สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 751 แรงจูงใจของฆาตกร

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 751 แรงจูงใจของฆาตกร

บทที่ 751 แรงจูงใจของฆาตกร

“หากเป็นเพื่อผลประโยชน์ เช่นนั้นยิ่งน่ากลัวแล้ว” ซางจือที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนางมีเพียงสองคน ผู้หนึ่งเป็นน้องชายของนาง นายท่านอวี๋ อีกผู้หนึ่งเป็นบุตรสาวของนาง อินซู่หลาน สองคนนี้ล้วนเป็นญาติสนิท หากหนึ่งในนั้นฆ่าฮูหยินอินจริง เช่นนั้นพวกเขาจะต่างอะไรกับเดรัจฉานเล่า?”

“นั่นสิ ถึงแม้ฮูหยินอินจะไม่ตายก็ไม่มีทางปฏิบัติต่อทั้งสองคนอย่างเลวร้าย หากหนึ่งในพวกเขาเป็นคนทำ คงสติฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ” ฉานอีเห็นพ้องต้องกัน

คืนนั้น มู่ซืออวี่นั่งตรวจสมุดบัญชีอยู่ที่โต๊ะ

ถึงแม้นางจะยังไม่ได้ไปที่ลานหรรษาเพื่อตรวจงาน แต่สมุดบัญชีกลับส่งมาแล้ว นอกจากนี้นางยังให้คนไปส่งจดหมายให้เจิ้งซูอวี้ แจ้งเรื่องที่นางอยู่ที่เมืองฮู่เป่ยในตอนนี้ด้วย

หนึ่งชั่วยามต่อมา ผู้ติดตามที่ไปยังสกุลอินต่างก็กลับมาแล้ว

“ฮูหยิน ข้าน้อยพบความลับบางอย่างจริง ๆ ขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ย “นั่นคือ เอ่อ… ข้าน้อยพูดไม่ออก”

“ฮูหยินรอเจ้าตอบกลับอยู่ อย่าได้มาพิรี้พิไรตรงนี้” ฉานอีกล่าวเร่ง “ที่แท้เป็นความลับอะไรกันแน่?!”

“ไม่ใช่ข้าน้อยพิรี้พิไรนะขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยละอายเกินไป” ผู้ติดตามผู้นั้นเอ่ย “ข้าเห็นคุณหนูอินเข้าไปในห้องนายท่านอวี๋ขอรับ”

“ดึกเพียงนี้แล้ว พวกเขาน้าหลานยังปรึกษาเรื่องกิจการกันอยู่อีกหรือ?” ซางจือเอ่ยถามด้วยความไร้เดียงสา

ฉานอีเหลือบมองนางด้วยความโมโห “เขาเพิ่งกล่าวว่าน่าละอายเกินไปจนไม่กล้าพูดออกมา หากเพียงแค่ปรึกษาเรื่องกิจการ เขาจะพูดไม่ออกได้อย่างไรเล่า?”

“น่าละอาย ไม่กล้าเอ่ยปาก เข้าไปในห้อง…” ซางจือปิดปากของตนเอง มองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “พวกเราตกหล่นรายละเอียดสำคัญอะไรไปใช่หรือไม่?”

“ฮูหยิน สองคนนี้มีปัญหาดังคาด”

“อินซู่หลานเคยซื้อผ้าแดง ดูเหมือนนางต้องการตัดชุดแต่งงาน ตอนนั้นฮูหยินอินยังไม่ตาย หากรู้ว่าผู้ที่อินซู่หลานอยากแต่งงานด้วยคือนายท่านอวี๋ เช่นนั้นฮูหยินอินจะไม่คลุ้มคลั่งหรือ? วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พวกเจ้าไปตรวจสอบเรื่องของสกุลอินมาเถิด ยิ่งละเอียดเพียงใดยิ่งดีเพียงนั้น หากผู้ที่รู้ข้อมูลยินดีให้ความร่วมมือ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”

“ขอรับ”

