สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 573 นี่คือหลักฐานกระทำความผิดของลู่อี้

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 573 นี่คือหลักฐานกระทำความผิดของลู่อี้

บทที่ 573 นี่คือหลักฐานกระทำความผิดของลู่อี้

“ให้เข้ามา” น้ำเสียงของฮ่องเต้ชราแผ่วเบา ราวกับว่าเขากำลังจะหลับไปได้ทุกเมื่อ

มีเพียงคนในวังเท่านั้นที่รู้ว่าฮ่องเต้ชราจะอ่อนกำลังลงเมื่อเขาจัดการงานในราชสำนัก แต่เมื่อไม่ได้จัดการงานในราชสำนักและกลับไปยังวังหลัง เขาสามารถหลับนอนกับพระสนมมากมายได้ไม่แพ้คนหนุ่ม

แน่นอนว่านั่นเกี่ยวกับยาที่เขาเพิ่งรับเข้าไปด้วย ระยะนี้เขามอบความไว้วางใจให้นักพรตเต๋าเป็นพิเศษ ยาอายุวัฒนะที่นักพรตเต๋าผู้นั้นปรุงขึ้นมาเห็นผลลัพธ์ชัดเจนเสียจนเขาทานยานั้นทุกวัน

เจี่ยงเฟิงหยางก้มศีรษะเดินเข้ามา แล้วค้อมคำนับให้ฮ่องเต้ “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี”

“ยามนี้แล้วท่านมาทำอันใดในวัง?” ฮ่องเต้กล่าวด้วยท่าทีสงบ

“กระหม่อมมีบางอย่างที่ต้องร้องเรียนพ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยงเฟิงหยางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา “เกี่ยวข้องกับลู่อี้ รองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ แม้ว่ากระหม่อมจะเป็นสหายร่วมงานกับเขา แต่กลับไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ บัดนี้จึงจะมาร้องเรียนเขาพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านคิดจะร้องเรียนอันใดเขา?”

“นี่เป็นหลักฐานเกี่ยวกับรองผู้บัญชาการลู่ที่กระหม่อมรวบรวมมา ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีชราหยิบกล่องใบหนึ่งมาจากมือของเจียงเฟิงหยาง

ก่อนอื่น เขาเปิดกล่องเพื่อตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าไม่มีอาวุธลับหรือยาพิษซ่อนอยู่ในนั้น ก่อนที่จะวางมันลงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ชรา

ฮ่องเต้ชรากวาดตามองดูคร่าว ๆ แล้วเย้ยหยัน “มีความผิดไม่น้อยจริง ๆ ดูเหมือนว่าลู่อี้ผู้นี้ไม่สงบเสงี่ยมเอาเสียเลย!”

เจี่ยงเฟิงหยางรู้สึกลิงโลดขึ้นมา

เดิมทีครานี้เขาเพียงลองเชิงเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะทำถูกแล้ว

เมื่อคนผู้นั้นยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เขา เขายังคงลังเลในคราแรก ทว่าเมื่อคิดว่าหากเขาล่วงเกินคนผู้นั้น ย่อมไม่เป็นผลดี ถึงอย่างไรลู่อี้ก็เห็นเขาเป็นหอกข้างแคร่ ไม่สู้ครั้งนี้เขายอมเสี่ยงดีกว่า เพราะหากทำสำเร็จ เขาย่อมดึงหนามที่ทิ่มแทงออกไปได้ หากล้มเหลวก็ยังอ้างได้ว่าตนถูกหลอก ทั้งจะยังได้รับชื่อเสียงดีงามในฐานะขุนนางที่ภักดีอีกด้วย

“ฝ่าบาท” จู่ ๆ จงอ๋องก็โพล่งขึ้นมา

เจี่ยงเฟิงหยาง “…”

เขาไม่เคยเงยหน้าขึ้นจึงไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่ในพระตำหนัก

“ลูกก็มีของบางอย่างเช่นกัน ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร” จงอ๋องกล่าว

“ส่งขึ้นมา”

เจี่ยงเฟิงหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่จงอ๋อง

ฝ่ายหลังหยิบซองจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

ซองจดหมายนั้นดูคุ้นตายิ่ง จู่ ๆ เจี่ยงเฟิงหยางพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ขันทีเฒ่ายังคงต้องการตรวจสอบ ทว่าฮ่องเต้ชรากลับไม่ได้มีความอดทนเพียงนั้นจึงคว้ามันมาเปิดดู “เจ้าขุนนางกบฏ! เจ้ากล้าว่าร้ายผู้อื่นได้อย่างไร ไม่มองดูก้นตนเองเล่าว่าเช็ดได้สะอาดหรือไม่ ดีนัก! นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นคนไร้ยางอายอย่างอย่างเจ้า!”

