ตอนที่ 1960 ไร้ชื่อและอุปกรณ์นิรันดร์
จี่อู๋หมิงงั้นรึ?
ทุกคนมองหน้ากันพร้อมกับส่ายหัว คนผู้นี้สมกับชื่ออู๋หมิงจริงๆ เนื่องจากไม่มีใครเคยรู้จักเขามาก่อน *อู๋หมิง = ไร้นาม”
เพียงแต่ทันใดนั้นใบหน้าของทุกคนก็แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที คนผู้นี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ที่ยั่วยุพวกเขาทุกคนโดยการโจมตีไม่เลือกหน้าเช่นนี้
“เจ้าคิดจะทําอะไรกันแน่?” จักรพรรดิผู้หนึ่งเอ่ยถาม
เหตุผลที่เขาเลือกถามแทนที่จะลงมือเลยนั้น เป็นเพราะการโจมตีของจี่อู๋หมิงก่อนหน้านี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก หากอีกฝ่ายไม่มั่นใจในพลังของตนเองล่ะก็ มีรึที่จะกล้าทําเช่นนั้น?
“ข้าแค่อยากเห็นพลังของพวกเจ้าก็เท่านั้น” จี่อู๋หมิงอย่างไม่ทุกข์ร้อน
คําตอบเช่นนี้ทําให้ใครหลายคนโมโหขึ้นมาทันใด อยากเห็นพลังของทุกคนก็เลยโจมตีโดยไม่พูดพล่ามแม้แต่คําเดียวน่ะรึ? ถ้าหากพวกข้าได้รับบาดเจ็บขึ้นมาล่ะจะทําอย่างไร? แน่นอนว่าพวกเขาได้แค่คิดและไม่กล่าวออกไป ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ ใครบ้างจะหวาดกลัวที่ต้องต่อสู้?
คนของอาณาเขตสวรรค์กว่างลง มองไปยังซูหย่าหรงกับถังหมิงหลง ในขณะที่คนของอาณาเขตสวรรค์ไม่อัน มองไปยังหลิงฮันกับฮูหนิว
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นซูหย่าหรง หรือถังหลงหมิง พวกเขาก็ทําเพียงจ้องมองไปยังจี่หมิงหลงเท่านั้น ไม่สิ หากจะพูดให้ถูกคือทั้งสองจดจ้องไปยังคันธนูสีเงินในมือของอีกฝ่ายต่างหาก
ฮูหนิวเองก็เค้นเสียงและกล่าวออกมา “หนิวรู้สึกเหมือนจะมีความทรงจําเกี่ยวกับคันธนูอันนั้น”
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรบมือทําท่านึกออกและกล่าว “มันคือธนูสวรรค์ไร้พรม
แดน!”
“แล้วมันคืออะไรกัน?” หลิงฮันเอ่ยถาม
“หนิวก็ไม่รู้มากนัก ความทรงจําเกี่ยวกับมันค่อนข้างเลือนราง เท่าที่รู้คือมันเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ชิ้นหนึ่ง ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก” ฮูหนิวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถูกแล้ว เป็นธนูสวรรค์ไร้พรมแดนจริงๆ!” ซูหย่าหรงเอ่ยแทรก “ตัวคันธนูทํามาจากกิ่งก้านของต้นพฤกษาโลกา ส่วนสายธนูทํามาจากเส้นเอ็นของจ้าวมังกรราชานิรันดร์ระดับเก้า เพียงแต่ดึงสายธนู อํานาจของมันก็สามารถบดขยี้ได้แม้กระทั่งสวรรค์ชั้นฟ้า”
ต้นพฤกษาโลกา จ้าวมังกรราชานิรันดร์ระดับเก้า!
