บทที่ 663 รนหาที่ตาย
บทที่ 663 รนหาที่ตาย
เมื่อเซี่ยคุนได้ยินข่าวคราวก็กลับมา จากนั้นจึงรุดไปยังห้องตำราของมู่ซืออวี่
หากเป็นปกติ ยามนี้นางมักจะปรึกษาหารือเรื่องเรือรบกับคนเรือ ทว่าวันนี้นางกลับอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไร สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เมื่อเขามาถึงหน้าประตูก็ได้พบกับฉานอี ฝ่ายหลังอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้เขา เซี่ยคุนจึงเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดกับมู่ซืออวี่
“ข้าได้รับข่าวว่านายท่านถูกโจมตีและหายตัวไป ทว่าเพราะอยู่ไกลเกินไปข่าวจึงล่าช้า ฮูหยินอย่าเพิ่งกังวล ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น การไปอาณาจักรเหลียงครานี้นายท่านได้เตรียมการดีแล้ว หากเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องรับมือได้ดีอย่างแน่นอน”
“ลู่อี้หายตัวไปนานเท่าใดแล้ว?”
“ข่าวนี้เพิ่งได้รับมาเมื่อเจ็ดวันก่อน”
“เจ็ดวันแล้ว ท่านยังปิดบังเรื่องนี้ต่อข้าหรือ?”
“หากท่านไม่เชื่อในตัวข้าก็ต้องเชื่อในตัวนายท่านกระมัง ด้วยสมองของเขา เขาจะปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร จริงสิ กระดาษข้อความที่ฉานอีเอาไปอยู่ที่ไหน? เอามาให้ข้าดูก่อน”
มู่ซืออวี่หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากลิ้นชัก
เซี่ยคุนอ่านดูแล้วเอ่ยว่า “ลายมือนี้เป็นของจือเชียน ดูจากข้อความแล้วลายมือมั่นคงไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุม”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้วมุ่น
เซี่ยคุนมองนาง “ท่านก็ควรรู้ว่าความปลอดภัยของใต้เท้าลู่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและหนี้แค้นอันใหญ่หลวงของข้า ข้าย่อมไม่ล้อเล่นกับเรื่องสำคัญเช่นนี้ รออีกครึ่งเดือนเถอะ ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อน”
“ได้ เช่นนั้นรบกวนพี่ใหญ่เซี่ยแล้ว”
“ฮูหยินอยู่ข้างนอกสามารถแสร้งทำเป็นกระวนกระวายได้ตามสมควร ข้าสงสัยว่ามีคนกำลังจับตามองพวกเรา โดยเฉพาะในราชสำนัก คนที่ไม่ต้องการให้นายท่านกลับมาก็มีมาก หากพวกเขาเห็นฮูหยินนั่งไม่ติดเช่นนี้ ไม่แน่ว่านายท่านอาจยิ่งปลอดภัยขึ้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เรื่องนี้ตอนนี้ปิดบังเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไว้ก่อน”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
เหมันตฤดูผ่านไป วสันตฤดูเวียนมา
ในฤดูหนาวนี้ สกุลลู่อยู่ห่างไกลกันคนละฟากฟ้า มู่ซืออวี่ทำได้เพียงจดจ่ออยู่กับงานจึงสามารถลืมความกังวลเรื่องลู่อี้ได้ชั่วคราว
ลู่ฉาวจิ่งเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาหามู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่อุ้มเขาขึ้นมา ขณะที่กำลังจะพูดคุยกับเขาก็มีทหารกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาจากด้านนอก
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” บ่าวรับใช้คิดจะหยุดพวกเขาไว้ แต่กลับห้ามไว้ไม่ได้
หัวหน้าทหารดูคุ้นตา ทว่ามู่ซืออวี่ไม่สามารถเอ่ยชื่อเขา นางรู้เพียงว่าเขาเป็นผู้ติดตามข้างกายเซวียนอ๋อง บัดนี้แต่งกายในชุดขุนนางจึงดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างแล้ว
“ฮูหยิน คนเหล่านี้ยืนกรานจะบุกเข้ามาขอรับ” บ่าวรับใช้รายงานมู่ซืออวี่
มู่ซืออวี่โบกมือ ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ออกไป
“พวกท่านหมายความว่าอย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“ฮูหยินโปรดอภัย เมืองซานหลินเป็นแนวป้องกันสำคัญ นับตั้งแต่นี้ไปการป้องกันที่นี่เป็นหน้าที่ของข้า นอกจากนี้ เนื่องจาก ‘นาวีกรุ่นฝัน’ ของฮูหยินเกี่ยวข้องกับทะเลทั้งหมด สิ่งที่ท่านกำลังศึกษาเป็นความลับอันสำคัญอย่างยิ่งยวดเช่นกัน เซวียนอ๋องจึงมีคำสั่งลงมา นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป การเข้าออกของฮูหยิน หรือแม้แต่คนทั่วทั้งบ้านสกุลลู่ต้องมีคนคอยคุ้มกัน ฮูหยินเพียงแค่แสร้งทำเป็นว่าเราไร้ตัวตน ปกติทำเช่นไร ตอนนี้ก็ทำเช่นนั้นเถิด”
“ปกป้องอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าเซวียนอ๋องต้องการสอดแนมฮูหยินผู้นี้มากกว่ากระมัง?” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากเซวียนอ๋องคิดจะควบคุมฮูหยินผู้นี้ก็ให้เขามาเอง ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคนชั่วช้าอย่าได้คิดจะเข้าบ้านฮูหยินผู้นี้ พวกเจ้าคิดจะเฝ้าก็เพียงเฝ้า ทว่า… ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าก้าวเข้ามาในประตูบ้านข้าแม้ครึ่งก้าว ไม่เช่นนั้น…”
ขณะที่เอ่ย มู่ซืออวี่ก็ใช้มือกดปุ่มหนึ่ง
ฟิ้ว!
ลูกศรจำนวนมากยิงลงมาเหนือศีรษะ
ขณะที่กดปุ่ม นางก็อุ้มลู่ฉาวจิ่งไว้ ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย โดยไม่ได้รับอันตรายจากการโจมตีแม้เพียงนิด
“อ๊ากก…” มีคนร้องขึ้นมา
เมื่อลูกศรจำนวนมากมายเพียงนั้นยิงลงมา ถึงแม้ผู้ที่มีฝีมือดีที่สุดก็ยังคงถูกโจมตีได้ง่าย ๆ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงในหมู่ทหารเหล่านั้นที่อยูตรงนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพอมีฝีมือ คนอื่น ๆ เป็นเพียงแค่คนเกียจคร้าน
“ฮูหยินลู่ ท่านทำร้ายทหารเช่นนี้ ข่าวลือข้างนอกที่ว่าลู่อี้ทรยศเราและกลายเป็นขี้ข้าของอาณาจักรเหลียงนั่น หรือว่าทั้งหมดจะเป็นความจริง?” หัวหน้าทหารที่ได้รับการแต่งตั้งชื่อจูเหนิง เมื่อเขาเห็นลูกน้องของตนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งสิ่งที่เซวียนอ๋องบอกเขาก็ลืมสิ้น หลุดโพล่งจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาด้วยความโกรธ
“สามีข้าไปอาณาจักรเหลียงก็เพื่อราชสำนัก ตอนนี้ยังไม่กลับมา พวกเจ้าก็เอาโทษเช่นนี้มาโยนใส่เขา หากวันใดวันหนึ่งเขาทรยศราชสำนักขึ้นมาจริง ๆ นั่นก็เป็นเพราะคนไร้ยางอายอย่างพวกเจ้าบีบให้เขาทำเช่นนั้น ฟังให้ดี ตราบใดที่สามีข้าไม่ได้ถูกตัดสินว่าผิด อย่ามาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะโจมตีพวกเจ้าทุกครั้งที่เห็น หากมารบกวนข้าอีก ข้าจะให้พวกเจ้าได้ตายอยู่ที่นี่ ข้าอยากเห็นนักว่าเซวียนอ๋องนายของพวกเจ้าจะมีปัญหากับฮูหยินผู้นี้เพราะสุนัขรับใช้อย่างพวกเจ้าหรือไม่”
“ได้! ฮูหยินลู่ ท่านเหี้ยมโหดยิ่ง!” จูเหนิงไม่กล้าทำมู่ซืออวี่ขุ่นเคืองเกินไป ท้ายที่สุดแล้วท่าทีของเซวียนอ๋องยังคงไม่ชัดเจน อีกทั้งหากพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เขาดูเหมือนยังกังวลอะไรบางอย่าง “พวกเรากลับ!”
ท้ายที่สุดจูเหนิงจึงจากไปพร้อมกับคนของเขา
ตอนมาพวกเขามาด้วยท่าทียโสโอหัง ทว่าตอนกลับนั้นเต็มไปด้วยความอับอาย
มีผู้ได้รับบาดเจ็บเจ็ดถึงแปดคน แม้ว่าล้วนแต่เป็นบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ทว่าการแสดงอำนาจในครั้งนี้ยังคงตบหน้าจูเหนิงเข้าอย่างจัง
เดิมทีจูเหนิงเป็นเพียงผู้ติดตามข้างกายเซวียนอ๋อง ไม่ง่ายเลยที่เขาจะได้รับงานสำคัญเช่นนี้ ย่อมต้องอยากแสดงความสามารถให้ดี เพียงแต่ยังไม่ทันได้แสดงฝีมือ กลับถูกตบหน้าเข้าหนึ่งฉาดเสียแล้ว
ตบฉาดนี้เจ็บแสบเป็นอย่างยิ่ง
อับอายขายขี้หน้า!
“ใต้เท้าจะปล่อยให้เรื่องแล้วไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
“ข้าไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้แน่นอน นางไม่ให้เราเข้าไปในบ้านลู่ เช่นนั้นเราก็จะตามติดนางตลอดเวลา ให้นางรังเกียจเราให้ตายไปเลย!”
ลู่จื่ออวิ๋นเดินเข้ามาในบ้านด้วยความโมโห
“น่ารำคาญเกินไปแล้ว!”
มู่ซืออวี่เห็นท่าทีของบุตรสาวจึงเอ่ยปาก “มีอะไรหรือ?”
“จูเหนิงผู้นั้น ใช้ขนไก่มาเป็นศรคำสั่ง*[1] จริง ๆ ไม่ว่าข้าไปที่ใดเขาก็ตามข้าไปที่นั่น คอยตามหลอกหลอนข้าไม่หยุดหย่อน”
“ดูองค์ชายในตอนนี้สิ จงอ๋องอยู่ข้างนอก ในเมืองมีเพียงเซวียนอ๋องคนเดียว หากพ่อเจ้าอยู่ที่นี่ยังพอยับยั้งความกำเริบเสิบสานของเขาได้ พ่อเจ้าไม่อยู่ เขาอยู่เมืองหลวงย่อมทำอะไรลงไปมากมายหลายสิ่ง เกรงว่าทิศทางลมในราชสำนักในยามนี้คงเปลี่ยนไปอีกแล้ว ไม่โทษเขาที่หยิ่งผยองถึงเพียงนั้น อย่างไรเสียเขาก็ถือว่าตนเป็นองค์รัชทายาท ฮ่องเต้เฒ่าผู้นั้นบางทีอาจรับปากอะไรเขาไว้ไม่น้อย”
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ชอบเขา อยู่กับเขามักจะรู้สึกอึดอัด บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว บางทีอาจเป็นสัมผัสที่หกของสตรีที่ท่านแม่เอ่ย สัมผัสนั่นคงสำแดงฤทธิ์ออกมาเป็นแน่ เพราะข้ารู้ว่าภายหลังเขาจะกลายมาเป็นคนน่ารังเกียจอย่างนี้ ข้าถึงได้ไม่ชอบเขา จูเหนิงผู้นั้นทางที่ดีอย่าได้มายุ่งกับข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เขาได้เห็นดีกันแน่!”
“โอ้ เจ้าจะทำอะไรให้เขาได้เห็นดีหรือ?” มู่ซืออวี่มองลู่จื่ออวิ๋นด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางของเจ้าเวลาโกรธสิ จะทำให้คนกลัวได้สักกี่คนกัน?”
“หมู่นี้ท่านลุงเซี่ยยุ่งอะไรอยู่หรือ? เกิดเรื่องสำคัญเช่นนี้ขึ้น หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงจะพาคนของเขาไปเก็บกวาดแล้ว อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้พบเขามาหลายวัน”
“เขามีเรื่องต้องทำ พ่อเจ้ามอบหมายงานให้ เขาจำต้องทำให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้น พ่อเจ้าจะไม่ตามล่าเขาหรือ?”
“เช่นนั้น เมื่อใดท่านพ่อจะกลับมา? คนแซ่จูผู้นั้นกล่าวว่าท่านพ่อเป็นคนทรยศ บัดนี้ผู้คนในเมืองซานหลินยังมองเราด้วยสายตาแปลก ๆ” ลู่จื่ออวิ๋นโมโหฮึดฮัด “ได้ยินว่าเมื่อวานแม่ครัวจวนเราไปซื้อของ ยังถูกคนร้านขายข้าวรังแก”
“แม่ครัวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นางไม่เป็นไรแล้ว เพียงแค่ล้มแล้วเอวเคล็ด ข้าเชิญท่านหมอมาตรวจนางแล้ว อีกทั้งยังจ่ายค่าทำขวัญให้นาง ให้นางรักษาตนเองให้ดี ข้าเกรงว่าผู้ที่คอยยุยงจะถือโอกาสนี้สร้างความยุ่งยากจึงไม่ได้ไปหาคนงานผู้นั้น ทว่าให้เถ้าแก่ผู้นั้นจัดการ เถ้าแก่ผู้นั้นไล่คนงานคนนั้นออกไปแล้ว”
“เอาละ เจ้าค่อนข้างเหมือนแม่เจ้า” มู่ซืออวี่เลิกคิ้ว “ช่วงนี้บ้านเราไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวในที่สาธารณะนัก แต่อย่าได้แม้แต่จะพยายามรังแกเรา คราวหน้าหากมีเรื่องคล้ายกันนี้เกิดขึ้น เจ้าพยามใช้สมองที่ลื่นไหลของเจ้าคิดหาหนทางว่าจะชนะศัตรูอย่างไรโดยไม่ต้องต่อสู้ เจ้าจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อฟังอย่างว่าง่ายได้อย่างไร แม่จะคอยดู”
[1] ใช้ขนไก่มาเป็นศรคำสั่ง เปรียบเปรยถึงผู้ที่แอบอ้างคำสั่งที่เดิมทีไม่มีพิษมีภัยหรือคำพูดกว้าง ๆ ของเจ้านายมากดขี่ข่มเหงผู้อื่นด้วยความภาคภูมิใจ