กลางดึกคืนนี้ มู่ซืออวี่พลิกกายกลับไปกลับมา ไม่อาจข่มตาหลับ

ในสมองของนางล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับสกุลอิน

“ผู้ที่อินซู่หลานต้องการแต่งงานใช่นายท่านอวี๋หรือไม่? หากว่าใช่ นางจะกล้าซื้อชุดแต่งงานได้อย่างไร? จะกล้าให้ฮูหยินอินรู้ได้อย่างไร? หรือว่านางคิดว่าฮูหยินอินจะไม่ห้าม? เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ห้ามเล่า? หรือว่านายท่านอวี๋ผู้นี้กับอินซู่หลานไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด? หากไม่เกี่ยวข้อง…”

เช้าวันถัดมา มู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใต้ตาดำคล้ำ

วันนี้นางไม่มีแผนจะออกจากบ้าน เพียงแค่ต้องรอให้ลูกน้องที่ไปสืบหาข่าวกลับมาเท่านั้น

“สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีนัก” ถงซื่อใกล้จะหายเป็นปกติแล้วจึงสามารถลงจากเตียงมาเดินเล่นได้บ้าง”

เมื่อเห็นสภาพที่ทรุดโทรมของมู่ซืออวี่จึงรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก

“ท่านแม่ ข้าสังหรณ์ใจ อีกไม่นานความจริงของคดีนี้ก็ใกล้จะปรากฏแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน รอจบเรื่องก่อน ข้าจะพักผ่อนสามวันสามคืน ถึงตอนนั้นผู้ใดก็อย่าได้คิดปลุกข้าลุกขึ้นมาเล่า” มู่ซืออวี่อ้าปากหาว

“ท่านอาจูของเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่?”

“ไม่ใช่ก็นับว่าใกล้เคียง”

“ดียิ่งนัก” ถงซื่อประกบมือเข้าด้วยกัน “สวรรค์ช่างเมตตาข้าเหลือเกิน หากเจ้ามาช้าไปเพียงสองสามวัน ท่านอาจูของเจ้าคงถูกตัดสินโทษ ถึงตอนนั้นคงยากที่จะพลิกคดี โชคดีที่เจ้ากลับมาแล้ว เจ้ากลับมายามนี้เพราะสวรรค์สงสารข้า ไม่อยากทำลายครอบครัวที่เราสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากเป็นแน่”

ไม่นานนัก ผู้ติดตามก็กลับมา

มู่ซืออวี่ได้ยินทุกสิ่งที่นางต้องการรู้

“ตอนนี้ ข้ายังมีงานให้พวกเจ้าทำ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ระหว่างที่พวกเจ้าทำเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าต้องเก็บไว้เป็นความลับ ไม่อาจแพร่งพรายก่อนเป็นอันขาด”

“ฮูหยินวางใจเถิด พวกข้าจะต้องทำงานนี้ให้ลุล่วงได้อย่างแน่นอน”

นายท่านอวี๋ขึ้นรถม้า ขณะที่รถม้ากำลังจะเคลื่อนออกไปมันกลับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ร่างของเขาถลาไปข้างหน้า เขารีบคว้ามือจับที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อทรงตัว

นายท่านอวี๋เปิดม่านออก แล้วมองคนขับรถม้าด้านนอกด้วยความไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกองกำลังเบื้องหน้า คำพูดที่เดิมทีกำลังจะออกจากปากจำต้องกล้ำกลืนลงไปก่อน

เขายกยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง “ทุกท่านมีเรื่องอะไรหรือ?”

“นายท่านอวี๋ ประเดี๋ยวใต้เท้าจะมาคารวะ ท่านไม่ต้องออกไปข้างนอกจะดีที่สุด” นักการเอ่ย

“ข้ายังต้องไปปรึกษาหารือเรื่องการค้า” นายท่านอวี๋ยุ่งยากใจ “เปลี่ยนเวลาได้หรือไม่? ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ข้าจะไปขออภัยใต้เท้าที่ศาลาว่าการด้วยตนเอง”

“ไม่ต้องแล้ว ใต้เท้าบอกว่าท่านไปที่ใดไม่ได้ทั้งสิ้น” นักการเอ่ยโดยไม่แม้แต่เปลี่ยนสีหน้า “เชิญเข้าไปข้างในเถอะ นายท่านอวี๋ พวกเราล้วนเป็นคนหยาบกระด้าง หากพลั้งพลาดทำร้ายท่านเข้า นั่นจะไม่ดี”

“เช่นนั้นก็เอาเถอะ!” นายท่านอวี๋เอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เสี่ยวชุน เจ้าไปบอกนายท่านจางสักเที่ยวเถิด บอกว่าข้ายังมีเรื่องติดพันทางนี้ วันหลังจะเชิญเขาไปดื่มชา”

“ขอรับ”

นายท่านอวี๋ลงจากรถม้า ก้าวฉับ ๆ เข้าไปข้างใน

นักการขวางประตูจวนอินเอาไว้

ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นกองกำลังเช่นนี้ ล้วนสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว

มู่ซืออวี่มาถึงจวนอินพร้อมกับนายอำเภอกู่

เมื่อนายท่านอวี๋เห็นพวกเขาปรากฏตัวก็ลุกขึ้นคำนับทันที

“คุณหนูของพวกเจ้าเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “เชิญนางออกมาเถอะ!”

“ยัยหนูคนนั้นชอบเที่ยวเล่น เกรงว่านางจะออกไปข้างนอกแล้ว” นายท่านอวี๋เอ่ย “ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรต้องการกำชับหรือไม่? ข้าเป็นผู้อาวุโสของนาง เพียงบอกข้าก็พอ ข้าจะไปถ่ายทอดให้นางฟังภายหลังเอง”

“ท่านเป็นผู้อาวุโสของนาง?” มู่ซืออวี่เลิกคิ้วขึ้น “ผู้อาวุโสประเภทใดหรือ?”

“ฮูหยิน นี่หมายความว่าอย่างไร? ข้าเป็นน้าของนาง แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้อาวุโส ข้าในฐานะน้าย่อมอบรมสั่งสอนหลาน คงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง?”

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่ ท่านน้าผู้นี้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับนางจริง ๆ หรือ?”

“ฮูหยินสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเราอย่างนั้นรึ?” นายท่านอวี๋เอ่ยอย่างจนปัญญา “ถึงแม้พวกเราจะหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าข้าเป็นน้าของนาง นางหน้าตาคล้ายคลึงบิดาไม่เหมือนมารดาของนาง พวกเราน้าหลานย่อมหน้าตาไม่เหมือนกันแล้ว”

“หน้าตาเหมือนหรือไม่นั้นไม่สำคัญและไม่จำเป็นต้องพิสูจน์จากหน้าตาว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกันจริง ๆ หรือไม่ ท่านบอกว่าทุกคนล้วนรู้ว่าท่านคือท่านน้าของนาง ทว่าบางคนไม่แน่ว่าจะคิดเช่นนั้น” มู่ซืออวี่เอ่ย “เอาอย่างนี้ ใต้เท้ากู่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณหนูอินเองก็ยังมาไม่ถึง ข้าจะใช้เวลานี้เล่าเรื่องราวหนึ่งให้ใต้เท้ากู่ฟังก็แล้วกัน กล่าวกันว่ามีสตรีผู้หนึ่งเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว นางฟูมฟักเลี้ยงดูบุตรสาวตนมาเพียงลำพัง วันหนึ่ง ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เพราะภัยพิบัติผู้อพยพกลุ่มนี้จึงกลายเป็นคนไร้บ้าน ฮูหยินท่านนั้นขณะอยู่ข้างนอกพบกับอันธพาลเข้า พวกอันธพาลสร้างความยุ่งยากให้นาง เผอิญมีผู้อพยพผู้หนึ่งช่วยนางเอาไว้ได้พอดี”

“ฮูหยินซาบซึ้งต่อผู้มีพระคุณของตนเป็นอย่างยิ่งจึงพาเขากลับไปด้วย แต่เพราะนางเป็นแม่ม่าย เพื่อไม่ให้ผู้อื่นนินทาว่าร้ายจึงบอกว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ ที่มาเพิ่งพาอาศัย ผู้มีพระคุณผู้นั้นจึงรั้งอยู่ในฐานะน้องชายแท้ ๆ ของนางเรื่อยมา…”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท