บทที่ 436 หมู่บ้านหลิ่วซู่
บทที่ 436 หมู่บ้านหลิ่วซู่
โม่อู๋เว่ยนั่งอยู่บนก้อนหิน เหม่อมองภาพวิวทิวทัศน์ห่างไกลออกไปเบื้องหน้า แสงพระอาทิตย์ตกย้อมลงบนใบหน้างดงามของนางขับให้ดูละมุนละไมมากกว่าเดิม
เดิมทีนางก็เป็นหัวหน้า ‘ค่ายซวงเฟิง’ ในมือนางมีลูกน้องนับพันคอยรับคำสั่ง บัดนี้พวกเขายอมสวามิภักดิ์แล้ว เด็กหนุ่มส่วนใหญ่ล้วนแยกย้ายกันไป เหลือเพียงยอดฝีมือห้าสิบคนที่คอยติดตาม
ยอดฝีมือห้าสิบคนนี้ล้วนมีฝีมือยอดเยี่ยม พวกเขาอยู่กับนางมาหลายปี กล่าวได้ว่าเป็นคนสนิทข้างกาย แน่นอนว่าหลังจากผ่านการปล้นบ้านเรือนมานานหลายปี ย่อมเคยชินกับการไม่ทำตามกฎระเบียบ หากโม่อู๋เว่ยไม่คอยอยู่เกลี้ยกล่อม ลูกน้องเหล่านี้ย่อมก่อปัญหาขึ้นมามากมาย
“ท่านหัวหน้า การให้พวกเราตามขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหล่านั้นไปถูกต้องแล้วหรือ ท่านดูสิ ระหว่างเดินทางมาที่นี่กินก็ไม่อร่อยนอนก็ไม่สนิท มิหนำซ้ำ เวลามีปัญหาท่านยังต้องเป็นฝ่ายออกหน้าอีก พี่น้องของเราบ่นกันไม่หยุดเลยนะขอรับ!”
“รองหัวหน้า ท่านเป็นโจรมากี่ปีแล้ว?” โม่อู๋เว่ยยกจอกสุราขึ้นมากระดก
สุรานี้พวกชาวบ้านให้นางมา
การเป็นโจรต้องวิตกกังวลอยู่ทุกวัน เพราะหากพรุ่งนี้มาถึง คอของพวกเขาอาจจะไม่อยู่บนบ่าแล้วก็ได้ จึงต้องกินและดื่มให้มากที่สุด สำหรับพวกเขา สุราเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดไม่ว่ายามต้องการเพิ่มความฮึกเหิมหรือยามเศร้าโศก ทุกคนล้วนต้องดื่มสักสองสามจอก
รองหัวหน้าคิดอยู่ขณะหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ็ดปีแล้วกระมัง! ตอนนั้นท่านยังไม่ได้มาที่นี่ด้วยซ้ำ!”
“ใช่แล้ว ท่านอา ท่านเป็นโจรภูเขามาเจ็ดปีแล้ว ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าก่อนที่จะมาเป็นโจร ท่านเป็นอย่างไรเล่า?” โม่อู๋เว่ยจ้องมองหัวหน้ารอง
รองหัวหน้าโจรหวนคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ของตน “ตอนนั้น ข้าเป็นคนงานประจำในครอบครัวผู้มั่งมีครอบครัวหนึ่ง ข้าตกหลุมรักกับสาวใช้ในจวน สุดท้ายนายน้อยในตระกูลก็ข่มเหงนางแล้วรับนางไปเป็นอนุ ด้วยความโกรธแค้น ข้าจึงพลั้งมือฆ่าเขา ศาลาว่าการจะจับข้า ข้าจึงหนีมายังค่ายซวงเฟิง ติดตามหัวหน้าคนก่อนจนได้กลายเป็นโจรตราบเท่าทุกวันนี้ ข้ายังจดจำคราที่ฆ่าคนเป็นครั้งแรกได้…”
“หากท่านได้รับโอกาสให้เลือกอีกครั้ง ท่านจะฆ่าคนหรือไม่?”
เขาเงียบไปชั่วขณะ
เส้นทางชีวิตของโจรตลอดหลายปีที่ผ่านมาหาได้สวยงามอย่างที่คิดไม่
ถึงแม้จะได้ทานเนื้อหรือดื่มสุราได้ตามใจอยาก ทว่าทุกวันที่ลืมตาตื่นกลับมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า และมักจะรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตอยู่เสมอ การใช้ชีวิตเช่นนี้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก
“อาเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “อาเพียงแต่รู้สึกว่านี่ไม่เป็นธรรมต่อเจ้า เจ้าตอบตกลงที่จะสวามิภักดิ์เพราะตกหลุมรักใต้เท้าลู่ผู้นั้น ทว่าเขากลับไม่เห็นความดีของเจ้า ด้วยรูปโฉมโนมพรรณและฝีมือของเจ้า หากเจ้าแต่งกับเขา เขายังจะเสียเปรียบอีกหรือ?”