ต้นพฤกษาโลกานั้นเป็นหนึ่งในเก้าพฤกษาบรรพบุรุษ ของแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพี ด้วยการที่คันธนูทํามาจากกิ่งก้านของมัน ย่อมไม่มีสิ่งใดเหนือชั้นไปกว่านี้แล้ว ส่วนเส้นเอ็นของจ้าวมังกรราชานิรันดร์ระดับเก้านั้นยิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เนื่องจากแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีเป็นเพียงพลังอํานาจที่เทียบกับราชานิรันดร์เท่านั้น ในขณะที่ราชานิรันดร์ระดับก้าวนั้น คือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชานิรันดร์
เมื่อสองสิ่งถูกนํามารวมเข้าด้วยกันเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ ความล้ำค่าของมันย่อมมากมายเกินจะจินตนาการได้
เพราะงั้นตราบใดที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เหล่าราชานิรันดร์จะต้องตกตะลึง และไล่ล่าจี่อู๋หมิง ไม่ว่าจะเป็นจากในเงามืดหรือซึ่งๆ ก็ตาม
หลิงฮันมีท่าทีระมัดระวังเล็กน้อย แน่นอนว่าตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มาล่วงเกินเขา เขาก็ไม่มีทางปล้นชิงอีกฝ่ายเพียงเพราะครอบครองสมบัติล้ำค่า แต่เมื่อครู่ที่จี่อู๋หมิงลงมือโดยไม่พูดพล่ามแม้แต่คําเดียวนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่หลิงฮันและพร้อมจะลงมือแล้ว
“ฮ่าๆ ช่างมีแววตาที่เฉียบคมนัก” จี่อู๋หมิงหัวเราะ “หุบเขาสามบุปผาอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ หวังว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่รังเกียจที่จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกคนนะ?”
“ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นคนของอาณาเขตสวรรค์ใดกัน?” ซูหย่าหรงเอ่ยถาม
“ข้าคือบุรุษที่ออกเดินทางไปทั่วหล้า ไม่ได้ยึดติดกับอาณาเขตสวรรค์ไหน” จี่อู๋หมิงกล่าวอย่างครุมเครือเป็นอย่างมาก อันที่จริงตั้งแต่ที่เขาบอกว่าตนเองชื่ออู๋หมิง ก็ทําให้ผู้คนคาดเดาตัวตนของเขายากแล้ว
ซูหย่าหรงกล่าว “สมบัติแห่งสวรรค์และปฐพี ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนมีสิทธิครอบครอง หากเจ้าต้องการก็ขึ้นอยู่กับวาสนาและพลังของตัวเจ้าเอง”
“ข้ามั่นใจในพลังของตัวเองอยู่แล้ว” จี่อู๋หมิงหัวเราะ ดวงตาของเขากวาดมองทุกคน ก่อนจะเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดและปิดตานั่งลง
การกระทําของเขาทําให้ทุกคนโมโหขึ้นมา “หมอนี่เพิ่งลอบโจมตีพวกเขาไปแท้ แต่ยังกล้ามานั่งอยู่ต่อหน้าพวกเขาอีกงั้นรึ?”
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นซูหย่าหรงหรือถงหมิงหลงก็ไม่ได้คิดจะลงมือ เพราะงั้นจอมยุทธของอาณาเขตสวรรค์กว่างลิงจึงทําได้เพียงระงับความโกรธเอาไว้
ทางด้านของอาณาเขตสวรรค์ไต่อัน หลิงฮันรู้สึกสนใจจี่อู๋หมิงเป็นอย่างมาก สัญชาตญาณของเขาบอกว่า จี่อู๋หมิงผู้นี้นั้นเป็นอัจฉริยะในระดับเดียวกันกับ ซูหย่าหรงและถังหมิงหลง ซึ่งเหมาะสมจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาและทําให้จิตวิญญาณสู้รบของเขาลุกโชน
“เขตแดนลี้ลับเบิดออกแล้ว!” เพียงแต่ในตอนนั้น จู่ๆ ใครบางคนก็อุทานออกมา
ณ เวลาทางเข้าหุบเขา เมฆหมอกเกิดการสลายตัวอย่างรวดเร็ว และปรากฏเส้นทางที่เอียงลาดลงไปด้านล่าง ทางเดินที่ว่านั้นมาขนาดกว้างหลายพันฟุต และดูเรียบราวกับถูกตัดด้วยดาบ
โขดหินต่างๆ เองก็ปรากฏร่องรอยถูกของมีคมตัดเช่นกัน ซึ่งร่องรอยเหล่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นจากการสึกกร่อนทั่วไป
“มีคํากล่าวว่าหลังจากการต่อสู้ระหว่างราชานิรันดร์ที่ทรงพลัง สนามรบก็ได้แปรสภาพกลายเป็นเขตแดนลี้ลับ” ใครบางคนกล่าว
นั่นคือต้นกําเนิดของหุบเขาสามบุปผางั้นรึ?
เมฆหมอกบริเวณด้านหน้าทางเข้า สลายหายไปด้วยความเร็วที่มากขึ้น ทําให้พื้นที่การมองเห็นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“ลุย!” ใครบางคนรีบกระโดดเข้าสู่หุบเขา
ไม่เกี่ยวว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ตราบใดที่ไปถึงพฤกษาอสนีบาตเพลิงพิโรธได้ ทุกคนย่อมมีโอกาสเป็นผู้ถูกเลือก
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” ฮูหนิวดึงแขนหลิงฮันและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ตกลง ไปกันเลย” หลิงฮันหัวเราะ และนําสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬ ไม่ใช่ว่าจอมยุทธระดับแบ่งแยกวิญญาณขึ้นไปไม่สามารถเข้าสู่หุบเขาได้ แล้วจอมยุทธระดับต่ำกว่าจะสามารถเข้าออกหุบเขาได้ตามใจชอบ
สถานที่แห่งนี้คือเขตแดนลี้ลับสําหรับ จอมยุทธระดับโลกียนิพพานเท่านั้น
ฮูหนิวเดินนลากหลิงฮัน ในขณะที่หลิงฮันเดินเคียงคู่ไปกับจักรพรรดินี และมีธิดาโร๋วตามหลัง
–
พวกเอี๋ยนเซียนลู่และคนอื่นๆ เองก็เริ่มออกเดินทางเช่นกัน พวกเขาร่วมกลุ่มกันเป็นพันธมิตรเพื่อใช้ค่ายกลเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง
เส้นทางของหุบเขานั้น ยิ่งเดินลงไปลึกก็ยิ่งมีพื้นที่กว้างขึ้น ในหุบเขาแห่งนี้ จะมีอํานาจแห่งปฐพีพรั่งพรูออกมาเป็นระยะ และควบแน่นกลายเป็นบุปผาแห่งเต๋าที่งดเงา
แต่ความงดงามนั้นก็ไม่มีใครกล้าไปสัมผัสโดนแม้แต่น้อย
หากสัมผัสโดนล่ะก็ ต่อให้ไม่ถึงกับตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีความเป็นไปได้ที่จะไม่อาจรักษาบาดแผลได้ไปตลอดชีวิต
บุปผาแห่งเต๋แม้จะดูเหมือนล่องลอยไปมาอย่างเชื่องช้า แต่ความจริงกลับเคลื่อนที่รวดเร็ว การเคลื่อนย้ายในพริบตา เพราะงั้นจึงต้องระวังให้ดี
ยิ่งลงไปลึกเท่าไหร่ จํานวนของบุปผาแห่งเต๋ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จนแทบปกคลุมไปทั่วทางเดิน
พวกหลิงฮันระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เมื่อเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ แม้แต่ฮูหนิวเองก็กล้าเคลื่อนไหวอย่างไม่ระมัดระวัง
หลังจากเวลาผ่านไปสามวัน ในที่สุดทางลาด ก็กลายเป็นทางเรียบ
ที่นี่คือก้นหุบเขางั้นรึ?
“เสียงระฆังแห่งความตายนี้ดังเพื่อใคร?” น้ำเสียงโทนต่ำและหนักอึ้งดังขึ้น