บทที่ 737 บังเอิญมากเกินไปหน่อย
บทที่ 737 บังเอิญมากเกินไปหน่อย
“มีอะไรให้ตรวจสอบกัน? ผู้ร้ายอยู่ตรงหน้า พวกเขาเพียงแต่ไม่กล้าจับ ท้ายที่สุดไม่ใช่ว่าจะปล่อยไปหรืออย่างไร” ซูฟางหวาเบ้ปาก
“เงียบปากเถอะ!” ฟ่านเหยี่ยนเอ่ย “หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ออกไปเสีย”
“เซวียนอ๋องอย่าได้ร้อนใจไป อันที่จริงพวกเราสงสัยยิ่งนักว่า เหตุใดเซวียนหวางเฟยถึงได้รู้ว่าสร้อยทองมีอะไรผิดปกติ? หรือท่านรู้ล่วงหน้าว่าสร้อยทองนี้มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?” มู่ซืออวี่กล่าวนิ่ง ๆ
ซูฟางหวาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเย่อหยิ่งจองหอง “ฮูหยินลู่ ใต้หล้าล้วนกล่าวยกย่องท่านว่าฉลาดหลักแหลม ตอนนี้กลับดูเหมือนไม่เป็นดังนั้น เมื่อครู่พวกท่านล้วนตรวจหาว่าคุณชายน้อยสัมผัสอะไรมาบ้าง ทว่าสร้อยทองนั้นห้อยอยู่ที่คอเขา ของที่เห็นอยู่ทนโท่เช่นนี้ไม่ตรวจสอบ นี่ไม่เหมาะสมกระมัง? เพียงเพราะเป็นของขวัญที่ได้รับพระราชทานจากฮองเฮา พวกท่านจึงไม่กล้าตรวจสอบอย่างนั้นรึ?”
“ถึงแม้จะเป็นสร้อยทองที่ได้รับพระราชทานมาจากพระนางฮองเฮา พวกเราล้วนไม่มีผู้ใดนึกสงสัยพระนางฮองเฮาแม้เพียงผู้เดียว” ซูจือหลิ่วได้ยินท่านหมอหลวงกล่าวว่าสามารถปรุงยาน้ำขับพิษให้ได้ก็ผ่อนคลายลง จึงพอมีอารมณ์มาโต้ตอบกับซูฟางหวาสองสามประโยค
“ข้อแรก พระนางฮองเฮาไม่มีเหตุจูงใจให้ทำเช่นนี้ พระนางเป็นถึงพระมารดาแห่งแผ่นดินผู้สูงส่ง ทรงพระราชทานสร้อยทองต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนั้น แต่สร้อยทองกลับมีปัญหาขึ้นมา นี่ส่งผลดีอะไรต่อพระนางกัน? ข้อที่สอง ถึงแม้สร้อยทองจะเป็นพระนางฮองเฮาพระราชทาน แต่กลับเป็นนางกำนัลที่เป็นผู้ส่งมอบ เกรงว่าพระนางฮองเฮาจะไม่ได้มีเวลาอยู่กับสร้อยทองมากถึงเพียงนั้น หากมีปัญหาจริง ๆ เช่นนั้นผู้ที่ถือสร้อยทองก็ควรถูกตรวจสอบ นับตั้งแต่ช่างที่ทำสร้อยเส้นนี้ตลอดจนถึงนางกำนัล ล้วนมีโอกาสเกี่ยวข้องทั้งสิ้น”
ซ่างกวนจิ่นซิ่วพยักหน้าหงึก ๆ ดูว่านอนสอนง่ายเป็นอย่างยิ่ง
ฟ่านหยวนซีมองนางราวกับนางเป็นคนโง่งมผู้หนึ่ง
ในที่นี้มีผู้คนมากมาย มีเพียงซ่างกวนจิ่นซิ่วที่ใส่ใจคำพูดใส่ร้ายป้ายสีของซูฟางหวา ผู้อื่นล้วนไม่ได้ถือเอาคำพูดของนางเป็นจริงจังแม้แต่น้อย
ลู่ฉาวอวี่รับคดีไปจัดการ ขณะที่ผู้อื่นรั้งอยู่ข้างกายเด็กน้อยสองคนที่ถูกพิษ คอยดูว่ายาที่หมอหลวงจัดมาจะได้ผลหรือไม่
“ลูกหลับไปแล้ว” ซูจือหลิ่วมองเด็กน้อยในเปล แล้วหันไปเอ่ยกับลู่เซวียนที่อยู่ข้าง ๆ “ข้าว่ายาที่หมอหลวงเตรียมมาคงออกฤทธิ์แล้วกระมัง ผื่นก็ยุบลงไปเยอะ อีกทั้งลูกก็ไม่ได้ไม่สบายตัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าอยู่เป็นเพื่อนลูกเถิด ข้าและพี่ใหญ่ยังต้องไปรับรองแขก ทางด้านแขกฝั่งสตรีก็มอบให้พี่สะใภ้รับรอง เจ้าไม่ต้องออกไปแล้ว คอยดูแลลูกก็พอ”
ลู่เซวียนรู้ว่ายามนี้จิตใจนางคงพะวงอยู่กับลูก ไม่มีกะจิตกะใจจะคบค้าสมาคมกับผู้ใด
“ได้” ซูจือหลิ่วก็ไม่ได้เกรงใจ นางหันไปเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “พี่สะใภ้ รบกวนท่านแล้ว”
“ยังจะเห็นข้าเป็นคนนอกอะไรอีก?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ทางฮั่วเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไร ข้าให้คนไปดูแล้ว สร้อยทองของนางไม่มีปัญหา”
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดต้องมาทำร้ายหลีเอ๋อร์ของพวกเราด้วย?” ซูจือหลิ่วเอ่ย “ใช้วิธีการน่ารังเกียจเช่นนี้เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างเรากับราชวงศ์ นี่โจ่งแจ้งเกินไปแล้วกระมัง”
“บางครั้งสิ่งที่สำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าวิธีการนั้นน่ารังเกียจหรือไม่ หากแต่เป็นจุดประสงค์ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคืออะไรต่างหาก”
ลู่ฉาวอวี่ไปตรวจสอบแล้ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วสั่งทำสร้อยทองขึ้นมาคู่หนึ่ง ทว่ามีเพียงชิ้นเดียวที่ถูกเคลือบพิษ ดังนั้นเขาจึงตามเบาะแสนี้ไปและพบว่าผู้ที่แตะต้องสร้อยทองนั้นเป็นสาวใช้แต่งเข้าของฮองเฮา นี่นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
สาวใช้แต่งเข้ายืนกรานว่านี่เป็นรับสั่งของฮองเฮา หลังจากถูกทรมานสารพัดวิธีจึงทนไม่ไหวสิ้นใจตายแล้ว
เบาะแสขาดหายไปอยู่ที่ตรงนี้
หลักฐานทุกสิ่งล้วนชี้ไปที่ซ่างกวนจิ่นซิ่ว
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปได้อย่างไรไม่อาจทราบ ทุกคนในเมืองหลวงจึงรู้ว่าในงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรนายท่านรองลู่ เด็กอวบอ้วนที่ได้มาไม่ง่ายผู้นั้นเกือบสิ้นลมหายใจในเงื้อมมือของฮองเฮาแล้ว
ผลที่ได้คือ ทฤษฎีสมคบคิดมากมายต่าง ๆ นานาถูกเล่าลือออกไปเป็นวงกว้าง
บางคนกล่าวว่าเดิมทีอาณาจักรเฟิ่งหลินส่งองค์หญิงผู้นี้มาแต่งงานเพราะมีแผนการ จุดประสงค์คือสร้างความบาดหมางระหว่างราชวงศ์และสกุลลู่ ด้วยการให้สกุลลู่เกลียดชังราชวงศ์ แล้วก่อความโกลาหลวุ่นวายขึ้นภายในอาณาจักร
ข้างนอกแพร่ข่าวลือว่าซ่างกวนจิ่นซิ่ว ‘ฮองเฮาปีศาจ’ ผู้นี้ล้ำลึกพิสดาร
ความเห็นของผู้คนถูกปลุกปลั่นได้ง่ายยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยโบราณหรือยุคสมัยปัจจุบัน คำคนนั้นน่ากลัว สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นเสือได้ ท้ายที่สุดซ่างกวนจิ่นซิ่วฮองเฮาคนใหม่ผู้นี้จึงกลับกลายเป็นแม่มดผู้ล่อลวงฮ่องเต้ ทำให้ชื่อเสียงของฟ่านหยวนซีพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
สกุลลู่มีความสำคัญต่อจิตใจอาณาประชาราษฎร์ยิ่ง โดยเฉพาะมู่ซืออวี่ ฮูหยินลู่ผู้นี้ นางสร้างคุณงามความดีต่อผู้คนไว้มากมาย มากเสียจนเมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับมู่ซืออวี่ย่อมมีผู้คนคอยสนับสนุน ทว่าบัดนี้กลับมีคนใช้อาวุธที่แหลมคมนี้จัดการสกุลลู่และฟ่านหยวนซีแล้ว
ทุกคนล้วนรู้ว่าซ่างกวนจิ่นซิ่วเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่เป็นแผนการของใครบางคน
เพียงแต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ มาใช้ยืนยัน
หลักฐานทุกอย่างล้วนถูกทำลายไปแล้ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วจึงถูกตำหนิโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ควรจัดการกับซ่างกวนจิ่นซิ่วหรือไม่?