เจี่ยงเฟิงหยางคุกเข่าลงบนพื้นและโขกศีรษะคำนับอย่างแรง “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะ ฝ่าบาท ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วย”

ซองจดหมายนั่น…

เขาจำได้

ในตอนนั้นที่เขาเข้ารับตำแหน่งที่ศาลต้าหลี่เป็นครั้งแรก เขาถูกชายผู้หนึ่งข่มขู่ขณะจัดการคดีจึงต้องทำเรื่องราวมากมายให้ ต่อมาชายผู้นั้นเสียชีวิต เรื่องนี้จึงเลิกแล้วไป

เขาคิดว่าผู้ตายไม่อาจให้การได้ กลับคิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะทิ้งหลักฐานเอาไว้เช่นนี้

เขาได้ทำเรื่องราวมากมายให้คนผู้นั้น อีกทั้งยังใช้อำนาจของตนปล่อยคนซึ่งล้วนแต่เป็นกบฏเหล่านั้นไป

จบสิ้นแล้ว!

เจี่ยงเฟิงหยางรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

วันที่อากาศอบอ้าวที่สุดในฤดูร้อน หัวใจของเขาหนาวยะเยือกราวน้ำแข็ง เต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง

“ทหาร ลากคนชั่วช้าผู้นี้ไป พาเขาไปตัดสินโทษที่กรมอาญา!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

จงอ๋องหลุบตาลง ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ

ฮ่องเต้ดื่มชาถ้วยหนึ่ง เมื่อสงบลงแล้วจึงตรัสว่า “ให้ลู่อี้เข้าวังมาเถิด”

มีคนมากมายเพียงนี้พุ่งเป้าไปที่ลู่อี้ นั่นหมายความได้เพียงอย่างเดียวคือลู่อี้ทำให้พวกเขาเกรงกลัว

มีเบี้ยดี ๆ เช่นนี้จะไม่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร?

ณ กรมอาญา มู่ซืออวี่และท่านอาจารย์จวงกำลังสนุกกับการกินและดื่ม จู่ ๆ ก็มี ‘ผู้มาใหม่’ เข้ามาในห้องขัง เมื่อมองดูคนที่เข้ามาอีกครั้งก็พบว่าเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย

“ใต้เท้าเจี่ยง?”

เจี่ยงเฟิงหยางสวมชุดนักโทษ ดูไร้ชีวิตชีวา ราวกับว่าเขาได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว

ท่านอาจารย์จวงกล่าวว่า “อย่าไปสนใจเขาเลย คนที่เพิ่งมาที่นี่ล้วนเป็นเช่นนี้ ผ่านไปสักพัก เขาก็จะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้แล้ว”

“เหตุใดเล่า?”

“แน่นอนว่าต้องถูกทุบตี ถกเนื้อเถือหนัง หากคิดจะอยู่ในคุกอย่างสงบ นั่นนับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน”

“ใต้เท้า เชิญทางนี้ขอรับ” นักการทักทายใต้เท้าในชุดขุนนางผู้หนึ่งด้วยท่าทีเคารพ

คนผู้นั้นคือท่านเสนาบดีกรมอาญา

ท่านเสนาบดีกรมอาญามองไปที่มู่ซืออวี่ก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเห็นนางปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งใจ

“หากฮูหยินลู่ต้องการสิ่งใดเพียงแค่สั่งมา เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยจะไปตระเตรียมให้” ท่านเสนาบดีกรมอาญากล่าว “ฮูหยินไม่ต้องกังวล นี่จะต้องเป็นการเข้าใจผิดบางอย่าง ภายในสองวันจะต้องคลี่คลายเป็นแน่”

ดูเช่นนี้แล้ว ลู่อี้ที่อยู่ด้านนอกคงไม่ได้ลำบากมากนัก ไม่เพียงเขาจะไม่เสียเปรียบ แต่ยังได้เปรียบอีกด้วย ไม่เช่นนั้น จิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้คงไม่สุภาพกับนักโทษได้ถึงเพียงนี้

“รบกวนใต้เท้าแล้ว” มู่ซืออวี่ไม่เกรงใจเช่นกัน “อย่างอื่นล้วนดีแล้ว เพียงแต่ข้าอยากกินผลไม้บ้าง ท่านทราบหรือไม่ คนมีครรภ์ล้วนเลือกมากและต้องการทานของใหม่ ๆ อยู่เสมอ”

“ไม่มีปัญหา ข้าจะสั่งให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”

เสนาบดีกรมอาญาเดินไปพบเจี่ยงเฟิงหยาง

เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแค่มองเจี่ยงเฟิงหยางแล้วจากไป

คุกกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ท่านอาจารย์จวงกล่าวว่า “ดูเหมือนข้าจะแพ้แล้ว”

“ผลยังไม่ออกมาแน่ชัด เหตุใดท่านยอมแพ้เร็วเพียงนี้” มู่ซืออวี่กล่าว

“สามีของท่านดูเหมือนจะเป็นคนมีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง” ท่านอาจารย์จวงกล่าว “ท่านไม่ได้รับความคับข้องใจใด ๆ นับตั้งแต่เข้ามา นั่นไม่ใช่เพียงเพราะท่านติดสินบนพวกเขาด้วยเงิน สามีท่านจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ท่านได้อยู่ที่นี่ดี ๆ อย่างแน่นอน ท่านเพียงแค่ต้องอยู่เงียบ ๆ รอให้เขามารับกลับไปเท่านั้น ข้าชักจะเริ่มสนใจสามีของท่านขึ้นมาบ้างแล้ว”

สองวันต่อมา มู่ซืออวี่ยังไม่ได้ออกไป ทว่ามีคนเข้ามาแทน

“ปล่อยข้า ข้าไม่อยากเข้าไป ข้าไม่อยาก… ท่านแม่… ช่วยข้าด้วย…” เจี่ยงจือถูกผลักเข้าไป

หลังจากนั้นไม่นาน หรงซื่อผู้ที่วางท่าสง่างามมาโดยตลอดก็ถูกผลักเข้ามาอย่างหยาบคาย

สีหน้าของหรงซื่อแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อนางเห็นมู่ซืออวี่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่ก็อยู่ในคุกเช่นกัน สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลง

มู่ซืออวี่มองหรงซื่อแล้วหัวเราะเบา ๆ “ตอนนี้ท่านช่างดูน่าอับอายเสียจริง”

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้า อย่าลืมว่าเจ้าก็ยังไม่สามารถแม้แต่ปกป้องตนเองได้!” หรงซื่อพูดอย่างเกรี้ยวกราด

“พวกเราเหมือนกันจริง ๆ หรือ? ท่านคิดเช่นนั้นจริงหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยท่าทีนิ่ง ๆ “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็สงสารท่านแล้ว”

“ท่านพี่!”

“ท่านพ่อ…”

ผู้คุมห้องขังผลักชายคนหนึ่งที่ร่างโชกเลือดเข้ามา

เมื่อเห็นคนผู้นั้น มารดาและบุตรสาวก็ร้องออกมาพร้อมกัน

ท่าทีของเจี่ยงเฟิงหยางเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาเห็นสองแม่ลูก

“พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” เจี่ยงเฟิงหยางกล่าวอย่างอ่อนแรง

“จวนของเราโดนยึดทรัพย์สินแล้ว” หรงซื่อพูดด้วยความโมโห “ท่านสร้างเรื่องอันใดกันแน่? พวกเราอยู่ของเราดี ๆ ไม่ใช่หรือ?”

เจี่ยงเฟิงหยางตบประตูห้องขัง “ปล่อยข้าออกไป ข้าอยากพบเจียงเก๋อเหล่า”

“ข้ามีคู่หมั้น ข้ามีคู่หมั้น!” จู่ ๆ เจี่ยงจือก็คิดขึ้นมาได้

นางไม่เคยพอใจในการแต่งงานครั้งนี้มาก่อน ทว่าบัดนี้นางกลับพบว่าการแต่งงานครั้งนี้กลายมาเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตนางไว้ได้ นางถึงขนาดเสียใจว่าตนไม่ควรเลื่อนงานแต่งออกไป หากนางตกลงกับสกุลฉู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว

“เจ้าอย่าได้คิดจะพบใครจะดีกว่า” เจ้าหน้าที่กรมอาญาที่ถูกทำให้ตกใจเพียงให้คำแนะนำแก่พวกเขาว่า “หากอยากมีชีวิตรอด เช่นนั้นก็ให้ความร่วมมือดี ๆ หาทางสร้างคุณงามความดีเสียเถอะ”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท