สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 410 คนจวนเจิ้นกั๋วกง

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 410 คนจวนเจิ้นกั๋วกง

บทที่ 410 คนจวนเจิ้นกั๋วกง

“ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าหาได้โง่เขลาถึงเพียงนั้นไม่” ลู่เซวียนพูด “อีกทั้งข้ายังไม่ได้มีบทบาทมากนัก ไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะมาจับตามอง”

ลู่อี้ลูบหน้าผากตัวเอง

ลู่เซวียนส่งขวดยาให้พี่ชาย

“เพื่อนของข้าให้สิ่งนี้มา ดื่มหลังจากดื่มสุราแล้วได้ผลชะงัดนัก ครั้งล่าสุดข้าก็ใช้ มันมีประโยชน์จริง ๆ” ลู่เซวียนกล่าว

“เจ้ามีเพื่อนอยู่ในเมืองหลวงด้วยหรือ?” ลู่อี้รับไป แล้วยกขึ้นดื่มหนึ่งอึก

“จวนเจิ้นกั๋วกงไม่ได้ขอให้ท่านช่วยสืบสวนคดีลักพาตัวเด็กหรือ? เหตุใดช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย?” ลู่เซวียนถาม

“พวกเขายังยุ่งกับกิจการภายในจวนจึงไม่มีเวลาตรวจสอบเรื่องนั้นในตอนนี้ ครอบครัวใหญ่เช่นนั้นเต็มไปด้วยปัญหา ข้าทำได้เพียงรอฟังข่าวว่าพวกเขาจะเริ่มสืบสวนอีกครั้งเมื่อใด”

ทุกวันนี้เหล่าข้าหลวงจากจวนเจิ้นกั๋วกง ตำหนักบูรพา และจวนจงอ๋อง ผลัดกันแวะเวียนมาหาลู่อี้ พวกเขามาหาพร้อมกับเรื่องน่าเบื่อหน่ายทุกประเภท ทำให้นายอำเภอเมืองฮู่เป่ยแทบไม่มีเวลาพักผ่อน

มู่ซืออวี่มองหาโอกาสทางธุรกิจในเมืองหลวง ความกังวลใจในตอนแรก กลับกลายเป็นการผ่อนคลายในเวลาต่อมา อีกทั้งนางยังเรียนรู้ตลาดเครื่องเรือนในเมืองหลวงระหว่างทางด้วย ถือเป็นการค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่นี่

“เนื้อย่างที่ถนนฝั่งตะวันออกอร่อยที่สุด เซาปิ่ง*[1] ที่ถนนฝั่งตะวันตกอร่อยมาก ส่วนขนมอบนั้น ร้านเก่าแก่กว่าร้อยปีในตัวเมืองนั้นมีรสชาติอร่อยแบบต้นตำรับดั้งเดิมที่สุด อีกทั้ง…”

ขณะที่มู่ซืออวี่และสาวใช้สองคนกำลังพูดคุยกันเรื่องอาหารอันโอชะในเมืองหลวง รถม้าคันหนึ่งมาจอดอยู่ที่ทางเข้าจวนลู่ จากนั้นแม่นมที่แต่งกายสวยงามผู้หนึ่งก็ลงมา

“นี่คือฮูหยินลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” แม่นมเฉินทำความเคารพ “บ่าวคือแม่นมเฉินจากจวนเจิ้นกั๋วกงเจ้าค่ะ”

“มีอะไรหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม

แม่นมเฉินกล่าวอย่างสุภาพ “ฮูหยินของพวกเราให้มาเชิญท่านเจ้าค่ะ”

“ไม่ทราบว่าฮูหยินของพวกเจ้าต้องการอะไรจากข้า?” มู่ซืออวี่ไม่เร่งรีบประจบประแจงคนจวนเจิ้นกั๋วกง

นางพูดคุยกับแม่นมเฉินอย่างใจเย็น ราวกับว่า ‘จวนของเจิ้นกั๋วกง’ ไม่ได้ต่างไปจาก ‘ร้านซาลาเปา’ ที่อยู่ข้างถนนในสายตาของนาง

“แน่นอนว่าต้องการจะขอบคุณฮูหยินลู่ ที่ช่วยชีวิตคุณชายใหญ่ของจวนเราเอาไว้เจ้าค่ะ” แม่นมเฉินตอบ “ฮูหยินลู่เป็นคนต่างถิ่น เมื่อบุรุษออกไปทำงาน ฮูหยินลู่เป็นสตรี ฮูหยินของเราจึงต้องการต้อนรับแขกให้ดีเจ้าค่ะ”

