บทที่ 561 นางล้ำค่ายิ่ง
บทที่ 561 นางล้ำค่ายิ่ง
ณ จวนหยาง ลู่จื่ออวิ๋นมองผ้าห่มและหมอนที่ถูกปาออกมา ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
“คุณหนูหยาง ท่านไม่ชอบหมอนและผ้าห่มที่หอซือเป่าเราทำหรือ?”
ดรุณีน้อยคนหนึ่งเดินออกมา
ดรุณีน้อยคนนั้นแต่งกายงดงามหรูหรา ใบหน้าที่เรียกได้ว่าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส “หอซือเป่าของพวกเจ้านับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ของที่ทำนี่ใช้ได้หรือ?”
“นับตั้งแต่เนื้อผ้าไปจนถึงลวดลาย ล้วนผ่านการตรวจสอบจากจวนท่านแล้ว พวกเราจึงได้เริ่มลงมือทำ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ไม่รู้ว่ามีที่ใดไม่ตรงใจคุณหนูหยางหรือ?”
“ไม่ว่าที่ใดข้าก็ไม่ชอบทั้งสิ้น” หยางอีเหรินมองใบหน้างดงามประณีตของลู่จื่ออวิ๋น สายตาของนางเต็มไปด้วยความอิจฉา
“น่าเสียดายเสียจริง” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ระหว่างที่ทำสิ่งนี้ หญิงเย็บปักของพวกเราต่างอวยพรให้คุณหนูหยางและเซวียนอ๋อง ทุกฝีเข็มที่ปักลงไปล้วนเต็มไปด้วยความยินดี เหล่าหญิงเย็บปักของพวกเรายังกล่าวว่า มีเพียงผ้าห่มที่ใช้ในงานแต่งที่ทำด้วยคำอวยพรเท่านั้น ถึงจะทำให้คู่บ่าวสาวได้อยู่กันจนแก่เฒ่า ให้กำเนิดลูกหลานเต็มบ้าน บัดนี้คุณหนูหยางไม่ชอบมัน เช่นนั้น คงไร้ทางเลือกและต้องเผาทิ้ง อย่างไรเสียหอซือเป่าของพวกเราก็เอากลับไปขายให้คนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเผาไปจะเป็นอันใดกับท่านหรือไม่… คงไม่มีอะไรกระมัง คุณหนูหยางอย่าได้ถือสา อย่างไรก็ต้องจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน ไม่ได้อัปมงคลอันใดหรอก”
“เผาหรือ?” หยางอีเหรินเผยสีหน้าไม่น่ามองออกมา “ทำเช่นนั้นไม่ได้!”
“หากคุณหนูหยางไม่ชอบ ของเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นของท่าน เหตุใดหอซือเป่าจะเผาไม่ได้? เพียงต้องจ่ายค่าปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรเพราะข้ามีเงิน”
“ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบ ของนี้ก็ไม่อาจเผาได้” หยางอีเหรินเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “เงินมากน้อยเพียงใด?”
“คุณหนูหยางหมายความว่า….”
“ของเหล่านี้ราคามากน้อยเพียงใด?”
“คุณหนูหยางต้องการซื้อพวกมันหรือ? แต่คุณหนูหยางไม่ชอบมันไม่ใช่หรือ? อันที่จริงแล้วคุณหนูหยางไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเอง หากไม่ชอบก็คือไม่ชอบ พวกเราจะจัดการให้ดีเอง”
“หยุดพูดพล่ามได้แล้ว!” หยางอีเหรินจ้องนางตาเขม็ง
“เช่นนั้นก็เอาเถอะ ในเมื่อคุณหนูหยางยืนกรานเช่นนั้น พวกเราก็ทำได้เพียงทำตามอย่างเคารพแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ห้าพันตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
สาวใช้ข้างกายนางเอ่ยว่า “คุณหนู ราคาเดิมที่ตกลงไว้ เห็นได้ชัดว่าสี่พันตำลึงเงินนะเจ้าคะ”
“ในฐานะศิษย์รักของท่านเจ้าหอ หรือก็คือข้า เพราะคุณหนูหยางยังไม่ตื่น ข้าจึงต้องรออยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ทำให้เรื่องอื่น ๆ ล่าช้าไปอีกมากมายหลายสิ่ง ข้าจำต้องคิดเงินเพิ่มเพราะเหตุนี้ เดิมทีแล้ว ครึ่งชั่วยามหนึ่งพันตำลึงเงิน หนึ่งชั่วยามจึงเป็นสองพันตำลึงเงิน แต่ข้าทราบว่าคุณหนูหยางใกล้จะได้เป็นเซวียนหวางเฟยแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความยินดีต่อท่าน ข้าจึงลดให้ท่านเหลือเพียงห้าส่วน”
“ได้ยินว่าบิดาเจ้าเป็นขุนนาง”
“ไม่ผิด”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินข้าหรือ เจ้าทานไม่หมดก็ต้องห่อกลับไปรู้หรือไม่*[1]?”
“ข้าทำผ้าห่มให้คุณหนูหยางใช้ตอนแต่งงาน ไม่มีความชอบทว่ายังทุ่มเทตรากตรำ ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูหยางจึงได้โกรธเพียงนี้? หรือว่าเป็นเพราะเงิน หากคุณหนูหยางไม่มี คุณหนูหยางไม่ต้องให้ก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ขาดหนึ่งพันตำลึงเงินนี้ คุณหนูหยางอย่าได้ทำให้ข้าหวาดกลัวเลย ข้านั้นขี้ขลาด กลัวนิดหน่อยก็จะร้องไห้ หากข้าร้องไห้ขึ้นมา ผู้ไม่รู้จะคิดว่าข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเอาได้”
“อีเหริน” ฮูหยินหยางยืนอยู่ไม่ไกลออกไป นางมองฉากนี้ด้วยสายตาเยือกเย็น “เอาเงินให้นาง”
“ท่านแม่…”
“เร็วเข้า!”
หยางอีเหรินไม่ยินยอม ทว่านางไม่กล้าขัดคำสั่งมารดา
ลู่จื่ออวิ๋นค้อมคำนับฮูหยินหยาง
ฮูหยินหยางมองแม่นางน้อยตรงหน้า
เซวียนอ๋องไม่ยินยอมแต่งงานจนก่อเรื่องราวใหญ่โต ทุกคนในแวดวงล้วนทราบดี สกุลหยางส่งคนไปสืบหาข่าว จึงได้รู้ว่าเซวียนอ๋องมีนางในใจอยู่แล้ว และนางใจใจของเขาก็คือแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
หยางอีเหรินถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมแต่อ้อนแต่ออก จะยินดีรับความคับข้องใจนี้ได้อย่างไร? จึงจงใจสร้างความลำบากให้ลู่จื่ออวิ๋น
อันที่จริงนี่ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย
ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้แล้ว หยางอีเรินเป็นเซวียนหวางเฟยอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มาเสียเวลาสร้างความลำบากใจให้แม่นางน้อยผู้หนึ่ง ช่างขาดความสง่างามเสียจริง
ลู่จื่ออวิ๋นรับตั๋วเงินนั้นมา ค้อมคำนับฮูหยินหยางอีกครั้งแล้วหมุนตัวจากไป
หยางอีเหรินมองตามหลังอีกฝ่ายด้วยความฉุนเฉียว
“ตอนนี้เจ้ารู้หรือยังว่าเหตุใดเซวียนอ๋องจึงพึงใจนาง? ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมหรืออากัปกิริยา เจ้าล้วนไม่อาจเทียบนางได้ หากเจ้าอยากจะรักษาสถานะเซวียนหวางเฟยไว้ให้มั่น เจ้าต้องรีบให้กำเนิดบุตรโดยเร็วที่สุด”
“ข้าจะไม่ยอมให้ปีศาจจิ้งจอกนางนั้นแต่งเข้าจวนเซวียนอ๋องเป็นอันขาด!”
ลู่จื่ออวิ๋นไปส่งสินค้าทั้งยังได้รับเงิน ‘ที่ได้มาอย่างยากลำบาก’ มาอีกหนึ่งพันตำลึงเงิน จิตใจจึงร่าเริงแจ่มใสเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่นางออกมาจากเรือนของหยางอีเหริน ก็เห็นฟ่านเหยี่ยนและนายน้อยสกุลหยางผ่านไป ทั้งสองคนเห็นนางเข้าพอดี
“แม่นางลู่” เมื่อหยางฟางจวิ้นเห็นลู่จื่ออวิ๋น ดวงตาพลันเปี่ยมไปด้วยความยินดี “เจ้ามาแล้วหรือ?”
“ข้าต้องไปแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยนิ่ง ๆ
“อ้อ เช่นนั้นทำของให้น้องสาวข้าเสร็จหมดแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น… ข้าอยากทำเสื้อผ้าสองชุด ไม่รู้ว่า…”
“หากคุณชายหยางอยากทำเสื้อผ้า สามารถเข้าไปสั่งที่หอซือเป่าได้ ถึงตอนนั้นจะมีคนมาวัดตัวเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าให้ท่าน”
“เจ้าไม่ทำหรือ?”
“ข้าไม่ได้ทำชุดบุรุษ” ลู่จื่ออวิ๋นแย้มยิ้มบาง ๆ “ขออภัย ข้าต้องขอตัวแล้ว”
ฟ่านเหยี่ยนมองลู่จื่ออวิ๋นเดินผ่านไป
นับตั้งแต่นางปรากฏตัวจนกระทั่งบัดนี้ เขาไม่ละสายตาจากนางแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ แต่นางกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมองเขา
เขารู้ดี เดิมทีนางก็ไม่ชอบให้เขาเกาะแกะ ตอนนี้ยิ่งไม่ชอบเขามากกว่าเดิมแล้ว
หยางฟางจวิ้นมองตามแผ่นหลังของลู่จื่ออวิ๋นหายลับไป
สายตาของฟ่านเหยี่ยนเข้มขึ้น “มองพอหรือยัง?”
หยางฟางจวิ้นถึงได้รู้สึกตัว เขาเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ทำให้ท่านอ๋องขบขันแล้ว”
“คุณชายหยางสงบใจเถอะ ท่านและนางไม่อาจเป็นไปได้” ฟ่านเหยี่ยนก้าวไปข้างหน้า
หยางฟางจวิ้นถอนหายใจ “หัวใจควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นส่งเงินห้าพันตำลึงเงินให้ท่านเจ้าหอ
“หนึ่งพันตำลึงเงินนี้เป็นของเจ้า เช่นนั้นเจ้าเก็บมันไว้เถอะ”
“นี่ไม่ดีกระมัง? ท่านอาจารย์” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวพลางเก็บตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ท่านเจ้าหอสวีรู้สึกขบขันกับท่าทีของนาง “เจ้าได้รับนิสัยชอบเงินมาจากมารดาหรือ?”
“ไม่น่าใช่นะเจ้าคะ ชอบเงินไม่ใช่นิสัยทั่วไปของมนุษย์หรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “อีกอย่าง ถึงแม้ท่านแม่ข้าจะชอบเงิน แต่นางก็ทำเรื่องดี ๆ ตั้งมากมาย”
“เรื่องทางสกุลหยางข้าจะส่งคนอื่นไปจัดการแทน เจ้าไม่ต้องทำแล้ว” ท่านเจ้าหอสวีเอ่ย “หมู่นี้เจ้าเรียนรู้ได้รวดเร็ว แต่คนสองสามคนของเจ้าตามไม่ทันแล้ว เจ้าช่วยสอนพวกเขาเถิด”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ในเมื่อไม่มีงานอื่นมอบหมายให้พวกเรา เช่นนั้นพวกเราไม่ต้องมารายงานตัวที่หอซือเป่าก็ได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากพาพวกนางออกไปผ่อนคลายเสียหน่อย”
“เจ้าหมายถึง…”
“ท่านแม่ข้ามีเรือนพักผ่อนบนภูเขาแห่งหนึ่ง ข้าจะพาพวกนางไปฝึกทักษะที่นั่น”
ท่านเจ้าหอสวีมองลู่จื่ออวิ๋นอย่างอ่อนโยน “แม่สาวน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าบางครั้งเจ้าก็ดึงดูดความเกลียดชังจากผู้อื่น?”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยตอบเสียงหวาน “รู้สิเจ้าคะ! แต่ท่านแม่ข้าว่าไว้ มีเพียงคนที่มีความสามารถมากพอจึงจะถูกผู้อื่นเกลียดชัง ผู้ที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเกลียดชังเป็นเพียงคนธรรมดา”
“ไปเถิด ๆ”
“ข้าจะนำของอร่อยกลับมาฝากท่านอาจารย์เจ้าค่ะ!” ลู่จื่ออวิ๋นเผ่นหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
ท่านเจ้าหอสวีสั่นศีรษะเบา ๆ “เจ้าเด็กแสบ!”
[1] ทานไม่หมดก็ต้องห่อกลับ หมายถึง หากไม่รู้สถานการณ์และก่อปัญหา ต้องยอมรับผลที่ตามมา