากลับไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
เขาทำอะไรผิดหรือ?
ตอนที่เจอกันครั้งแรก เขาตามติดนางเพราะอยากเป็นพี่ชาย หรือเพราะแบบนั้นจึงโดนเกลียดเสียแล้ว?
“ข้าเดินเป็นเพื่อนท่านแล้ว จะส่งข้ากลับแล้วใช่หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นถามฉูเหยี่ยน
ฉูเหยี่ยนเดินตามนางไปทางร้านสาวทอผ้าด้วยความไม่พอใจ
“อวิ๋นเอ๋อร์ ข้าเพียงแค่อยากเป็นสหายกับเจ้า” ฉูเหยี่ยนถอนหายใจ “เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบข้า”
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบท่าน” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยตามตรง “เพียงแต่ข้ามีเรื่องต้องทำมากมาย ยุ่งวุ่นวายทุกวัน ท่านเป็นสหายของพี่ชายข้า ข้าจะเกลียดท่านได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้เกลียดข้าจริง ๆ หรือ?” ฉูเหยี่ยนกลับมาร่าเริงแล้ว
“อืม”
“เช่นนั้นเจ้าไม่เรียกข้าพี่ใหญ่ ก็เรียกชื่อข้าเถอะ ชื่อข้าคือฉูเหยี่ยน เจ้าจำได้กระมัง”
“รู้แล้ว ฉูเหยี่ยน” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “ขอแค่ไม่ให้ข้าเรียกว่าพี่ใหญ่ก็พอ”
“เจ้าไม่อยากเรียกก็ไม่ต้องเรียกแล้ว เช่นนั้นข้าเล่นกับเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
“ข้ายุ่งมาก” ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองเขา “ท่านไม่มีเรื่องอย่างอื่นทำหรือไร?”
จู่ ๆ ฉูเหยี่ยนก็รู้สึกราวกับถูกมีดทิ่มแทง
ตั้งแต่เกิดมาเขาก็อยู่เหนือกว่าทุกคนแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนถามเขาว่า ‘ท่านไม่มีเรื่องอย่างอื่นทำหรือ?’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกราวกับตนเป็นขยะกองหนึ่ง
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอวิ๋นเอ๋อร์จึงไม่สนใจเขา ที่แท้ก็เพราะเขาไร้ประโยชน์นี่เอง