บทที่ 497 ถอนหมั้นไม่ได้
บทที่ 497 ถอนหมั้นไม่ได้
ฮูหยินฉู่กั๋วกงถอดเสื้อผ้าให้ฉู่กั๋วกง หลังจากถอดกวานหยกบนศีรษะของเขาแล้ว จึงนั่งลงถอดรองเท้าให้
เมื่อฉู่กั๋วกงนอนลงบนเตียงแล้ว ฮู่หยินฉู่กั๋วกงจึงบีบนวดไหล่คลายความเมื่อยล้าให้เขา
“ท่านกั๋วกง ที่ท่านเอ่ยกับลูกเมื่อครู่นี้เพียงล้อเล่นกระมัง?” ฮูหยินฉู่กั๋วกงเอ่ยถาม
“ยามนี้ นับวันฝ่าบาทยิ่งไม่พอใจงานที่ข้าทำเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจวนกั๋วกงของเราคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว” ฉู่กั๋วกงเอ่ย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จูเอ๋อร์ยิ่งต้องแต่งเข้าจวนเฝินหยางอ๋อง หากพวกเราเป็นญาติจากการแต่งงานกับเฝินหยางอ๋อง อย่างน้อยเขาอาจช่วยพูดให้พวกเราได้” ฮูหยินฉู่กั๋วกงเอ่ย “ท่านจะบอกให้ลูกถอนหมั้นได้อย่างไร?”
“นางไม่อยากแต่ง พวกเรายังจะบังคับให้นางคำนับฟ้าดินได้หรือ?” ฉู่กั๋วกงเอ่ย “คราก่อนนางหนีออกจากบ้าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“จู๋เอ๋อร์ถูกพวกเราปกป้องมากเกินไป จึงไม่เข้าใจความยากลำบากของโลกใบนี้ พรุ่งนี้ข้าจะพูดกับนาง นางจะต้องเข้าใจสิ่งที่พวกเราพยายาม” ฮูหยินฉู่กั๋วกงเอ่ย “ฝ่าบาทนับวันยิ่งหวาดระแวง ไม่เพียงจวนฉู่กั๋วกงเท่านั้นที่ต้องระวัง แม้กระทั่งเหล่าองค์ชายล้วนต้องหลบซ่อน เพียงเพราะกลัวเขา…”
“ระวังหน่อย ถ้อยคำเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าและข้าควรพูดหรือ?” ฉู่กั๋วกงเอ่ยด้วยความโมโห “หากคำพูดเหล่านี้เล่าลือออกไป นั่นคือโทษประหารเก้าชั่วโคตร”
ฉู่หนิงจูพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า หวังว่าฟ้าจะสว่างเร็วขึ้นอีกหน่อย จะได้สะสางปัญหาที่คั่งค้างมาเป็นเวลานานให้จบสิ้น
เพิ่งจะรุ่งสาง นางก็ลงมาจากเตียงแล้ว
“คุณหนู ท่านไม่ได้นอนหลับทั้งคืนเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” มู่จิ่นที่กำลังแต่งตัวให้เห็นรอยคล้ำใต้ตานางจึงเอ่ยขึ้น
“อืม” ฉู่หนิงจูเบิกตากว้างเมื่อเห็นตนเองในกระจก “ข้าไม่ง่วงน่ะ”
มู่จิ่นรู้ว่าผู้เป็นนายกำลังจะทำอะไร เห็นอีกฝ่ายกระวนกระวายเช่นนี้จึงหวีผมแล้วทำมวยที่ง่ายที่สุดให้ ก่อนจะเลือกชุดเรียบ ๆ และทาใบหน้าผู้เป็นนายให้ขาวกระจ่างกว่าเดิม
ฉู่หนิงจูเข้ามาในห้องครัว ทำรังนกตุ๋นน้ำตาลกรวดด้วยตนเอง ก่อนจะยกไปที่เรือนหลักของฉู่กั๋วกงและฮูหยินเอก
ตอนนี้ยังเช้าเกินไป ขนาดบ่าวรับใช้ที่ต้องลุกขึ้นมาทำงานจิปาถะยังไม่มี ทั่วทั้งจวนฉู่กั๋วกงเงียบสงบ มีเพียงเสียงเดินของนายบ่าวเท่านั้น
“ท่านกั๋วกง ฮูหยิน คุณหนูนั่งรออยู่ด้านนอกสักพักแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายฮูหยินฉู่กั๋วกงเอ่ยขึ้น
ฮูหยินฉู่กั๋วกงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สามี เมื่อได้ยินคำพูดของสาวใช้จึงเอ่ยถาม “เช้าตรู่เช่นนี้ นางมีเรื่องอันใด?”
