บทที่ 674 ต้องขอบคุณซื่อจื่อผู้นั้น
บทที่ 674 ต้องขอบคุณซื่อจื่อผู้นั้น
ท่านหมอตรวจดูร่างกายของลู่อี้
มู่ซืออวี่ถามท่านหมอถึงได้พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ลู่อี้หมดสติเป็นเพราะเขาขาดน้ำนานเกินไปจึงได้ล้มป่วย ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ดูซูบเซียวลง ราวกับจู่ ๆ ก็แก่ขึ้นในพริบตา
นางนั่งอยู่ข้างเตียง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดแก้มของลู่อี้
เมื่อฉานอีและซางจือรู้ว่า ‘นายท่าน’ ตรงนี้คือลู่อี้ ก็จัดเตรียมให้ผู้อื่นไปดูแลเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้าง ๆ ทันที
สภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นย่ำแย่กว่าลู่อี้เป็นอย่างมาก แต่ละคนล้วนขาดน้ำอย่างรุนแรง อีกทั้งยังกินของไม่สะอาดเข้าไป สีหน้าของแต่ละคนจึงดูไม่ดีนัก
สิ่งของและยาที่มู่ซืออวี่นำมาไม่น้อยจึงได้ใช้ประโยชน์ในคราวนี้แล้ว
“ผู้ดูแลหลิน คนที่อยู่บนเกาะไม่มีปัญหากระมัง? พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ มีความไม่สะดวกอะไรหรือไม่?”
“ฮูหยินวางใจ แขกทุกท่านสบายดี แม้ว่าฝนจะตกหนัก ทว่าพวกเราไม่ขาดอาหาร ไม่ขาดเครื่องดื่ม ไม่ขาดความสนุก ทั้งยังสามารถดื่มด่ำกับทิวทัศน์อีกแบบหนึ่งได้ แขกที่พักอาศัยอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่ามีความสุขมากเพียงใด!”
ลู่อี้ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นเงาร่างที่สง่างามเงาหนึ่งราง ๆ
เงาร่างนั้นปรากฏอยู่ในความฝันนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าทุกครั้งหลังจากตื่นขึ้นมา ทุกอย่างพลันกลับกลายเป็นความว่างเปล่า เหลือไว้เพียงความรู้สึกว้าเหว่เดียวดาย
เขาหลับตาลงอีกครั้ง
คราวนี้ เสียงนั้นกลับไม่หายไป
“ฝนนี้มาได้ไม่ถูกเวลา ทว่าไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว เรือลำใหม่ออกทะเลได้ในสภาพอากาศที่เลวร้ายเพียงนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำสำเร็จแล้ว อีกอย่าง นับตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ทำการปรับปรุงเกาะจนกระทั่งถึงบัดนี้เราไม่เคยพบเจอสภาพอากาศที่ย่ำแย่มาก่อน แขกจึงได้เห็นเพียงทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ ไม่เคยเห็นทิวทัศน์เช่นนี้ เจ้าจัดเตรียมคนไปตรวจสอบดูรอบ ๆ เถิด หากพบเจอปัญหาใดให้รีบรายงานทันที พวกเราจะได้แก้ไขได้ทัน”
“ขอรับ”
“นอกจากนี้ แขกที่เข้าพักมาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาย่อมมีรสนิยมในการทานอาหารที่แตกต่างกัน เมื่อรับแขกเข้าพัก อย่าลืมจดจำให้ชัดเจนว่าพวกเขามาจากที่ใด เช่นนี้จะได้ง่ายต่อการเตรียมอาหารที่ถูกปากพวกเขา”
“ขอรับ”
“ยังมี…”
ลู่อี้ฟังน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำเหล่านั้นแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ไม่ใช่ความฝัน
หากเป็นความฝัน คงอยู่ได้ไม่นานถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะดูสมจริงเช่นนี้ด้วย
“ฮูหยิน…” ลู่อี้ส่งเสียงเรียกนาง
เสียงที่กำลังพูดนั้นหยุดลง
มู่ซืออวี่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมา
เมื่อเห็นลู่อี้ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง นางก็โบกมือให้ผู้ดูแลหลินที่อยู่ข้าง ๆ แล้วรีบสาวเท้าก้าวเข้าไป
“สามี ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” มู่ซืออวี่มองลู่อี้
ลู่อี้คว้ามือนางมากุม มองหน้านางแล้วจึงเอ่ย “ข้าตกมาอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
“มีอะไรหรือ? ท่านไม่อยากตกมาอยู่ในมือข้า หรือยังอยากตกไปอยู่ในมือผู้ใด?” มู่ซืออวี่หยิกลงบนเอวเขาเบา ๆ
“ซี้ด!”
“เหตุใดท่านถึงได้รับบาดเจ็บเพียงนี้? แล้วท่านขาดน้ำได้อย่างไร? ช่วงที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ข้าประเมินศัตรูต่ำเกินไป” ลู่อี้เอ่ย “จึงถูกคนแทงข้างหลัง ทว่าโชคยังดี กว่าจะหาเรือลำหนึ่งมาได้ไม่ง่ายเลย รอข้ารักษาบาดแผลจนหายดีแล้ว ข้าจะหาตัวคนลอบสังหารข้าผู้นั้นออกมาชำระหนี้แค้นนี้เสีย”
“คนในเมืองหลวงหรือ?”
“มีคนไม่อยากให้ข้ากลับมา เขาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะขวางข้า ทำให้ข้าหนีไม่พ้น แน่นอนว่าเหตุผลที่ข้าไม่ได้กลับมานานถึงเพียงนี้ เป็นเพราะข้ากำลังตรวจสอบบางอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่ได้สิ่งใดกลับมาเลย”
“อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนั้น ข้าไม่อยากได้ยิน ทั้งยังไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “ซางจือ โจ๊กเล่า?”
“มาแล้วเจ้าค่ะ” ซางจือยกโจ๊กอุ่น ๆ เข้ามา
มู่ซืออวี่ป้อนโจ๊กครึ่งถ้วยให้ลู่อี้ด้วยตนเอง
เขาขาดน้ำอย่างรุนแรง ทั้งยังไม่ได้ทานอะไรมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงทานได้ไม่มากนักในตอนนี้
ฉานอีกลับมาจากห้องข้าง ๆ แล้วจึงเอ่ยว่า “นายท่าน คนเหล่านั้นที่ท่านพากลับมาก็ฟื้นแล้ว พวกเขากำลังทานโจ๊กเช่นกัน บ่าวมารายงานนายท่าน นายท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ดี”
ลู่อี้เอนตัวอยู่ตรงนั้น มองดูภรรยาที่เขาไม่ได้พบมาเป็นเวลาสองปี
ภายในสองปีนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น อย่างเช่นว่าเขาดูแก่ลงไปมาก ทว่าภรรยาที่รักของเขายังอ่อนเยาว์งดงามยิ่งนัก เมื่อเทียบกับตอนยังเยาว์แล้วนางสวยขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
เขาได้ยินเสียงฝนตกหนักข้างนอกจึงเอ่ยถาม “ที่นี่คือที่ใด?”
“ที่นี่เป็นเกาะแห่งหนึ่ง ข้าตั้งชื่อให้มันว่าเกาะสวรรค์” มู่ซืออวี่เอ่ย “คนของข้าพบเรือของพวกท่าน พวกเขาจึงเสี่ยงชีวิตไปช่วยพวกท่านขึ้นฝั่งมา จากนั้นจึงจุดพลุส่งสัญญาณให้ข้า โชคดีที่ข้าฉลาด ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาพบเจอสถานการณ์อะไร ข้าจึงนำอาหาร เครื่องดื่ม และยามา ข้ายังพาท่านหมอที่มีฝีมือในการรักษาดีที่สุดในเมืองซานหลินมาด้วยจึงสามารถช่วยชีวิตน้อย ๆ ของท่านกลับมาได้”
“ฮูหยินคือดาวนำโชคของข้าจริง ๆ”
ซางจือและฉานอีปลีกตัวออกไปอย่างเฉลียวฉลาด
ลู่อี้ตบลงบนเตียง “ขึ้นมาเถอะ หนาวเกินไปแล้ว มาให้ความอบอุ่นข้าเถอะ”
มู่ซืออวี่ถอดรองเท้าออกแล้วขึ้นไปบนเตียง อิงแอบอยู่ข้างกายเขา
นางไม่กล้าทิ้งตัวลงบนตัวเขามากนัก ด้วยกังวลว่า ‘ร่างกายเล็ก ๆ’ ของเขาจะรับไม่ไหวเอาได้
“ตอนนี้ไม่มีผู้ใดแล้ว ท่านเล่าให้ข้าฟังเถิดว่าสองปีที่ผ่านนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง! ข้าอยากฟัง”
“ได้”
ลู่อี้เล่าเรื่องสำคัญที่เขาพบเจอในช่วงสองปีที่ผ่านมาให้นางฟัง เมื่อใดก็ตามที่เอ่ยถึงสิ่งที่อันตราย เขาจะหลีกเลี่ยงเรื่องหนัก ๆ เอ่ยแต่เรื่อง ๆ เบา ทั้งยังเล่าออกมาด้วยท่าทางปกติ ทว่ามู่ซืออวี่รู้จักเขาดี เรื่องอันตรายเหล่านั้นนางย่อมนึกภาพออกในทันที
นางอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนสามี ไม่ให้เขาเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาของตน
“ไม่ได้พบกันนานสองปีแล้ว เสี่ยวชิงเอ๋อร์และฉาวจิ่งโตแล้วใช่หรือไม่? พวกเขาคงจำพ่อไร้ความรับผิดชอบผู้นี้ไม่ได้แล้วกระมัง? ตอนนั้นข้าสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป ไม่แยกจากเจ้าอีก นึกไม่ถึงว่าจะต้องแยกจากกันนานถึงเพียงนี้ ข้าผิดสัญญาอีกครั้งแล้ว”
ลู่อี้จูบลงบนใบหูของมู่ซืออวี่
“ท่านไม่ได้ตั้งใจ” มู่ซืออวี่กล่าว “ระยะเวลาสองปีทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไป จริงสิ เหตุใดทัพของจงอ๋องยังไม่กลับมาเมืองหลวงเล่า?”
“เดิมทีต้องกลับมาแล้ว ทว่าถูกขวางเอาไว้ แต่ในเมื่อข้ากลับมาได้ ข้าย่อมทำให้จงอ๋องกลับมาอย่างปลอดภัยได้แน่นอน ถึงตอนนั้น…”
ตำแหน่งนั่นก็ควรเปลี่ยนคนนั่งได้แล้ว
เขาไม่อยู่สองปี ฮ่องเต้ชราผู้นั้นก็นั่งเฉย ๆ มาสองปี และนั่นมากพอแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ลู่ฉาวอวี่ไม่อาจรั้งอยู่ต่างเมืองได้ตลอดไป ดูจากความสำเร็จของเขา ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ เพียงพอที่จะย้ายกลับไปเป็นขุนนางในเมืองหลวงได้แล้ว อีกทั้งตำแหน่งยังไม่อาจต่ำเกินไปด้วย
ลู่อี้รู้สึกเจ็บจึงรู้สึกตัวขึ้นมา
มู่ซืออวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านเพิ่งฟื้น สมองก็เต็มไปด้วยเรื่องในราชสำนัก เหนื่อยหรือไม่? ในเวลาเช่นนี้ ท่านยังไม่อาจลุกจากเตียงเดินเหินไปมาได้ แม้แต่หายใจก็ยังยาก ในอ้อมกอดท่านยังกอดภรรยาของท่านไว้ ท่านจะทำแค่เพียงชมทิวทัศน์กับข้าเงียบ ๆ สักพักไม่ได้หรือไร?”
“ฮูหยิน สามีผิดไปแล้ว” ลู่อี้กอดนางไว้แน่น
มู่ซืออวี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
นางเพียงห่วงความปลอดภัยของเขา ตอนนี้เห็นเขากลับมา แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อยเขาก็ยังสบายดี ในที่สุดนางจึงสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้
“ครั้งนี้ข้ากลับมาได้ ต้องขอบคุณซื่อจื่ออู่อันโหวผู้นั้น” ลู่อี้เอ่ย “เจ้าเด็กสกุลเซี่ยนั่น เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
“จำได้ หน้าตาเขาหล่อเหลา เป็นเด็กที่ไม่เลวคนหนึ่ง”