“เขารักใคร่ลึกซึ้งต่อภรรยา” โม่อู๋เว่ยกล่าว “ข้าไม่เชื่อคำพูดของบุรุษ บุรุษล้วนชมชอบคนใหม่เบื่อหน่ายคนเก่า ข้ายังเยาว์ ข้ารอได้”
ดึกดื่นค่ำคืน ในหมู่บ้านเงียบสงัด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงสุนัขเห่าหอน
แสงจันทร์คืนนี้สุกสว่าง พระจันทร์เต็มดวงแขวนอยู่กลางท้องฟ้า เพียงแต่แสงกลับอมสีแดงเลือดจาง ๆ ราวกับกำลังทำนายว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
ซูเซิ่งนำทหารคุ้มกันมามากกว่าร้อยคน คนของโม่อู๋เว่ยมีห้าสิบคน คนกลุ่มนี้รวมกันก็ปาเข้าไปเกือบสองร้อยคนแล้ว
เมื่อมีคนมากมายเพียงนี้มาค้างแรมอยู่ในหมู่บ้าน จึงทำได้เพียงเลือกบริเวณโล่งกว้าง
วันนี้ทุกคนเงียบผิดปกติ หากมิใช่เพราะยังได้ยินเสียงกรนออกมา คงคิดว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
“หลับหมดแล้วกระมัง?”
“นายท่านรองวางใจเถิด พวกมันดื่มสุราไปแล้ว ย่อมหลับใหลไม่ได้สติ พรุ่งนี้จึงจะตื่นขึ้นมา… ไม่สิ พรุ่งนี้พวกมันจะไม่ตื่นขึ้นมา”
“กำจัดพวกมันให้หมด”
“ขอรับ”
คนชุดดำกลุ่มหนึ่งลอบเข้าไปบริเวณที่ตั้งกระโจม พวกเขายกดาบสีเงินวาววับในมือขึ้น หมายจะฟันลงไปยังทหารที่นอนแน่นิ่งอยู่
เคร้ง!
เมื่อฟันดาบลงไป เสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้น ไม่อาจฟันผ่านไปได้แม้แต่น้อย
“นี่ไม่ถูกต้อง!”
เหล่าคนในชุดดำสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงพยายามหลบหนีออกไปนอกกระโจม ทว่ากลับเห็นเพียงคบไฟที่สว่างไสวขึ้นทีละดวง
เมื่อมองดู ‘คน’ ที่นอนอยู่บนพื้นเหล่านั้นก็พบว่า แท้จริงแล้วเป็นหินที่ถูกผ้าห่มคลุมไว้
ซูเซิ่งพาคนมาห้อมล้อมที่แห่งนี้ได้โดยสมบูรณ์
“พวกเจ้าพบพิรุธของพวกเราใช่หรือไม่?” ผู้ใหญ่บ้าน ไม่สิ ควรจะเป็น ‘นายท่านรอง’ มากกว่า
เขามองซูเซิ่งอย่างเยือกเย็น “ข้าคิดว่าข้าแสดงได้แนบเนียนแล้ว พวกเจ้าดูออกได้อย่างไร?”
“พวกเจ้าตบตาได้แนบเนียนจริง ๆ” โม่อู๋เว่ยเอ่ยขึ้น “แต่ค่ายซวงเฟิงของพวกเราสัมผัสกับคนมามากมายหลายประเภท บางครั้งพวกเราถึงกับต้องซุ่มโจมตีกองคาราวาน หากเป็นเรื่องเล่นละครตบตาแล้ว พวกเจ้าจะมีประสบการณ์มากกว่าพวกเราได้อย่างไร? พวกเจ้าละเลงตนเองเป็นชาวไร่ชาวนาธรรมดาทั่วไป ทว่าตุ่มพุพองบนมือกลับเผยร่องรอยความน่าสงสัยออกมา…”
“ยังมีสุราอีก…” ซูเซิ่งกล่าว “เจ้าบอกว่าหมู่บ้านพวกเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการบ่มสุรา”
“คนในหมู่บ้านหลิ่วซู่เชี่ยวชาญการบ่มสุราจริง ๆ อีกทั้งสุราเหล่านี้ล้วนหาพบในหมู่บ้าน แล้วมีช่องโหว่อันใด?” นายท่านรองเอ่ยถาม
“สุรานั้นเป็นสุราชั้นดี ทว่าตอนที่คนของพวกเจ้านำมันเข้ามา กลับพยายามทำลายที่ปิดผนึกบนนั้น ดูแล้วเงอะงะเป็นอย่างยิ่ง ราวกับไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้บ่อย ๆ ในเมื่อเชี่ยวชาญการบ่มสุรา เช่นนั้นตอนเปิดสุราก็ควรจะคล่องแคล่วและจัดการกับที่ปิดผนึกบนนั้นได้เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ?” ซูเซิ่งตอบ
“ไหนจะรสชาติ…” ลู่อี้อธิบายต่อ “รสชาติของสุราไม่ถูกต้อง เดิมทีเจ้าเลือกวางยาที่ไร้สีไร้รส แต่เจ้าคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อผสมยานั้นกับสุราจะทำให้มีรสชาติเด่นชัดเพียงนี้ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป เจ้าอาจจะคิดว่าสุรานั้นรสชาติไม่ดี ทว่าข้าตรวจสอบคดีมามากมาย ย่อมเคยพบยาชนิดนี้ และรู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร”
“เดิมทีคิดว่าไร้ข้อผิดพลาดแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีข้อผิดพลาดมากมายเพียงนี้” นายท่านรองกล่าว “ข้าตกอยู่ในกำมือของพวกเจ้าแล้ว ไม่มีอันใดจะแก้ตัว อยากจะฆ่าแกงกันอย่างไรก็แล้วแต่พวกเจ้า”
“หากยอมบอกความจริง ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจ บางทีอาจยอมปล่อยพวกเจ้าไปก็ได้” โม่อู๋เว่ยกล่าว
“แม่หญิงโม่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าคิดว่าเจ้าตัดสินใจแทนทางการได้? หรือเจ้าคิดว่าหากเป็นสุนัขรับใช้ทางการแล้ว พวกเขาจะเห็นพวกเจ้าเป็นฝ่ายเดียวกันจริง ๆ?” นายท่านรองเย้ยหยัน
“ดูเหมือนจะยังมีผู้สมคบคิด” โม่อู๋เว่ยเอ่ย “ในเมื่อมีผู้สมคบคิด เช่นนั้นก็ควรได้ยินชื่อข้า โม่อู๋เว่ย คนของทางการอาจให้ความสำคัญกับงานของพวกเขา ทว่าข้าไม่ใช่”
“หยุดพูดจาไร้สาระ จะฆ่าก็ฆ่า” นายท่านรองหลับตาลงราวกับรอคอยความตาย
“จับพวกเขาส่งให้กับทางการ คุมตัวคนเหล่านี้กลับไปยังเมืองหลวง จากนั้นก็ส่งตัวไปที่คุกของกรมอาญาเพื่อไต่สวน” ซูเซิ่งกล่าว “การบรรเทาทุกข์เป็นเรื่องสำคัญ แต่กลับมีคนสร้างความวุ่นวาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ต้องรายงานไปยังราชสำนักและส่งให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสิน”
“ข้ามีความคิดแตกต่างออกไป” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ข้างหน้าเป็นเขตอำนาจของเมืองฮู่เป่ย พวกเราไต่สวนอยู่ที่นั่นก่อนได้ จากนั้นค่อยนำตัวนายท่านรองผู้นี้กลับไปยังเมืองหลวง ส่วนคนอื่น ๆ ให้อยู่ในคุกเมืองฮู่เป่ยรอฟังคำตัดสิน พวกเขามีหลายสิบคน เส้นทางกลับไปยังเมืองหลวงไม่รู้ว่าจะพบเจอปัญหาใดหรือไม่ หากพวกเขาถูกชิงตัวไปได้ เช่นนั้นไม่ว่าอะไรล้วนไต่สวนไม่ได้แล้ว”
“ฟังใต้เท้าลู่เถิด” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “ที่เหลือพวกเจ้าจัดการซะ ข้าจะกลับไปนอนแล้ว”
โม่อู๋เว่ยขมวดคิ้ว ปากก็พร่ำบ่น “ท่านอ๋องผู้นี้มาทำอะไรที่นี่?”
“อย่าได้ดูถูกท่านอ๋อง เขามีประโยชน์มาก” ลู่อี้เอ่ยนิ่ง ๆ “มีเขาอยู่ ผู้ใดจะกล้าก่อการอุกอาจระหว่างทาง?”
อย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินท่านอ๋องโหดเหี้ยมที่กล่าวว่าจะฆ่าคนก็ฆ่าจริง ๆ ผู้นี้