ตอนที่ 3 เยาเยาชอบเล่นงู
อาจารย์และลูกศิษย์มู่เถาเยาจึงลงหลักปักฐานพักอยู่ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านมู่เซินในหมู่บ้านเถาหยวนซานชั่วคราวด้วยประการฉะนี้
ตาแก่เลอะเทอะ อ้อ ไม่ใช่สิ ตอนนี้เขาไม่ใช่ตาแก่เลอะเทอะอีกต่อไป หลังจากล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาด หยวนเหยี่ยก็กลับมาเป็น ‘หมอเทวดา’ ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เป็นบุรุษวัยกลางคนที่แสนสุภาพและมีมารยาท
ขณะที่สองอาจารย์ศิษย์พักอยู่ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน พวกเขาก็ถือโอกาสรักษาโรคหลังคลอดของลูกสะใภ้ผู้ใหญ่บ้านที่ยังคงตกค้างอยู่จนหายดี
ต่อมาเมื่อชาวบ้านมีอาการปวดศีรษะ ขาหัก หรือถูกงูกัดก็จะวิ่งโร่มาหาเขา
หยวนเหยี่ยพบว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญยิ่งในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและชาวบ้าน จึงไม่เพียงรักษาพยาบาลให้โดยไม่คิดเงิน แต่ยังแถมสมุนไพรไปให้อีกด้วย
ชาวบ้านเปลี่ยนความเห็นอกเห็นใจเป็นความซาบซึ้งใจและกตัญญูอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมู่บ้านได้ปรึกษาหารือกันเพื่อจัดสรรที่ดินจากหมู่บ้านออกมาหนึ่งผืนและช่วยสร้างบ้านให้
ผู้ใหญ่บ้านถึงขั้นควักเนื้อของตัวเองออกมาเป็นพิเศษ มอบบ้านหลังเก่าของเขาให้แก่หยวนเหยี่ยเพื่อทำเป็นห้องปรุงยา
ด้วยเหตุนี้บ้านจึงอยู่ติดกับห้องปรุงยาทำให้สะดวกเป็นอย่างมาก
ชีวิตของสองศิษย์อาจารย์นับว่ามั่นคงได้เสียที
เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทุกครั้งที่มู่หว่านหลานสาววัยหนึ่งขวบสองเดือนของบ้านผู้ใหญ่บ้านร้องไห้ ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็จะอุ้มเธอไปหามู่เถาเยาเพื่อสอนบทเรียนให้แก่เธอ
“ดูสิ น้องสาวเยาเยาอ่อนกว่าหลานตั้งหนึ่งเดือน แต่น้องสาวไม่เคยร้องไห้เลย เธอกินข้าว อาบน้ำ และเข้าห้องน้ำได้ด้วยตัวเอง แล้วดูตัวหลานสิ!”
เมื่อซาลาเปาน้อยมู่หว่านเห็นมู่เถาเยา น้ำตาที่กำลังจะหยดแหมะลงมาของเธอก็คล้ายกับถูกหยุดไปโดยอัตโนมัติ มืออ้วนป้อมยื่นออกไปหาร่างเล็กอีกร่างและพูดเบาๆ ว่า “อุ้มๆ”
มู่เถาเยามองข้อมือป้อมสั้นเต็มไปด้วยเนื้อของมู่หว่าน ใบหน้าเล็กกระจิริดตีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเด็กๆ ปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาดว่า “อุ้มไม่ไหว”
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านหลุดหัวเราะดังพรืดออกมา
เธออุ้มมู่หว่านไว้ในแขนข้างหนึ่งแล้วย่อตัวลง ยื่นมืออีกข้างที่เหลืออยู่ไปน้วยแก้มนุ่มที่ขาวราวกับแป้งซาลาเปาของมู่เถาเยาด้วยความมันเขี้ยวและพูดว่า “ทำไมเสี่ยวเยาเยาของเราถึงน่ารักขนาดนี้! หนูกินอาหารเช้ามาหรือยังจ๊ะ”
“กินแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะคุณย่า”
ในช่วงหนึ่งปีนี้ มู่เถาเยาได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเทศที่เธออาศัยอยู่นี้ว่าผู้ปกครองของแผ่นดินไม่ได้เรียกว่าจักรพรรดิ แต่ถูกเรียกว่า ‘ราชา’ และมีการใช้รูปแบบการปกครองระบอบกษัตริย์ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
แผ่นดินจงโจวที่เธอเคยอาศัยอยู่ในอดีต ไม่ว่าจะประเทศหรือดินแดนใดล้วนปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จักรพรรดิมีอำนาจไม่จำกัดและเป็นผู้ปกครองเบ็ดเสร็จ มองว่าแผ่นดินและประชาชนเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว
ความก้าวหน้าของอารยธรรมที่นี่เองก็ห่างไกลเกินขอบเขตของแผ่นดินจงโจวไปไกลโข
ยกตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ ทีวี รถยนต์ เครื่องบิน เรือ พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน…ยังมีตึกสูงระฟ้าที่สูงจนคล้ายกับจะเอื้อมมือไปเด็ดดวงดาวลงมาได้
นอกจากนี้ยังมีนักเล่นงิ้ว ที่นี่เขาเรียกว่า ‘นักแสดง’ ซึ่งเป็นที่น่าหลงใหลและไขว่คว้าอย่างมากของผู้คน
แนวความคิดตลอดจนวิธีการพูดและทำสิ่งต่างๆ ของมู่เถาเยาเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เธอพยายามหลอมรวมตัวเองให้เข้ากับโลกใบใหม่นี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดังนั้นเธอจึงไม่โกรธเมื่อถูกคนในหมู่บ้าน ‘หยิก’ หน้าเธอเป็นครั้งคราว
มู่เถาเยาทำสองสิ่งนี้ไปพร้อมๆ กัน พูดคุยกับภรรยาของผู้ใหญ่บ้านในขณะที่ความคิดของเธอล่องลอยออกไปไกล
ในเวลานี้เอง หยวนเหยี่ยก็เดินออกมาจากห้องปรุงยาที่ตั้งอยู่ติดๆ กัน เขาสะพายถุงผ้าและขวดน้ำไว้ข้างหนึ่ง แบกตะกร้าสานใบใหญ่ที่ไว้ใช้เก็บสมุนไพรในป่าไว้บนหลังโดยมีจอบเล็กๆ วางนอนอยู่ในตะกร้า
“อ้าว ซานซือกับเสี่ยวหว่านมาแล้วหรือ ข้าว่าจะส่งเสี่ยวเยาเยาไปเล่นเป็นเพื่อนเสี่ยวหว่านที่บ้านเอ็งอยู่พอดี”
ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูเหมือนบุรุษวัยกลางคน แต่อายุอานามของหยวนเหยี่ยก็ปาไปเกือบจะเจ็ดสิบปีแล้ว ด้วยเหตุนี้คนรุ่นเดียวกับผู้ใหญ่บ้านจึงถูกเขาเรียกด้วยชื่อจริงเนื่องจากความอาวุโสของเขา
“หมอหยวนเตรียมจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเหรอคะ”
“ใช่ สมุนไพรบางตัวใกล้หมดแล้ว เราต้องเตรียมไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาเสี่ยวเยาเยาไปที่บ้าน”
มู่เถาเยารีบคว้าชายเสื้อของหยวนเหยี่ยไว้ทันที น้ำเสียงเด็กๆ พูดขึ้นว่า “อาจารย์ หนูอยากไปด้วย”
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ครั้งนี้เธอต้องการติดตามไปเก็บสมุนไพรด้วยจริงๆ ดังนั้นเธอจึงเลือกทำตามเสียงหัวใจของตัวเอง
หยวนเหยี่ยย่อตัวลงและยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กๆ ของมู่เถาเยา “เอ็งไปเล่นกับพี่สาวเสี่ยวหว่านที่บ้านนั่นแหละดีแล้ว รอเอ็งโตขึ้นกว่านี้อีกสักนิด อาจารย์ค่อยสอนวิธีการแยกแยะสมุนไพรให้”
