บทที่ 687 ถึงเมืองซานหลิน
บทที่ 687 ถึงเมืองซานหลิน
ทั้งสามจดจำมู่ซืออวี่ได้จึงไม่กล้าขวางนางและรีบเข้าไปรายงานฉีเซียวข้างในทันที
“ฮูหยิน เชิญด้านในขอรับ”
มู่ซืออวี่แช่อยู่ในน้ำนานเพียงนั้น สีหน้าของนางจึงไม่ค่อยดีนัก
เพียงแต่ นางเป็นห่วงสถานการณ์ของฉีเซียวมากกว่า หากไม่ใช่เพราะฉีเซียว วันนี้นางอาจไม่ได้มองเห็นดวงอาทิตย์แล้ว
ฉีเซียวนอนอยู่บนเตียง เมื่อเห็นนางเข้ามาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
“ท่านนอนลงอย่าขยับ”
นางรีบสาวเท้าเข้ามา จับบ่าเขาเอาไว้ แล้วดันตัวเขาให้นอนลงไป
หน้าต่างเรือกำลังเปิดอยู่ ลมทะเลพัดโชยเข้ามา ในอากาศเจือกลิ่นเค็มจาง ๆ
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? บนเรือไม่มีหมอ ไม่มีวิธีรักษาท่าน ทว่าภายในสองวันเราก็จะถึงเมืองซานหลินแล้ว ถึงตอนนั้นเราก็ลงจากเรือไปให้ท่านหมอตรวจดูได้”
“ข้าไม่เป็นไร” ฉีเซียวเอ่ย
“เมื่อวานขอบคุณท่านมาก!”
“ท่านกล่าวเช่นนี้เห็นข้าเป็นคนนอกแล้ว อีกอย่างหากช่วยท่านไว้ กลับไปข้ายังสามารถขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าลู่ได้ บุญคุณในการช่วยชีวิตนี้มีค่าอย่างยิ่ง” แววตาของฉีเซียวปรากฏรอยยิ้มแวบขึ้นมา
“แม้จะไม่มีบุญคุณช่วยชีวิต เพียงอาศัยความสัมพันธ์ของท่านกับใต้เท้าลู่ของเรา ขอเพียงแค่ท่านเอ่ยปากสักคำ พวกเราก็จะทุ่มเททำให้ดีที่สุด”
“จริงหรือ?”
“แน่นอน”
“ข้าจดจำไว้แล้ว”
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสามคนที่อยู่ข้างนอกมองหน้ากันไปมา
หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยเห็นใต้เท้าสุภาพต่อผู้อื่นเพียงนี้หรือไม่?”
“แม้จะเป็นฝ่าบาท ใต้เท้าของพวกเรายังเฉยชา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะพูดจาขบขันกับผู้อื่น”
“เมื่อวานนี้ใต้เท้างมหาฮูหยินลู่อยู่ใต้น้ำเป็นนานสองนาน พวกเราทุกล้วนให้เขายอมแพ้ แต่เขาก็ยังดึงดัน สถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าใต้เท้าดูเหมือนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้นแม้แต่น้อย”
“ชู่ว!”
มู่ซืออวี่เดินออกมา นางเอ่ยกับผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสาม “เมื่อวานต้องขอบคุณพวกท่านแล้ว”
“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ พวกเราเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
ระยะเวลาสองวันนี้ มู่ซืออวี่ยืมครัวเล็ก ๆ ในเรือ และให้ฉานอีทำน้ำแกงตามสูตรของนางเพื่อบำรุงร่างกายให้ฉีเซียว
สองวันต่อมา ร่างกายของฉีเซียวเกือบจะหายดีแล้ว ทว่ามู่ซืออวี่ยังคงขอให้เขาลงเรือไปให้ท่านหมอตรวจอาการ
ในตอนนั้นเอง เถ้าแก่เรือและเถ้าแก่ลี่จึงได้รู้ว่าฮูหยินลู่คือสตรีผู้ทำการค้าอันดับหนึ่งที่โด่งดังผู้นั้น อีกทั้งยังเป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีลู่คนปัจจุบัน
พวกเขาเฝ้ามองมู่ซืออวี่และฉีเซียวลงจากเรือ แต่ละคนมีสีหน้าแปลกพิกล ราวกับว่ากำลังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่ได้ใช้โอกาสนี้กอดต้นขาของนาง
นางเป็นถึงฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีลู่เชียวนะ มิหนำซ้ำนางยังได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งความมั่งคั่งสำหรับผู้ทำการค้า สถานะนี้ทำให้พวกเขาตาลุกวาวยิ่งกว่าสถานะฮูหยินอัครมหาเสนาบดีลู่เสียอีก
“เช่นนั้นฆาตกรวิปริตผู้นั้นเล่า?”
“เขาอาจมาที่เมืองซานหลิน”
“เพราะเหตุใด?”
“เมืองซานหลินมีของที่เขาต้องการ”
มู่ซืออวี่เชิญฉีเซียวให้มาพักที่บ้านลู่ในเมืองซานหลินเป็นการชั่วคราว
ฉีเซียวให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาส่งข่าวออกไปให้คนอื่น ๆ มาพบกันที่นี่
หากมองผิวเผินอาจดูเหมือนว่าเขาหายดีแล้ว ทว่าหากผู้ร้ายฆ่าคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ด้วยสภาพร่างกายในตอนนี้ของเขาแล้วคงจับอีกฝ่ายได้ยากยิ่ง ระหว่างที่คนผู้นั้นยังไม่ก่อเหตุ เขาต้องรีบดูแลตนเองให้หายดี
มู่ซืออวี่จัดเตรียมบ่าวรับใช้มาดูแลฉีเซียว ส่วนนางรีบกลับไปที่โรงต่อเรือเพื่อตรวจสอบเรื่องภาพจำลองที่ถูกขโมย
“ภาพแบบจำลองถูกขโมยไป ตู้นิรภัยเสียหายหรือไม่?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
เฟิงเจิงนำตู้นิรภัยออกมาแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ ท่านดูสิ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้น พวกเราก็ไม่ได้แตะต้องมันเลยนะ”
มู่ซืออวี่ตรวจสอบตู้นิรภัยอย่างละเอียดรอบคอบ
ตู้นิรภัยนั้นไม่เสียหาย เช่นนั้นก็หมายความว่ามันถูกเปิดด้วยรหัสผ่าน อย่างไรก็ตาม มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่รู้รหัสผ่านตู้นิรภัย นอกจากนางและเฟิงเจิงแล้ว ยังมีช่างต่อเรืออีกสามคน
ช่างต่อเรือทั้งสามคนล้วนน่าสงสัย
เมื่อมู่ซืออวี่เรียกช่างต่อเรือมา พวกเขาก็คาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว
“วันนั้นเป็นวันเกิดภรรยาข้า ข้าจึงกลับเร็ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่โรงต่อเรืออีกเลย” นายช่างถังเอ่ย
“เรือที่ข้าสร้างมีกำหนดทดลองการใช้งานวันนั้น ทว่าผลไม่เป็นไปอย่างที่ข้าต้องการ ข้าอารมณ์ไม่ดีนักจึงไปดื่มที่เหลาสุรา เถ้าแก่ที่ขายสุราให้ข้าเป็นพยานได้ ข้าดื่มจนถึงยามจื่อ*[1] จากนั้นข้าก็กลับบ้านแล้ว”
“วันนั้นข้าเข้านอนเร็ว ข้าอาศัยอยู่เพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดเป็นพยานให้ข้า แต่ข้ายืนยันกับท่านได้ เรื่องเช่นนี้ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ”
เฟิงเจิงยกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์ วันนั้นข้ากำลังตรวจสอบสมุดบัญชีอยู่ในโรงเก็บของ ตอนนั้นเองข้าพลันได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงนั้นแผ่วเบาเป็นอย่างมาก ต่อมาข้าก็ได้ยินเสียงแมวร้อง ยังนึกว่ามีแมวมาเล่นซนอยู่แถวนี้ ตอนนั้นไม่ทันคิด บัดนี้มาคิดดูแล้ว เสียงแมวตอนนั้นไม่ถูกต้อง ที่นี่ไม่มีแมวเสียหน่อย เพราะของที่นี่ต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี ไม่อาจให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นได้ อีกทั้งที่นี่ยังมีการเข้าออกที่รัดกุม แมวที่ไหนจะเข้ามาได้?”
“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าได้ตรวจสอบดูรอบ ๆ แล้วหรือยัง?”
“ตรวจสอบแล้วขอรับ” เฟิงเจิงเอ่ยตอบ “ข้าได้แจ้งทางการแล้ว ใต้เท้าโม่มาตรวจดูด้วยตนเอง แต่กลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของหาย แต่เป็นของไม่อยู่กับเราแล้ว ผู้ที่ขโมยกลวิธีของเราไป หากพวกเขาใช้แบบของเราเพื่อสร้างเรือมาจัดการกับเรา เช่นนั้นคงเป็นปัญหายิ่ง นายช่างทั้งสาม ระหว่างทางข้าไม่ได้ทำอะไรจึงวาดแบบเรือขึ้นมาอีกสองสามแบบ หากทำตามภาพแบบจำลองนี้จะต้องได้เรือที่ดียิ่งกว่าและมีกำลังรบมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
นายช่างทั้งสามมองภาพแบบจำลองที่มู่ซืออวี่นำออกมา
“วิเศษ ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
“ฮูหยิน ท่านเป็นอัจฉริยะโดยแท้!”
“หากทำตามที่ฮูหยินกล่าว สร้างเรือตามภาพแบบจำลองนี้ เกรงว่าแม้เรือรบของอาณาจักรเหลียงจะเข้ามาใกล้ก็คงจะไม่มีโอกาสโจมตีอย่างแน่นอน เพียงแต่ฮูหยิน เหตุใดท่านจึงนำภาพแบบจำลองออกมาให้เราโดยตรงเล่า ท่านไม่กลัวว่าเราจะเป็นคนขโมยภาพแบบจำลองไปหรือ?”
“ข้าเชื่อพวกท่าน” มู่ซืออวี่เอ่ย “นอกจากนี้ หากเป็นพวกท่านก็คงไม่จำเป็นต้องขโมยภาพแบบจำลอง เพราะพวกท่านเพียงแค่วาดตามก็ได้แล้ว เหตุใดต้องลำบากถึงเพียงนั้น?”
“ใต้เท้าโม่ก็เอ่ยเช่นเดียวกัน” เฟิงเจิงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเสริม
“ภาพแบบจำลองก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องไปสนใจแล้ว ให้สร้างเรือตามภาพแบบจำลองใหม่” มู่ซืออวี่เอ่ย “ยังคงเป็นเช่นเดียวกับกฎก่อนหน้านี้ หนึ่งกลุ่มรับผิดชอบเพียงส่วนเดียว การประกอบรวมขั้นสุดท้ายมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ทำได้”
“ขอรับ!”
มู่ซืออวี่ลากร่างกายที่อ่อนล้าของนางกลับไปยังบ้านสกุลลู่
ฉีเซียวบังเอิญเดินออกมาพอดี เมื่อเห็นนางกลับมาแล้วจึงเอ่ยถาม “ตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตู้นิรภัยถูกเปิด นั่นหมายความว่าผู้ที่เปิดตู้อาจรู้รหัสผ่านมาจากผู้อื่น ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการถอดรหัส”
“ได้ตู้นิรภัยกลับมาแล้วหรือ?”
“ฉานอี”
ฉานอีนำตู้ใบหนึ่งออกมา
ฉีเซียวรับมันเอาไว้ แล้วถือกล่องกลับเข้าไปในห้อง
มู่ซืออวี่เดินตามเขาเข้าไป
ฉีเซียวดึงปิ่นปักผมจากบนศีรษะ จากนั้นลองไขตู้ดูแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีความเสียหาย นายช่างของท่านหลายคนเหล่านั้น ตรวจสอบพวกเขาแล้วหรือยัง?”
“ตรวจสอบแล้ว ข้าคิดว่าไม่ใช่พวกเขา” มู่ซืออวี่อธิบายเหตุผลของนางให้ฟัง “พวกเขาไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมไปมาเช่นนี้ ผู้อื่นไม่อาจเข้าถึงภาพแบบจำลองได้ แต่พวกเขาได้สัมผัสมันอยู่บ่อยครั้ง ไม่จำเป็นต้องขโมยแม้แต่น้อย”
ฉีเซียวตะโกนออกไปด้านนอก “ฉีเซิ่ง!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินเข้ามา “ขอรับใต้เท้า”
“แป้งเล่า?”
ฉีเซิ่งจึงนำขวดออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ผู้เป็นนาย