“ตกลง” มู่ซืออวี่เข้าไปในรถม้า

จื่อซูและจื่อเยวี่ยนเองก็ตามไปด้วย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าก็แล่นเข้าสู่จวนหรูหราในตัวเมืองชั้นใน

เมื่อจื่อซูเปิดม่าน มู่ซืออวี่ก็บังเอิญเห็นรถม้าที่นั่งมาแล่นเข้าทางประตูข้าง

หากเป็นคนถือเรื่องโชคลาง ย่อมต้องไม่เข้าทางประตูข้างแน่นอน แสดงว่า ‘ความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง’ ของจวนแห่งนี้มีจำกัดจริง ๆ

ทว่ามู่ซืออวี่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้

ครอบครัวใหญ่มีกฎระเบียบและปัญหามากมาย นางแค่ต้องปฏิบัติตามด้วยความสุภาพเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องจริงจังอะไรขนาดนั้น

“แม่นางเจินจู ไปบอกฮูหยินว่าฮูหยินลู่มาแล้ว” แม่นมเฉินพูดกับสาวใช้หน้าตาสะสวย

สาวใช้เหลือบมองมู่ซืออวี่แล้วพยักหน้า “โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นไม่นาน นางก็กลับมาอีกครั้งแล้วกล่าวกับมู่ซืออวี่ “ฮูหยิน โปรดมาทางนี้เจ้าค่ะ”

ผู้หญิงมากมายอยู่ในสวน ทั้งเหล่าฮูหยินของข้าหลวงที่สง่างาม และหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ยังไม่ได้แต่งงาน

มู่ซืออวี่ถูกพามาอยู่ตรงหน้าสตรีผู้หนึ่ง

สตรีนางนี้มีรูปโฉมงดงาม แม้ว่าจะแต่งตัวอลังการ ทว่านางก็ดูอ่อนโยนและอ่อนแอราวกับจะปลิวไปตามสายลม

“นี่คือฮูหยินเจิ้น ไม่ทำความเคารพหรือเจ้าคะ?” อวี้จูเอ่ยเตือน

มู่ซืออวี่ทำความเคารพ “ยินดีที่ได้พบฮูหยินเจิ้น”

คนด้านข้างกำลังซุบซิบกัน

มู่ซืออวี่ยังคงสงบนิ่ง หาได้สะทกสะท้านอะไรไม่

คนที่ชี้มาที่นางในตอนแรกจ้องมองนางอีกครั้ง

“ฮูหยินลู่ไม่จำเป็นต้องสุภาพนักหรอก โปรดนั่งลงเถิด” หลานซื่อผู้เป็นฮูหยินเจิ้นกั๋วกงกล่าว “วันนี้ข้าเชิญพี่น้องสองสามคนมาดื่มชา ข้าคิดว่าฮูหยินลู่เพิ่งมาที่เมืองหลวงและยังไม่มีสหาย จึงเชิญเจ้ามาพบปะกัน ทุกคนยังไม่เคยพบฮูหยินลู่ใช่หรือไม่? นางเพิ่งมาที่เมืองหลวงเป็นครั้งแรก พวกเจ้าคงไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็น่าจะเคยได้ยินคนที่จวนกล่าวถึงใต้เท้าลู่มาบ้าง”

“ใต้เท้าลู่เป็นผู้ปกครองเมืองฮู่เป่ย เป็นที่รักของผู้คนมากมาย ครั้งนี้ต้องขอขอบคุณใต้เท้าลู่ที่ช่วยเหลือคุณชายแห่งจวนกั๋วกงของเราไว้ได้ ไม่เช่นนั้น…”

คนที่มีตำแหน่งต่ำสุดที่อยู่ที่นี่ ยังเป็นถึงฮูหยินของขุนนางขั้นห้า นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินนายอำเภอเช่นมู่ซืออวี่ได้มางานเลี้ยงน้ำชาที่จัดใหญ่โตเช่นนี้ แน่นอนว่าทุกคนไม่คิดจะผูกสัมพันธ์กับนาง

เดิมทีมู่ซืออวี่คิดว่าอาจมีแผนการร้ายรอนางอยู่ แต่หลังจากที่นางดื่มชาเสร็จ และงานเลี้ยงน้ำชาสิ้นสุดลง ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงก็มอบของกำนัลแล้วปล่อยให้นางกลับออกมาอย่างปลอดภัย ไร้ซึ่งอันตรายใด ๆ

สาวน้อยหัวรั้นอย่างจื่อซูรู้สึกสับสน

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่เจ้าคะ?”

มู่ซืออวี่มองไปยังเครื่องประดับในกล่อง

“รูปแบบล้าสมัยเกินกว่าจะสวมใส่ ให้ข้ามาเพื่ออะไร? ช่างตระหนี่นัก!”

“หากใส่ไม่ได้ ก็ขายได้เจ้าค่ะ!” จื่อเยวี่ยนพูด “ไม่ว่าเงินจะน้อยเพียงใดก็ยังเป็นเงิน ฮูหยินจะหมิ่นเงินน้อยไม่ได้นะเจ้าคะ”

มู่ซืออวี่พูดอย่างเกียจคร้าน “ดูเหมือนว่าจื่อเยวี่ยนจะสืบทอดเรื่องความรักเงินของข้า อันว่าสีน้ำเงินมาจากต้นคราม ทว่าสีเข้มกว่าต้นครามเสียอีก*[2]”

“ฮูหยินชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังทำได้ไม่ดีพอ ต้องเรียนรู้จากฮูหยินต่อไปอีกมากเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนเขินอาย

มู่ซืออวี่ส่ายหน้า “การแสดงแย่เกินไป เจ้าพูดเกินจริง”

“ฮูหยิน ฮูหยินในจวนเจิ้นกั๋วกงแปลกนักเจ้าค่ะ” จื่อซูกล่าว “นางกล่าวถึงลูกชายคนโตราวกับว่ารู้สึกสงสารเขา แต่บ่าวกลับเห็นสีหน้ารังเกียจของนางอย่างชัดเจน”

“เช่นนั้นก็ไปถามใครสักคนมา สืบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงกับลูกชายคนโต” มู่ซืออวี่กล่าว “เมื่อสอบถามแน่ชัดแล้ว น่าจะได้รู้เจตนาของนาง”

จื่อซูลงจากรถม้า และกลับมาทันทีหลังจากสอบถามข่าว

“ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงคนปัจจุบันเป็นแม่เลี้ยงเจ้าค่ะ” จื่อซูอธิบาย “ลูกชายคนโตเป็นลูกชายของคู่สมรสเดิม กล่าวกันว่าตอนลูกชายคนโตของเจิ้นกั๋วกงหายไป นางก็เพิ่งแต่งงานเข้ามาเจ้าค่ะ”

“ไม่แปลกใจเลย” มู่ซืออวี่พูด “อีกฝ่ายเชิญข้าไป จากนั้นมอบรางวัลแก่ข้าต่อหน้าผู้คนมากมายเพื่อแสดงความขอบคุณต่อใต้เท้าลู่ของเรา นี่คือการส่งข้อความถึงทุกคนว่า ดูสิ ลูกชายคนโตกลับมาแล้ว แม่เลี้ยงเช่นข้ามีความสุขมาก ดังนั้นข้าไม่ได้ทำร้ายเขาเลย การหายตัวไปของลูกชายคนโตนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับข้า”

“ปรากฏว่าฮูหยินถูกหลอกใช้นี่เอง” จื่อซูเข้าใจ

“ไม่ถือเป็นการหลอกใช้หรอก” มู่ซืออวี่กล่าว “ก็แค่เป็นเครื่องมือเพียงครั้งเดียว เดินผ่านฉากหนึ่ง แล้วก็ได้รับรางวัล ข้าไม่ได้เสียอะไร และมันก็ไม่สำคัญเลย”

“พี่สาว” ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่มองไปยังชายหนุ่มรูปหล่อที่อยู่ตรงหน้า นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฉู่หลิงนี่นา!”

ฉู่หลิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าอยากเจอท่านมานานแล้ว แต่ออกมาไม่ได้เสียที ในที่สุดวันนี้ข้าก็ออกมาได้ พี่สาว ให้ข้าพาท่านไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวงเถิด!”

[1] เซาปิ่ง คือ เป็นขนมแป้งทอด โรยด้วยงา มีส่วนผสมจากมันเทศ

[2] สีน้ำเงินมาจากต้นคราม ทว่าสีเข้มกว่าต้นคราม อุปมาสำหรับนักเรียนที่เหนือกว่าครูหรือลูกหลานที่เหนือกว่ารุ่นก่อน

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท