บทที่ 653 ไปเป็นราชทูตอาณาจักรเหลียง
บทที่ 653 ไปเป็นราชทูตอาณาจักรเหลียง
ห้าเดือนให้หลัง รายงานด่วนทางการทหารถูกส่งมาไกลนับแปดพันลี้จากชายแดน
อาณาจักรเฟิ่งหลินส่งป้ายขอสงบศึก ทั้งสองฝ่ายพักรบ
อาณาจักรเฟิ่งหลินไม่รบ อาณาจักรเหลียงย่อมไม่รบแล้วเช่นกัน
ว่ากันว่าทัพเรือของอาณาจักรเหลียงที่ตั้งขบวนแล้ว ถูกอาณาจักรเรียกกลับไปเป็นการชั่วคราว
สงครามครั้งนี้ประหนึ่งลมจากการผายลมที่พัดมาทำให้ราษฎรต้องงงงวย อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ไม่มีผู้ใดปรารถนาสงคราม โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ปกครองอาณาจักรโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้
“สงครามครั้งนี้ยุติลงเป็นการชั่วคราว ภายหน้ายังไม่ชัดเจนว่าจะมีสงครามอีกครั้งหรือไม่ เช่นนั้นตอนนี้จงอ๋องสามารถกลับมายังราชสำนักได้หรือไม่?” ลู่เซวียนเอ่ยถาม
“ตอนนี้ยังไม่อาจกลับมาได้ อย่างน้อยยังต้องรอให้มั่นใจว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินจะไม่ทำสงครามแล้วจึงจะกลับมายังราชสำนักได้” ลู่อี้เอ่ย
“เหตุใดจู่ ๆ อาณาจักรเฟิ่งหลินจึงยุติสงครามเล่า?” ลู่เซวียนถาม
“สงครามกลางเมือง” เซี่ยคุนเอ่ยหนึ่งคำ
“ได้ยินว่าฮ่องเต้เฒ่านั่นสวรรคตแล้ว ฮ่องเต้หุ่นเชิดถูกขุนนางเก่าแก่คอยชักใย สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะขุนนางกบฏเหล่านั้น” ลู่อี้กล่าว
“เช่นนั้นฮ่องเต้หุ่นเชิดรอดพ้นจากการชักใยแล้วหรือ?”
“ขุนนางชั่วผู้นั้นจู่ ๆ ก็ป่วยตาย ราชสำนักอาณาจักรเฟิ่งหลินจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ส่วนต่อไปอาณาจักรเฟิ่งหลินจะเป็นอย่างไรนั้น พวกเราอยู่ห่างไกล ไม่มีวิธีรู้ข่าวได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่อฮ่องเต้ประกาศว่าลู่อี้จะถูกส่งไปอาณาจักรเหลียงในฐานะราชทูตเพื่อเข้าร่วมพิธีฉลองวันเกิดของไทเฮาอาณาจักรเหลียง ลู่อี้ที่ใบหน้านิ่งสงบอยู่ตลอดเวลาพลันแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เขาหันกลับไปมองเซวียนอ๋องที่อยู่ข้าง ๆ พอคาดเดาได้ว่าผู้ใดเป็นสาเหตุของเรื่องนี้
“ขอแสดงความยินดี ท่านโหวลู่” เซวียนอ๋องกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นโอกาสที่จะได้สร้างคุณงามความชอบ รอท่านโหวลู่กลับมาอีกครั้ง ตำแหน่งคงเลื่อนขึ้นไปอีกขั้นแล้ว”
“ผู้น้อยมีวันนี้ได้ต้องขอบคุณเซวียนอ๋องที่ดูแล เซวียนอ๋องยังเยาว์วัยกลับมีวิสัยทัศน์ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นคนหนุ่มที่นำหน้าคนรุ่นก่อนอย่างแท้จริง”
“ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว” เซวียนอ๋องประกบมือขึ้นมา “อันที่จริงแล้วพวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้พวกเราล้วนทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดี ข้านับถือท่านโหวลู่มาเสมอ กับฉาวอวี่ก็เป็นดั่งพี่น้องกัน หากพวกเราสามารถร่วมมือกันเช่นนี้ต่อไปได้ ย่อมมีผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างแน่นอน” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“ท่านอ๋องมีผู้วางแผนรอบกายมากมาย สมองของผู้น้อยไม่ดีเท่าคนรอบกายท่านอ๋อง อาณาจักรเหลียง… ผู้น้อยเติบโตมาท่ามกลางชนบท ยังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน ครั้งนี้ฉวยประโยชน์จากท่านอ๋องแล้ว”
ณ จวนลู่โหว มู่ซืออวี่วางพู่กันในมือลงแล้วเงยหน้ามองลู่อี้ “เป็นราชทูตไปอาณาจักรเหลียง?”
“ใช่แล้ว!” ลู่อี้รับถ้วยน้ำชาจากซางจือ “วันนี้ตอนหารือช่วงเช้าเขาประกาศมันออกมา ไม่มีเวลาให้ข้าได้ตอบสนองแม้แต่น้อย”
“สองอาณาจักรเพิ่งสู้รบกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงรอยขีดข่วนบนพื้นผิว ไม่ได้ร้ายแรงก็ถือว่าเริ่มสงครามไปแล้ว เวลานี้ท่านเป็นราชทูตไปอาณาจักรเหลียง สถานการณ์ของท่านอันตรายเป็นอย่างยิ่ง”
“ไม่ผิด”
“เซวียนอ๋องอยากจัดการท่านใช่หรือไม่? เดิมทีเขาอาจไม่คิดจะให้ท่านมีชีวิตกลับมา”
“ตอนนี้ข้าเป็นอุปสรรคขวากหนามสำหรับเขาจริง ๆ เขาคิดจะกำจัดข้าก็สามารถเข้าใจได้”
มู่ซืออวี่แค่นเสียงหึ “ตอนนั้นเขากินดื่มสำราญอยู่ที่บ้านเราทุกวัน ข้ายังคิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เลว อำนาจช่างเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวจริง ๆ สามารถเปลี่ยนคนผู้หนึ่งให้กลายมาเป็นอย่างนี้ได้”
“ไม่โทษเขา เขาเป็นองค์ชายย่อมต้องการตำแหน่งนั้น ข้าอยากสนับสนุนจงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นพวกเราย่อมเป็นศัตรูกัน ฮูหยิน ภารกิจไปยังอาณาจักรเหลียงครั้งนี้สรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากข้าไป เรื่องที่บ้านต้องมอบให้เจ้าดูแล”
“ข้าอยากไปกับท่าน”
“อาณาจักรเหลียงนั้นอยู่ห่างไกล การเดินทางครั้งนี้จะต้องอันตรายเป็นแน่” ลู่อี้เอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่หากเจ้าไปกับข้า ไม่เพียงช่วยข้าไม่ได้ แต่ยังจะให้ทำให้ข้าพะวงเรื่องที่บ้าน ข้ารับปากเจ้า ข้าจะพาผู้คุ้มกันฝีมือดีไปด้วย ส่วนพี่เซี่ยให้รั้งอยู่ปกป้องพวกเจ้า”
มู่ซืออวี่รู้ว่าที่เขาเอ่ยมานั้นเป็นความจริง หากนางติดตามไปด้วย เช่นนั้นเด็ก ๆ จะทำอย่างไรเล่า? นางไม่หาเงินย่อมได้ แต่นางไม่อาจทิ้งลูกไป ยิ่งไม่อาจพาเด็ก ๆ ไปด้วยกัน ถึงแม้นางจะยินดี แต่คนผู้นั้นย่อมไม่พอใจเป็นแน่ อย่างไรเสียขุนนางเป็นราชทูตไปต่างแดนจะต้องทิ้งครอบครัวไว้เป็น ‘ตัวประกัน’ ที่เมืองหลวง
เรื่องที่ลู่อี้ต้องเป็นราชทูตไปอาณาจักรเหลียงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว สิ่งที่ทุกคนทำได้มีเพียงเตรียมการให้เขา นำทุกสิ่งที่ควรนำไปด้วย
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นราชทูตไปอาณาจักรเหลียงครั้งนี้ ยามผ่านชายแดนคงพบท่านพ่อข้าใช่หรือไม่?” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ท่านช่วยข้านำของไปให้ท่านพ่อได้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าได้”
เซี่ยคุนเอ่ย “ท่านยังจำป้ายสัญลักษณ์ที่จั่วอวิ๋นหู่ได้มาในตอนนั้นหรือไม่?”
“จำได้”
“ตอนนั้นเบาะแสล้วนชี้ไปที่อาณาจักรเหลียง ไปเป็นราชทูตในคราวนี้ บางทีอาจพบเบาะแสใหม่”
“ข้าเข้าใจ”
“ข้าส่งข่าวไปให้จั่วอวิ๋นหู่แล้ว ให้เขาไปอาณาจักรเหลียงพร้อมกันกับท่านและคอยช่วยเหลือ”
“สหายจั่วในที่สุดก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ หากต้องรบกวนเขาเพราะเรื่องของข้า เท่ากับว่าไปขัดจังหวะชีวิตอันสงบสุขของเขา ข้าคงผิดต่อเขาแล้ว”
“นี่เป็นการช่วยเหลือที่เขาติดค้างพวกเรา หากใช้คืนในตอนนี้ ภายหน้ามอบตำแหน่งดี ๆ ให้เขา ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องดีต่อเขาเช่นกัน เขารักถนอมฮูหยินของตน ย่อมต้องการเกียรติยศเพื่อนาง”
การไปเป็นราชทูตไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้น นอกจากลู่อี้แล้ว ยังมีขุนนางอีกสองคนร่วมเดินทางกับเขาด้วย
สองคนนั้นล้วนเป็นคนของเซวียนอ๋อง ผู้หนึ่งเป็นขุนนางทหาร อีกผู้หนึ่งเป็นขุนนางพลเรือน
วันออกเดินทาง เซวียนอ๋องนำขบวนขุนนางบุ๋นบู๊มาส่งพวกเขาออกนอกเมือง
ลู่จื่ออวิ๋นยืนอยู่ในฝูงชน มองเงาของลู่อี้เดินจากไป รู้สึกไม่อาจตัดใจพรากจากแต่นางเข้าใจว่าทั้งท่านพ่อและท่านพี่ของนางต่างก็เป็นเหยี่ยว เหยี่ยวจะถูกขังไว้ในกรงได้อย่างไร พวกเขาล้วนแต่ต้องโบยบินไปบนผืนฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลเสมอ
หลังจากลู่อี้ไปแล้ว ทั่วทั้งจวนโหวเหมือนขาดชิ้นส่วนสำคัญจึงรู้สึกวูบโหวงไปไม่น้อย
อย่างไรก็ตามมู่ซืออวี่ไม่ได้เอาแต่เศร้าโศกใจ ไม่นานนางก็กลับไปเป็นปกติดังเดิม
“ท่านอยากจัดตั้งกองเรือหรือ?” ซูจือหลิ่วได้ยินคำพูดของนาง พลันรู้สึกประหลาดใจ “จู่ ๆ เหตุใดจึงอยากสร้างขบวนเรือ?”
“ประการแรก ข้าอยากให้ผู้คนรู้จักเครื่องเรือนของข้า ชื่นชมเครื่องเรือนของข้า ซื้อเครื่องเรือนของข้า ประการที่สอง ข้าได้ยินท่านพี่กล่าวว่าพวกเราไม่มีเรือที่ใช้ทางการทหาร แม้กระทั่งเรือสินค้ายังมีน้อยนัก การคมนาคมของอาณาเราก็ล้าหลังยิ่งนัก ชาวประมงออกทะเลล้วนต้องอาศัยโชคและประสบการณ์ ตอนนี้เขาไปเป็นราชทูตที่อาณาจักรเหลียงเพื่อรับใช้ชาติ ข้าไม่อาจนิ่งเฉยดูดายอยู่ที่บ้านได้ หากอาณาจักรเหลียงรุกมาทางทะเลจริง ๆ เช่นนั้นคงจัดการยากแล้ว เราควรกำจัดจุดอ่อนนี้ออกไปเสีย”
“พี่สะใภ้ ข้าคิดว่าข้าเข้าใจท่านมากพอแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือน… ข้ายังไม่เข้าใจท่านมากพอ ความคิดของท่านแตกต่างจากสตรีส่วนใหญ่จริง ๆ ข้านับถือท่านยิ่งนัก!”
การจัดตั้งกองเรือนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องใช้กำลัง ทรัพยากรกำลังคนและเงินจำนวนมหาศาล ทั้งยังต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับความล้มเหลว และความเป็นไปได้ที่จะถูกคนเข้าใจผิด
บัดนี้มู่ซืออวี่เป็นที่รู้จักในฐานะคหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดในอาณาจักร หรือจะกล่าวว่ามั่งคั่งที่สุดทั่วทั้งใต้หล้านี้ก็ไม่เกินไป เงินของนางมีใช้ไม่ขาดมือ นางไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดก็สามารถมีอาหารการกิน มีเครื่องนุ่งห่มไปทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม นางยังอยากพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยโลกนี้
“ชีวิตมนุษย์ยืนยาวนัก นอกจากบริเวณที่คับแคบในเรือนหลังแล้ว สตรีเราไม่ควรรู้จักคุณค่าของตนหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ครอบครัวข้าก็ต้องรักษา! กิจการข้าก็ต้องรุ่งเรือง!”