บทที่ 519 ถูกคนโยนออกไปแล้ว
บทที่ 519 ถูกคนโยนออกไปแล้ว
นักฆ่าเห็นฉีเซียวโผล่มา จึงทะยานขึ้นฟ้าพยายามหลบหนี
ทว่าฉีเซียวเป็นผู้ใด?
เขาจะมอบโอกาสนี้ให้หรือ?
หลังจากสู้รบปรบมือกันหลายกระบวนท่า นักฆ่าที่ทำให้ฟ้าตกตะลึงเมื่อครู่ก็ถูกฉีเซียวทุ่มลงกับพื้น กระบี่ของเขาพาดอยู่บนคอคนผู้นั้น
“นำตัวไป”
ฉีเซียวหักกรามของนักฆ่าคนนั้น ไม่เหลือโอกาสให้ได้กัดลิ้นหรือกลืนยาพิษอีก จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำตัวอีกฝ่ายไป
ส่วนนักฆ่าคนอื่น ๆ นั้น ขอแค่เพียงยังมีชีวิต พวกเขาล้วนถูกนำตัวไปทั้งหมดแล้ว
“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” ฉีเซียวเอ่ยถามมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่”
“ข้าจะให้คนพาท่านกลับไป” ฉีเซียวเอ่ยนิ่ง ๆ “ฮูหยิน ระหว่างนี้ได้โปรดอย่าเพ่นพ่านไปมา อย่างไรเสียครั้งหน้าอาจไม่โชคดีเช่นนี้”
ลูกพลับนิ่มนั้นบีบได้ง่าย คนที่อยู่เบื้องหลังไม่อาจจัดการเขากับลู่อี้ได้ จึงคิดจะใช้มู่ซืออวี่เป็นข้อต่อรอง ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ของนางจึงอันตรายอย่างยิ่ง
ลู่อี้กำลังเขียนหนังสือรายงานคดีอยู่ที่ว่าการอำเภอ เมื่อได้ยินว่ามู่ซืออวี่เกือบจะถูกนักฆ่าจับตัวไปแล้ว จึงรีบรุดไปพบนาง
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ” มู่ซืออวี่หมุนตัวหนึ่งรอบ “ต้องขอบคุณใต้เท้าฉี ข้าถึงได้ไม่ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ลู่อี้คว้าแขนนางไว้ “ระยะนี้เจ้าติดตามข้าดีกว่า ข้าไม่อาจปล่อยเจ้าเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วได้อีกแล้ว”
คดีนี้เป็นคดีที่หน่วยลับรับผิดชอบ ทว่าลู่อี้ในฐานะผู้มีส่วนร่วมไม่ได้หลบหลีก เขาไต่สวนคดีนี้ไปพร้อมกับฉีเซียว
มู่ซืออวี่และลู่อี้ตัวติดกันไม่ห่าง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นประจักษ์พยานในการสำเร็จโทษนักฆ่า
หน่วยลับช่างชวนให้หวาดผวาจริง ๆ
เครื่องมือทรมานเหล่านั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด ทว่าพวกเขากลับไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย
มู่ซืออวี่ไม่มีความสงสัยใด ๆ ในการกระทำของหน่วยลับ เพียงแต่นางไม่อาจทนมองฉากนองเลือดเช่นนั้นได้จึงรออยู่ข้างนอก ไม่พุ่งความสนใจไปที่เลือดในคุกอีกต่อไป
จากนั้นก็เกิดการจับกุมมากมายตามมา
เมืองที่เดิมทีสงบสุข บัดนี้ราวกับถูกหม้อน้ำเดือดราดรดลงไป ผู้คนขวัญกระเจิง กลัวว่ามหันตภัยร้ายจะหล่นลงบนหัวตนในลมหายใจถัดไป
“ฮูหยินลู่” คุณหนูเฉาเดินเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม “พวกเราไปเล่นไพ่นกกระจอกกันเถอะ!”
มู่ซืออวี่เสียบกิ่งดอกเหมยลงไปในแจกัน นางส่ายหัวเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ละ คุณหนูเฉาไม่ต้องห่วงข้า พวกท่านไปเล่นเถอะ”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เล่นแล้ว” คุณหนูเฉานั่งลงตรงข้ามนาง “เดิมทีท่านเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา หากท่านไม่เล่น พวกเราเล่นไปก็ไม่มีความหมาย”
มู่ซืออวี่เลิกคิ้วมองคุณหนูเฉา
เมื่อไม่กี่วันก่อนนางกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ดูไม่เหมือน ‘คนไม่สนโลก’ แม้แต่น้อย วันนี้นางดูไม่ค่อยปกตินัก บางทีอาจมีเรื่องบางอย่างจึงมาหา
ในใจของมู่ซืออวี่ว้าวุ่นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ทว่าสีหน้าของนางดูเหมือนยามปกติ ไม่อาจมองความคิดของนางออกแม้แต่น้อย
นางกับคุณหนูเฉาผู้นี้มีมิตรภาพเพียงผิวเผิน หากใช้ถ้อยคำยุคปัจจุบันนิยามคงเป็น ‘มิตรภาพพลาสติก’ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกระตือรือร้นต่อนางเพียงนั้น
“ฮูหยินลู่ ท่านพ่อข้ากล่าวว่าใต้เท้าลู่เป็นขุนนางจากศาลต้าหลี่”
“ใช่”
“เช่นนั้นพวกท่านแต่งงานนานแล้วหรือยัง?”
มู่ซืออวี่ชะงักมือที่กำลังจัดดอกไม้
นางเงยหน้ามองคุณหนูเฉา จากนั้นปรับเปลี่ยนตำแหน่งของกิ่งดอกเหมยใหม่ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “สิบกว่าปี ลูกคนโตของเราอายุสิบกว่าปีแล้ว”
“พวกท่านสองสามีภรรยามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจริง ๆ” คุณหนูเฉาก้มหน้าลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “เช่นนั้น… ใต้เท้าฉีมีฮูหยินหรือไม่?”
มู่ซืออวี่ “…”
ที่แท้นางมาเพราะฉีเซียว
อย่างไรก็ตาม มู่ซืออวี่ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับฉีเซียวเลย เกรงว่าจะช่วยนางไม่ได้แล้ว
ทว่าสำหรับบุตรสาวสกุลผู้มั่งมีคนหนึ่งคงยากยิ่งนัก เมื่อจะถามถึงบุรุษที่นางพึงใจ ถึงได้อ้อมค้อมวกวนไปมาเช่นนี้ อีกฝ่ายเกือบทำให้นางคิดว่าตนมีศัตรูความรักเพิ่มขึ้นอีกคนเสียแล้ว
คุณหนูเฉาผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก ชอบผู้ใดไม่ชอบ หากนางตกหลุมรักลู่อี้ มู่ซืออวี่คงไม่รู้สึกว่าแปลกนัก แต่นางกลับไปตกหลุมรักฉีเซียว ยังไม่ต้องกล่าวถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากของฉีเซียวว่าเป็นอย่างไร เพียงแค่จิตสังหารรอบกายและดวงตาเยือกเย็นภายใต้หน้ากากคู่นั้น อีกทั้งกระบี่ที่เสียบอยู่ข้างเอวซึ่งฉาบประกายไปด้วยโลหิต สตรีธรรมดาทั่วไปคงไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องเขาด้วยซ้ำ
“ใต้เท้าฉีมาจากหน่วยลับ สามีของข้าเพิ่งได้รู้จักกับเขาไม่นาน ข้าเป็นเพียงสตรีเรือนหลังผู้หนึ่งจึงไม่รู้จักแม้กระทั่งสถานการณ์ของเขา”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” คุณหนูเฉาก้มหน้าลง
นายอำเภอเฉาสาวเท้าไปที่ห้องตำรา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ปลัดอำเภอที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าอย่าได้ตระหนกไป ถึงแม้คดีจะเกิดขึ้นที่นี่ แต่ก็ไม่แน่ว่าเรื่องนี้จะโทษท่าน”
“พูดน่ะง่าย!” นายอำเภอเฉาร้อนอกร้อนใจจนน้ำลายแทบฟูมปาก “หลอมเงินปลอม! นี่เป็นโทษประหารเชียวนะ ในฐานะนายอำเภอ หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นภายใต้การปกครองของข้า ตัดหัวข้าเป็นเพียงเรื่องเล็ก ทว่าหากข้าต้องรับผิดชอบ เกรงว่าทั้งสกุลคงมิอาจหลบหนีพ้น”
“ระหว่างนี้ใต้เท้าให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบของพวกเขาเป็นอย่างดี ช่วยเหลืองานไม่น้อย พวกเรามาคิดหาวิธีเอ่ยคำพูดดี ๆ กับใต้เท้าฉี แล้วทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กเถิด”
“ที่นี่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ชื่อเสียงของหน่วยลับนั้น ผู้ใดบ้างไม่เคยได้ยิน? เจ้าคิดว่าใต้เท้าฉีผู้นั้นดูเป็นคนมีความอดทนหรือไร?”
“ใต้เท้าลู่ผู้นั้นดูเป็นคนมีน้ำใจ ไม่ใช่ว่าเขาพาฮูหยินมาด้วยหรือ? หมู่นี้ฮูหยินและคุณหนูของพวกเราถูกคอกับฮูหยินลู่ผู้นั้น เราไปขอร้องให้นางช่วยพูดดีหรือไม่”
นายอำเภอเฉากังวลว่าเรื่องนี้จะกระทบกับตน เรื่องเช่นนี้สองสามปีจึงจะเกิดขึ้นสักหน ทว่าครานี้จู่ ๆ เคราะห์ร้ายก็เข้ามาทักทายเขาเสียได้
เขาปรึกษาหารือกับปลัดอำเภอเป็นเวลาหลายชั่วยาม ทว่ายังนึกหาทางออกไม่เจอ แต่กลับรุ่มร้อนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แทน ขณะที่กำลังนอนพักผ่อนยามค่ำคืน เขาก็เอ่ยถึงเรื่องนี้กับฮูหยินนายอำเภอ
“ท่านว่าลูกสาวของเราเป็นอย่างไร?” ฮูหยินเฉาเอ่ยถามสามี
ใต้เท้าเฉาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“ข้าคิดว่าใต้เท้าฉีผู้นั้นเป็นคนโปรดข้างกายฝ่าบาท ถึงแม้ตำแหน่งขุนนางของท่านจะไม่ใหญ่โต ทว่าอย่างไรเสีย ลูกสาวของเราก็ยังคงเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง หากให้นางเป็นอนุก็นับว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร…”
“ฮูหยิน…” เสียงร้องห่มร้องไห้ของสาวใช้ดังขึ้นมาจากข้างนอก “คุณหนู… คุณหนูถูกใต้เท้าฉีโยนออกมา ได้รับบาดเจ็บสาหัสเจ้าค่ะ”
รถม้าโงนเงนไปมา มู่ซืออวี่นั่งอยู่ในรถม้า นางเปิดผ้าม่านขึ้นมองดูชายหนุ่มที่กำลังขี่ม้าอยู่ด้านนอก
“ใต้เท้าฉีหล่อมากนักหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม
มู่ซืออวี่แสดงสีหน้าพิลึกพิลั่นออกมา “ใต้เท้าฉีผู้นี้ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย ข้าได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่าคุณหนูเฉาซี่โครงหักไปสองซี่”
ฉีเซียวมองไปทางรถม้า
มู่ซืออวี่รีบปล่อยผ้าม่านลงโดยเร็ว ซุกซบอยู่ในอ้อมแขนของลู่อี้ด้วยความตกใจ ทั้งยังเอ่ยพึมพำ “น่ากลัวจริง ๆ”
ลู่อี้โอบรอบเอวนางแล้วกระซิบข้างหู “อย่าได้มองบุรุษอื่น”
“พวกเรารีบร้อนกลับเมืองหลวงเร็วเช่นนี้ คดีจบแล้วหรือ?”
“ใกล้จบแล้ว” ลู่อี้ตอบ “สิ่งที่ควรพบก็พบเกือบทั้งหมดแล้ว ส่วนสิ่งที่ไม่ควรตรวจสอบก็ปล่อยไว้เช่นนั้น”
“ในที่สุดก็ได้กลับเสียที” มู่ซืออวี่เอ่ย “เผลอ ๆ พวกเราก็อยู่ที่นี่มากกว่ายี่สิบวันแล้ว”
“ใต้เท้า…” เฉินหลิ่งควบม้ากลับมา “ข้าน้อยส่งคนไปสำรวจด้านหน้าแล้ว ข้างหน้ามีหุบเขา ต้องผ่านหุบเขานี้ถึงจะไปยังที่ต่อไปได้ขอรับ”
“ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ผ่านหุบเขานี้มาก่อน” ฉีเซียวเอ่ยขึ้น
“ขอรับ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าถูกกีดขวางหรือ? พวกเราจึงอ้อมไป” เฉินหลิ่งตอบ
“ครานี้พวกเราก็ใช้เส้นทางเดียวกัน” ฉีเซียวกล่าว “สั่งลูกน้องเจ้าให้จับตาดูนักโทษสองคนนั้นเอาไว้ ข้าไม่อนุญาตให้พวกเขาตาย และไม่อาจให้มีคนเข้าใกล้พวกเขาได้เป็นอันขาด”
“ใต้เท้าฉี…” ลู่อี้โผล่หัวออกมาจากรถม้า “ข้ามีคำพูดสองสามคำจะเอ่ยกับท่านตามลำพัง”