ฉู่กั๋วกงถอนหายใจเบา ๆ “จะมีเรื่องอะไรได้? คงร้อนใจที่จะถอนหมั้น ถึงได้มาพบข้าตั้งแต่เช้าตรู่ นางอยากให้เรื่องนี้จบสิ้นเสียทีกระมัง”
“ไม่ได้ หากเราถอนหมั้นตอนนี้ เฝินหยางอ๋องจะปล่อยพวกเราไปหรือ? สถานการณ์ของเราย่ำแย่มาก แล้วยัง…” ฮูหยินฉู่กั๋วกงเอ่ย “ท่านไปท้องพระโรงก่อนเถอะ ข้าจะคุยกับนางให้ปล่อยวางความคิดนี้เสีย”
“นางขวางประตูตั้งแต่เช้าเช่นนี้ หากข้าไม่ให้คำอธิบาย นางคงมิยอมแพ้ เจ้าไปเรียกนางเข้ามา” ฉู่กั๋วกงขยับสายคาดเอวของตน
ฉู่หนิงจูถือรังนกเข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่เป็นรังนกที่ลูกทำด้วยตัวเอง พวกท่านลองชิมดู” ฉู่หนิงจูเอ่ยด้วยท่าทีว่านอนสอนง่าย
ฮูหยินฉู่กั๋วกงถอนหายใจเบา ๆ “เจ้ากตัญญูรู้คุณเช่นนี้แม่ควรยินดี แต่เจ้ามารออยู่ที่นี่ คิดว่าคงไม่ใช่เพื่อแสดงความกตัญญูอย่างเดียวกระมัง หากเจ้ามีอะไรจะกล่าว เจ้าก็กล่าวออกมาเถอะ”
ฉู่หนิงจูอดทนมาทั้งคืน บัดนี้นางอยากจบเรื่องราวลงแล้ว แน่นอนว่านางย่อมไม่กระมิดกระเมี้ยนและเอ่ยความตั้งใจของตนออกมาตามตรง
“ข้าอยากถอนหมั้นวันนี้”
“ไม่ได้” ฮูหยินฉู่กั๋วกงปฏิเสธทันควัน
“เพราะเหตุใด?” ฉู่หนิงจูขมวดคิ้ว “เมื่อวานนี้ท่านพ่อกล่าววว่าข้าไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงอยากให้ข้าแต่งงานกับบุรุษเช่นนั้นในเมื่อข้าไม่ต้องการ? ข้าเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของท่านใช่หรือไม่? หากข้าไม่มีความสุขแล้วจะมีผลดีอันใดต่อท่าน เหตุใดต้องขัดขวางข้าอยู่เรื่อย?”
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าพูดกับแม่เช่นนี้?” ฉู่กั๋วกงเกรี้ยวกราด
“ข้า…” ฉู่หนิงจูพลันเกิดความคับข้องใจขึ้นมา “เมื่อวานนี้พวกท่านรับปากข้าแล้ว วันนี้กลับเปลี่ยนใจ ท่านอ๋องน้อยจวินผู้นั้นอาศัยวาสนาจากบรรพบุรุษ แต่เขากลับเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่ง”
“จูเอ๋อร์ พ่อจะบอกความจริงกับเจ้า!”
ฉู่กั๋วกงบอกให้นางนั่งลง
สาวใช้หลายคนที่อยู่ในห้องถอยออกไป เหลือไว้เพียงผู้เป็นนายทั้งสาม
ฉู่กั๋วกงไม่คิดปิดบังอะไรอีกต่อไป เขาเล่าสถานการณ์ของจวนกั๋วกงให้บุตรสาวฟัง
“ท่านพ่อ ท่านซื่อสัตว์กับฝ่าบาทเพียงนี้ เหตุใดเขาต้องระแวงจวนฉู่กั๋วกงด้วยเล่า?” ฉู่หนิงจูไม่เข้าใจ
“เจ้าเป็นสตรีย่อมไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก มีคำกล่าวว่าที่ว่า ‘หากกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่ตายไม่ได้’ แล้วฝ่าบาทยังต้องมีเหตุผลที่จะหวาดระแวงฉู่กั๋วกงด้วยหรือ? บางทีอาจเป็นเพราะฝันร้าย หรือบางทีอาจเป็นเพราะฉุกคิดขึ้นมา ตอนนี้เขาเห็นจวนฉู่กั๋วกงไม่เข้าตา ข้าไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงหลบซ่อน จำยอม หากเจ้าแต่งกับจวนเฝินหยางอ๋อง อย่างน้อยพวกเขาก็ยังพอเอ่ยปากช่วยคำสองคำได้”
“ดังนั้น ข้าจึงไม่อาจถอนหมั้น?”
“ตอนนี้ยังไม่ได้”
ฉู่หนิงจูเดินออกจากห้องไปด้วยความผิดหวัง
“คุณหนู” มู่จิ่นพยุงนางเอาไว้ “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
นางไม่ได้นอนมาทั้งคืน บัดนี้ยังถูกความจริงตีแสกหน้า ใบหน้าของนางขาวซีดยิ่งกว่าเดิมแม้ไม่ได้ใช้เครื่องประทินผิวใด ๆ
ขณะที่ฉู่หนิงจูกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น มู่จิ่นก็เขย่านาง
“คุณหนู จวนเฝินหยางอ๋องส่งแม่สื่อมามอบสินสอดแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงจูรีบลุกขึ้น “มามอบสินสอดแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ เพียงแค่มาส่งสินสอดและกล่าวว่าได้ฤกษ์แต่งงานแล้ว” มู่จิ่นเอ่ย “หากรับของหมั้นของพวกเขา ได้ฤกษ์แต่งงาน เช่นนั้นจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ”
ฉู่หนิงจูลุกจากเตียง คว้าเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาสวม จัดระเบียบให้เรียบร้อยแล้วพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว
“คุณหนู ฮูหยินสั่งไว้ ท่านไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะเจ้าคะ” เหล่ามามานำบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งมาเฝ้าอยู่ข้างนอก ทันทีที่ฉู่หนิงจูก้าวออกมาก็ถูกขวางทางอย่างรวดเร็ว
ณ เรือนลู่เซวียน เขาเลิกขากางเกงขึ้น มองดูขาที่ได้รับบาดเจ็บ รอยแผลเป็นที่น่ากลัวนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
“นายท่านรองวางใจเถิด รอยแผลเป็นจะต้องเลือนหายไปอย่างแน่นอน” จือเชียนเอ่ยจากด้านข้าง “ท่านลองเดินดูเถิด จะได้รู้ว่ามีผลข้างเคียงเวลาเดินหรือไม่”
ลู่เซวียนเดินไปสองสามก้าว “ยังเจ็บเล็กน้อย แต่นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรร้ายแรง”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง” จือเชียนเอ่ย “หากไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว อีกสองสามวันก็เข้าไปรับตำแหน่งที่กรมคลังเถอะขอรับ!”
“กรมคลัง? ข้าไม่ได้หูฝาดไปกระมัง?” ลู่เซวียนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“กรมคลังขอรับ” จือเชียนเอ่ย “ที่นั่นมีตำแหน่งว่างตำแหน่งหนึ่งพอดี”
“พี่ใหญ่ช่างมือยาวเหลือเกิน! นึกไม่ถึงว่าจะเอื้อมไปถึงกรมคลังแล้ว” ลู่เซวียนเอ่ย “ดูเหมือนในโชคร้ายของข้าจะยังมีความโชคดีแฝงอยู่”
เดิมทีเขาเพียงอยู่ในตำแหน่งคนว่างงานคนหนึ่ง บัดนี้กลับได้โยกย้ายไปที่กรมคลัง เขาไม่ใช่คนว่างงานอีกต่อไปแล้ว
หลังจากจือเชียนไปแล้ว ลู่เซวียนก็ให้กู้อีเตาไปเดินเล่นเป็นเพื่อน หมู่นี้เขาเบื่อหน่ายจึงเขียนบทละครพื้นบ้านขึ้นมาสองสามเรื่องเพื่อฆ่าเวลา
“ได้ยินว่าเฝินหยางอ๋องพาแม่สื่อไปส่งสินสอดที่จวนฉู่กั๋วกงแล้ว
ลู่เซวียนได้ยินคำพูดของคนที่ผ่านไปก็พลันขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าจะทำอะไร? ปล่อยข้านะ!”
เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของสตรีดังขัดจังหวะความคิดของลู่เซวียน
เขาหันกลับไปมอง เห็นชายผู้หนึ่งกำลังถอดกำไลทองจากสตรีนางนั้น ทั้งสองคนสู้กันบนถนน
เขาเหลือบมองกู้อีเตา
กู้อี้เตาเข้าใจและรีบรุดไปจัดการทันที