มู่เถาเยาเม้มริมฝีปากสีชมพูเล็กๆ ของเธอแล้วพูดว่า “จะไป”
เธอไม่ต้องการเล่นกับมู่หว่าน เธอไม่ใช่เด็กเล็กจริงๆ เสียหน่อย
“วันนี้อาจารย์จะเข้าไปในภูเขาลึกและจะไม่กลับมาตอนเที่ยง เอ็งยังเด็กและต้องนอนกลางวัน วันนี้ไปเล่นกับเสี่ยวหว่านที่บ้านย่าหลี่นั่นแหละ มื้อกลางวันก็กินที่บ้านย่าหลี่ไปเลย”
“ไป” ใบหน้าเจ้าเนื้อพองลมจนแก้มป่อง สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
หยวนเหยี่ยเลี้ยงดูเธอมาจนเติบใหญ่ขนาดนี้ ย่อมรู้จักนิสัยใจคอเธออย่างทะลุปรุโปร่ง บอกจะเอาก็ต้องเอาให้ได้ ต่อให้เขายกเหตุผลมาอ้างเป็นหมื่นแสนคำก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเธอได้
ยัยเด็กแก่แดดคนนี้!
“ถ้าอย่างนั้นไปที่ห้องครัวแล้วหยิบชามและช้อนเล็กๆ ของเอ็งมา”
มู่เถาเยาวิ่งปร๋อไปที่ห้องครัว เด็กน้อยอายุหนึ่งขวบหนึ่งเดือนถึงแม้ว่าจะตัวเล็กแต่ฝีเท้าก็มั่นคงมาก
หลี่ซานซือภรรยาของผู้ใหญ่บ้านพูดไม่ออก
โอ๋เด็กก็ต้องมีขอบเขตกันหน่อยไหม บนภูเขาอันตรายขนาดไหน!
“ซานซือเอ็งพาเสี่ยวหว่านกลับไปเถอะ ข้าจะพาเสี่ยวเยาเยาขึ้นเขาไปด้วยกัน”
“หมอหยวน เยาเยายังเด็กมาก…”
“ไม่เป็นไร เธอเชื่อฟังดีมาก”
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีเด็กคนไหนในหมู่บ้านที่ว่าง่ายและรู้ความเท่ากับเสี่ยวเยาเยาอีกแล้ว!
มู่เถาเยาออกมาพร้อมกับชามไม้และช้อนเล็กๆ ของเธอและส่งมันให้กับหยวนเหยี่ย
หยวนเหยี่ยใส่ชามและช้อนของเธอลงในถุงผ้า
“ในเมื่อหมอหยวนพาเสี่ยวเยาเยาไปด้วย อย่างนั้นอย่าเพิ่งเข้าไปในภูเขาลึกเลย หาสมุนไพรไม่ได้คราวหน้าค่อยไปหาใหม่ก็ได้ ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
หยวนเหยี่ยพยักหน้า
เขามียาติดตัวอยู่ทุกชนิดและทักษะการป้องกันตัวก็ดีมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กลัว อย่างไรก็ตามเขาย่อมไม่ขัดความหวังดีของชาวบ้าน
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านอุ้มมู่หว่านตามหลังหยวนเหยี่ยศิษย์อาจารย์ออกไป คนหนึ่งเดินไปทางทิศตะวันออก ส่วนอีกคนไปทางทิศตะวันตก
ทางทิศตะวันตกคือเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ภูเขา
หยวนเหยี่ยจูงมือเล็กๆ ของมู่เถาเยาและเริ่มเข้าสู่โหมดพูดคุย “เยาเยา ถ้าเอ็งเหนื่อยสามารถบอกอาจารย์ได้ตลอดเวลา อาจารย์จะอุ้มเอ็งไป หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว อย่าได้วิ่งเถลไถลออกไปจากสายตาของอาจารย์ ห้ามเก็บผลไม้กินสุ่มสี่สุ่มห้า และห้ามเล่นกับงู…”
เมื่อสองวันก่อนตอนที่พาเจ้าตัวเล็กไปเด็ดผักปีเช้าที่นาข้าว เผลอละสายตาไปเดี๋ยวเดียว ยัยเด็กนี่ก็จับงูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งขึ้นมาเล่น แถมยังเล่นอย่างสนุกสนานมากด้วย!
โชคดีที่งูไม่มีพิษ ไม่งั้นถูกกัดเข้าทีคงได้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกันบ้าง
บ่นยาวไปจนถึงทางเข้าภูเขา ในที่สุดอาจารย์ช่างจ้อก็ปลดสัมภาระลงจากบ่า หยิบจอบเล็กออกมาแล้วอุ้มมู่เถาเยาใส่ลงไปในตะกร้าสานแทน ยกขึ้นสะพายไว้บนหลังตามเดิม
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “เยาเยา ทำไมเอ็งถึงแตกต่างจากเสี่ยวหว่านกันนะ กับเด็กคนอื่นๆ เองก็ไม่เหมือน ข้าตรวจร่างกายเอ็งดูแล้ว ส่วนของสมองปกติดีไม่ได้โง่…”
มู่เถาเยาที่กำลังซุกตัวอยู่ในตะกร้าสานด้านหลังยกมือเล็กๆ ปิดหูของเธอไว้แน่น ไม่ฟังๆ อาจารย์กำลังท่องบทสวดมนต์อยู่!
อาจารย์ราคาถูกคนนี้มีคำพูดมากมายไม่รู้จักจบสิ้นจริงๆ เปลี่ยนคนให้เธอได้หรือเปล่า!
จนกระทั่งพวกเขาเข้าไปในป่าและเห็นสมุนไพร หยวนเหยี่ยจึงหยุดวางยาพิษมู่เถาเยาแม่ต้นกล้าอ่อนน้อยๆ ต้นนี้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ขุดเขาก็ยังมิวายอธิบายสรรพคุณให้มู่เถาเยารู้ว่าสมุนไพรชนิดใดรักษาโรคอะไรได้บ้าง มีกรรมวิธีจัดการและแปรรูปอย่างไรโดยไม่คำนึงว่าสมองน้อยๆ ของเธอจะฟังเข้าใจหรือไม่
แม้ว่ามู่เถาเยาจะไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักกับสมุนไพรธรรมดาเหล่านี้ แต่เธอสนใจในกรรมวิธีปรุงยาเม็ด ยาทา ยาพ่น ฯลฯ ดังนั้นเธอจึงฟังอย่างตั้งใจและจดจำไว้ในใจ
หยวนเหยี่ยรู้สึกพอใจกับลูกศิษย์ตัวน้อยที่เชื่อฟังคนนี้มาก
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงร้อนแรงขึ้น หยวนเหยี่ยก็อุ้มมู่เถาเยาเดินลึกเข้าไปในป่าเป็นระยะทางหนึ่ง ยิ่งเข้ามาลึกมากเท่าไรอากาศก็ยิ่งเย็นลง
ดึงเถาวัลย์ออกมาจากลำต้นและตัดส่วนหนึ่งทิ้งไป เทน้ำหวานที่อยู่ภายในลงในชามขนาดเล็กของมู่เถาเยา ละลายเม็ดยาเล็กๆ และให้เธอดื่มมันด้วยตัวเอง
“เสี่ยวเยาเยา เชื่อฟังอาจารย์นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ อาจารย์ขอไปทำธุระส่วนตัวสักเดี๋ยว”
มู่เถาเยาพยักหน้า
ลูกศิษย์ตัวน้อยว่าง่ายรู้ความมาก ดังนั้นหยวนเหยี่ยจึงเดินลึกเข้าไปอีกเล็กน้อยอย่างสบายใจ
รอจนกระทั่งเขาทำธุระส่วนตัวเสร็จและกลับออกมา เจ้าลูกศิษย์ตัวดีก็ดันหายตัวไปแล้ว!