หากจัดการแล้ว ซ่างกวนจิ่นซิ่วย่อมต้องผิดหวัง อีกทั้งทางอาณาจักรเฟิ่งหลินย่อมต้องเกิดข้อพิพาท หากไม่ระวังอาจกลายเป็นการจุดชนวนสงครามระหว่างสองอาณาจักรได้
แต่หากไม่จัดการ ราษฎรจะต้องร้องขอความเป็นธรรมให้สกุลลู่ คิดว่าฟ่านหยวนซีถูกฮองเฮาปีศาจผู้นี้เป่าหูข้างหมอนจึงเริ่มลงมือกับสกุลลู่แล้ว นับตั้งแต่โบราณกาล ฮ่องเต้ที่ยิงนกแล้วเก็บธนู*[1] มีให้เห็นทุกราชวงศ์
บารมีของฟ่านหยวนซีในใจของผู้คนไม่เทียบเท่ากับสกุลลู่ กล่าวได้ว่า เป็นเพราะสกุลลู่สนับสนุนฟ่านหยวนซีขึ้นสู่อำนาจ ราษฎรถึงได้ยอมรับเขา หากบอกว่าฟ่านหยวนซีพุ่งเป้ามาที่สกุลลู่เพราะมีคนฉวยโอกาสปลุกปั่นเขา ย่อมมีผู้ที่ตกหลุมพรางเชื่ออย่างสนิทใจเช่นกัน
เมื่อวิเคราะห์จากอีกมุมหนึ่งแล้ว ถึงแม้เรื่องนี้จะจัดการได้ แต่เมื่อฟ่านหยวนซีผู้หวาดระแวงไปเสียทุกเรื่อง เห็นสกุลลู่มีราษฎรรักมากมายเพียงนี้ เขาจะทนกับอำนาจล้นฟ้าเหนือราชวงศ์ของสกุลลู่ได้หรือ?
นี่นับว่าเป็นแผนการที่วางมาได้อย่างร้ายกาจยิ่ง
เดินหน้าเพื่อจู่โจม ร่นถอยเพื่อตั้งรับ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกอุบายนี้เป็นผู้ที่ชาญฉลาด อีกทั้งยังต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด
ณ พระตำหนักหย่างซิน ฟ่านหยวนซีมองลู่อี้ “เรื่องนับวันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ แล้ว ตอนนี้ข้างนอกล้วนเล่าลือว่าฮ่องเต้ผู้นี้เริ่มลงมือจัดการสกุลลู่ของพวกเจ้า หากเรื่องราวยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ ชื่อเสียงฮ่องเต้ผู้เหี้ยมโหดของข้าคงกึกก้องไปยิ่งกว่าเดิม”
“ฝ่าบาททรงสนพระทัยชื่อเสียงประเภทนี้ด้วยหรือ?” ลู่อี้เอ่ยด้วยท่าทีสงบ “หากทรงสนพระทัย หลายปีมานี้คงไม่แสดงออกอย่างผ่าเผยเพียงนั้น”
“เจ้าว่าควรทำอย่างไร? หลายวันนี้ฮองเฮาทรงพระกรรแสงหนัก ทุกวันนางจะยืนอยู่หน้าตำหนักราวกับกระต่ายน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อครู่นี้นางยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น กล่าวว่านางไม่ได้ดูแลคนของตนให้ดี เรื่องนี้ไม่นับว่านางผิด นางยินดีจะเขียนจดหมายไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่ออธิบายเรื่องราวให้กระจ่าง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักร นางยังกล่าวว่าจะเลือกองค์หญิงจากอาณาจักรเฟิ่งหลินอีกผู้หนึ่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์”
ลู่อี้ยิ้มออกมา
ฟ่านหยวนซีมองอีกฝ่าย “เจ้ายิ้มอะไร?”
“ฝ่าบาทช่างโชคดีที่ได้องค์หญิงถึงสองพระองค์จากอาณาจักรเฟิ่งหลิน นี่นับเป็นเรื่องมงคลเช่นกัน วังหลังของท่านว่างเปล่าเกินไปอยู่พอดี เช่นนี้จะได้สตรีมาช่วยท่านเพิ่มอีกคน”
“ใต้เท้าลู่กล่าวเช่นนั้น ดูเหมือนว่ากำลังปรารถนาในเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นก็ดี เราจะมอบสาวงามให้ท่านสักสิบคน ท่านจะได้สำเริงสำราญกับการแผ่กิ่งก้านใบ”
“นั่นไม่จำเป็น” ลู่อี้ประกบมือ “อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องยับยั้ง สิ่งที่คนที่อยู่เบื้องหลังต้องการเห็นคือภาพที่ฝ่าบาทสูญเสียแรงสนับสนุนจากผู้คน เช่นนี้จึงจะสมความปรารถนาของเขา”
“เจ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้หรือ?” ฟ่านหยวนซีเข้าใจความหมายของลู่อี้ในทันที “เพียงไม่กี่วันเรื่องก็ลุกลามใหญ่โตเพียงนี้ หมายความว่าจะต้องมีคนคอยโหมกระพือไฟเป็นแน่ เช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้เก็บกวาดเถอะ!”
[1] ฮ่องเต้ที่ยิงนกแล้วเก็บธนู หมายถึง เมื่อฮ่องเต้ได้มาซึ่งอำนาจแล้วก็มักจะจัดการกับวีรบุรุษที่ต่อสู้มาด้วยกัน