ตอนที่ 9 ใต้หล้านี้ฉันงดงามที่สุด
“อาจารย์อาเล็ก คุณต้องการไปดูเด็กน้อยที่ชื่อหวังซูเหยาหลังจากนี้ไหม”
“นายไป”
“ตกลงครับ”
“อาจารย์อาเล็ก ผมขอเรียนวรยุทธ์กับคุณได้รึเปล่า”
“นายเรียนไม่ไหวหรอก” วรยุทธ์ในปัจจุบันของเธอ เป็นผลมาจากการหลอมรวมความรู้จากเคล็ดวิชาลับในชาติภพก่อนกับวรยุทธ์ในโลกใหม่นี้ จึงเหมาะสำหรับเธอเท่านั้น
ถ้าศิษย์หลานอายุยังน้อย เธอก็อาจจะพอช่วยสร้างเคล็ดวิชาอื่นที่เหมาะกับเขาได้ แต่ตอนนี้เขาอายุยี่สิบห้าปีแล้ว พลาดช่วงอายุที่ดีที่สุดในการฝึกวรยุทธ์ไปอย่างน่าเสียดาย
เฉิงอันนั่ว “…อาจารย์อาเล็ก คุณพูดแทงใจดำคนอื่นเก่งเกินไปแล้ว!”
มู่เถาเยากะพริบดวงตาลูกกวางของเธอ กล่าวปลอบโยนในฐานะผู้อาวุโส “นายสามารถเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้สมัยใหม่ได้ แม้การมาเริ่มเรียนเอาตอนนี้ต่อให้เรียนหนักแค่ไหนมันก็เข้าไม่ถึงแก่นแท้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็สามารถเสริมความแข็งแรงของร่างกายได้”
เฉิงอันนั่ว “…”
เขามีรัศมีของอัจฉริยะล้อมรอบตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำไมพอมาอยู่ต่อหน้าอาจารย์อากลับกลายเป็นว่าเรียนให้ตายก็ไม่ได้เรื่องซะงั้น
เฉิงอันนั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามบอกกับตัวเองในใจว่า นี่คืออาจารย์อาเล็กของฉัน เป็นอาจารย์อาแท้ๆ ของฉัน อาจารย์อาแท้ๆ ของฉัน! สู้ไม่ได้ๆๆ!
หลังจากตั้งสติได้แล้ว เขาก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “อาจารย์อาเล็ก นายน้อยผู้มั่งคั่งร่ำรวยจากเซิ่งซื่อฉางอันคนนั้น…เข้ากับคนได้ไม่ง่ายนัก ถ้าเขาพูดอะไรไม่ถูกใจก็อย่าเก็บมาใส่ใจ”
“ไม่หรอก”
กับหนูขาวแน่นอนว่าเธอย่อมมีความอดทนที่สูงพอ ไม่อย่างนั้นหากเขาไม่ยอมมาเป็นหนูขาวให้เธอจะทำอย่างไร
“นายน้อยคนนั้นมาจากเมืองหลวง ผมไม่รู้ว่าสถานะที่แท้จริงของเขานั้นเป็นยังไง แต่หน้าตาของเขาค่อนข้างคล้าย ‘ราชา’ อยู่หลายส่วน ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันหรือเปล่า” รูปลักษณ์ที่ราวกับจักรพรรดิแห่งทวยเทพของราชาแห่งประเทศเหยียนหวง เห็นเพียงครั้งเดียวก็ยากจะลืมเลือนได้ลง!
“โอ้” เธอเองก็เคยเป็นจักรพรรดินีเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรพิเศษ
“ครั้งหนึ่งผมเคยติดตามพ่อไปที่คฤหาสน์ของเขา ระบบรักษาความปลอดภัยภายในเหมือนกับอยู่ในคุกก็ไม่ปาน อย่างไรก็ตาม ข้างกายเขาเองก็มีหมอที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งคอยดูแลอยู่ด้วย”
“อ้อ”
“อาจารย์อาเล็ก นายน้อย…แบบว่า…หน้าตาของเขางดงามมาก งามมากๆ คุณต้องห้ามตกหลุมรักเขาเด็ดขาด!”
ต่อให้จะงดงามแค่ไหนก็เป็นแค่ไก่อ่อน ไม่คู่ควรกับอาจารย์อาเล็กของเขา!
“อ้อ” ตกหลุมรักคืออะไร สามารถกินได้ไหม
เมื่อเห็นว่าอาจารย์อาเล็กของตนเองดูไม่สนใจ เฉิงอันนั่วก็รู้สึกโล่งใจและเลิกพูดถึงหัวข้อสนทนาที่ไร้สาระนี้
“อาจารย์อาเล็ก คุณว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนแปลกประหลาดแบบนี้อยู่ด้วย ตรวจไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ยังไม่พบปัญหาใดๆ แต่ร่างกายของเขากลับอ่อนแอ อ่อนแอมากจนแม้เพียงลมพัดเบาๆ ก็ทำให้เขาล้มลงได้”
“โลกนี้กว้างใหญ่ เรื่องแปลกประหลาดพิสดารย่อมมี”
“นั่นก็จริง อาจารย์อาเล็ก คุณคิดว่าเขาไปแตะต้องอะไรที่ไม่สะอาดเข้าหรือเปล่า” แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อในเทพเจ้า แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ในโลกนี้
“พูดยากนะ”
“เอ๋ อาจารย์อาเล็กเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” เขาคิดว่าตัวเองจะถูกหัวเราะเยาะเสียอีก
“ถ้าเชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มี” ยกตัวอย่างเช่นการกลับชาติมาเกิดใหม่ในโลกนี้ของเธอก็เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์พิศวงที่ไม่สามารถอธิบายได้
สองศิษย์อาหลานยกประเด็นขึ้นมาสนทนากันไม่หยุด และในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงพื้นที่วิลล่าระดับไฮเอนด์ที่สุดในเมืองเย่ว์ตู…เขตเซิ่งซื่อฉางอัน
เนื่องจากมีการบอกกล่าวก่อนล่วงหน้า จึงมีบอดี้การ์ดของคฤหาสน์มายืนรอรับที่หน้าประตูทางเข้าใหญ่
รถยนต์ของพวกเขาถูกบอกให้จอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถนอกประตู
มู่เถาเยาหยิบกล่องยาขนาดเล็กและลงจากรถ และขึ้นไปนั่งบนรถที่บอดี้การ์ดขับมารับตนไปพร้อมกับเฉิงอันนั่ว
สิบห้านาทีผ่านไปโดยประมาณ รถยนต์คันหรูก็ค่อยๆ หยุดลงที่หน้าอาคารรูปทรงคล้ายปราสาทเก่าแก่
บอดี้การ์ดเปิดประตูรถให้คนทั้งสอง
ยกเว้นตอนตรวจยืนยันตัวตนที่หน้าประตูทางเข้าใหญ่ เขาไม่พูดอะไรเลยตลอดทั้งเส้นทางซึ่งเหมาะกับบุคลิกของบอดี้การ์ดมืออาชีพเป็นอย่างมาก
หลังลงจากรถ มู่เถาเยาก็ดูสงบและเฉยเมยราวกับว่าอาคารอันโอ่อ่าที่มีศิลปะงดงามเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้เหมือนกับคฤหาสน์ทั่วไปในหมู่บ้านชนบทเถาหยวนซาน
ลัดเลาะผ่านปราสาทเก่าแก่ขึ้นไปตามทางเดินที่คดเคี้ยว ไม่นานภาพของแปลงดอกไม้สีสันสดใส กระถางต้นบอนไซ เถาวัลย์ ไผ่เขียว และต้นสนสีเขียวสดก็ทยอยปรากฏสู่สายตา
เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ มู่เถาเยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าก่อนและหลังราวกับเป็นโลกสองใบที่ต่างกัน แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด
หลังจากเดินเล่นในสวนหย่อมของคฤหาสน์ประมาณสิบห้านาที เธอก็มองเห็นได้กว้างขึ้น สนามหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ปรากฏสู่สายตาของมู่เถาเยา
ปลายทางอีกด้านหนึ่งของสนามหญ้ามีทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ด้านข้างทะเลสาบมีร่มหลายคันถูกกางไว้โดยมีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่ใต้ร่มกันแดด ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลนักยังมีคนอีกหลายคนยืนอยู่
บอดี้การ์ดเดินนำพวกมู่เถาเยาทั้งสองคนเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ
“นายน้อย ลูกศิษย์คนเล็กของหมอเทวดาหยวนมาถึงแล้วครับ”
“ชู่ว! อย่าทำให้ปลาของฉันตกใจ พวกคุณนั่งลงก่อน รอปลากินเบ็ดแล้วฉันจะใช้เป็นอาหารกลางวันพวกคุณ”
คนตกปลาไม่หันกลับมามอง สายตาจับจ้องไปที่ทะเลสาบอันเงียบสงบ
พ่อบ้านวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาผายมือทำท่าเชิญให้พวกมู่เถาเยาทั้งสองคนนั่งลงก่อน
มู่เถาเยาและเฉิงอันนั่วนั่งลง
วางกล่องยาขนาดเล็กลงบนโต๊ะ ก่อนจะเปิดออกแล้วทยอยหยิบหมอนรองชีพจรกับสิ่งของข้างในออกมา หันไปพูดกับหนูขาวตัวน้อยของเธอว่า “ตรวจโรคให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับไปตกปลา!”
นายน้อยถูกเสียงที่จู่ๆ ก็ตะโกนมาทำเอาสะดุ้ง มือจึงเผลอดึงคันเบ็ดขึ้นทันที “อ๊า ปลาของฉันหลุดไปอีกรอบแล้ว! รีบจับมันเร็วเข้า อย่าให้ผิดตัวล่ะ!”
ชายร่างสูงในชุดสีดำที่ยืนอยู่ด้านหลังพ่อบ้านวิ่งผ่านหน้าเขาไปและกระโดดลงไปในทะเลสาบอย่างรวดเร็ว
เฉิงอันนั่ว “…”
ให้ตายเถอะคุณใช้เบ็ดตรง! คุณคิดว่าตัวเองคือเจียงจื่อหยา[1]หรือไง! นอกจากนี้อย่าจับผิดตัวงั้นเหรอ ขอถามหน่อยว่า น้องชาย เมื่อครู่คุณกำลังตกตัวไหนอยู่!
คนร่ำรวยจากเมืองหลวงช่างรู้จักวิธีหาความสุขให้ตัวเองจริงๆ
“นายน้อย รบกวนยื่นมือออกมาด้วย”
ใบหน้านุ่มนิ่มไม่ต่างจากทารกของมู่เถาเยานั้นเฉยเมยมาก น้ำเสียงของเธอก็เย็นชา ปราศจากความอ่อนโยนและการปลอบประโลมเหมือนแพทย์ทั่วไป
นายน้อยยื่นคันเบ็ดให้กับบอดี้การ์ดแล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมา แต่เขาไม่ได้วางมือลงบนหมอนรองชีพจรของมู่เถาเยา แค่หันมองเธอด้วยความสนใจ
“สาวน้อย เธอก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของผู้อาวุโสหยวนใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ โปรดวางมือลงบนหมอนรองชีพจรด้วย”
“เธอไม่เห็นหน้าฉันเหรอ”
“เห็นแล้วค่ะ สีหน้าค่อนข้างซีดเซียว ร่างกายอ่อนแอมาก”
“…แล้วทำไมเธอถึงไม่กรี๊ดล่ะ หรือว่าแว่นกันแดดนี่บดบังความงามแทบล่มปฐพีของฉันเอาไว้” เขาพูดพลางถอดแว่นกันแดดอันใหญ่ออกแล้ววางลงบนโต๊ะ
มู่เถาเยาผู้ซึ่งมีสุนทรีย์ด้านความงามเป็นศูนย์โพล่งขึ้นทันควัน “ไม่งาม น่าเกลียด” สำหรับแพทย์แล้ว ร่างกายที่แข็งแรงถึงจะเป็นความงดงามที่แท้จริง
เฉิงอันนั่ว “…” อาจารย์อาเล็ก ทำไมคุณถึงพูดโกหกหน้าด้านๆ แบบนั้น
เห็นอยู่ชัดๆ ว่างดงามมาก!
งามจนวัวตายควายล้ม!
ประหนึ่งรวบรวมความงดงามทั้งหมดของจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกไว้ในหนึ่งเดียว!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฝสีแดงเหมือนชาดที่หว่างคิ้วนั่นทำให้ทุกสิ่งในโลกสว่างไสวและเปี่ยมไปด้วยความสง่างามซึ่งไม่มีใครเทียบได้ เฉกเช่นมารปีศาจที่มีเสน่ห์ล้นเหลือจนล่อลวงจิตวิญญาณให้ลุ่มหลงตกลงสู่โลกีย์โลก!
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูป่วยอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความงามนั้นลง กลับกันยิ่งชวนให้ผู้มองรู้สึกปวดหัวใจ อยากจะประคองเขาไว้ด้วยความทะนุถนอมตั้งแต่แรกเห็น พวกเขาแทบอดใจไม่ไหวที่จะมอบสิ่งที่สวยงามและดีที่สุดในโลกมาวางไว้ตรงหน้า ตราบเท่าที่อีกฝ่ายต้องการเพื่อให้สายตาของเขาชำเลืองมองมาสักครั้ง
ถ้าเขาไม่เคยมาที่นี่พร้อมกันกับพ่อของเขามาก่อนและได้เตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ก็คงสูญเสียความสงบตั้งแต่แรกเห็นไปแล้ว
“เธอมันตาบอด! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าในใต้หล้านี้ฉันงดงามที่สุด!”
สีหน้าของนายน้อยทะมึนขึ้นทันที เสียงของเขาก็สูงขึ้น
ชายในชุดเสื้อคลุมสีขาวสวมแว่นตาขอบสีทองผู้มีสีหน้าอ่อนโยนรีบก้าวขึ้นมาปลอบเขา “นายน้อย อย่าเพิ่งโกรธไป หมอเทวดาน้อยเติบโตบนภูเขามาตั้งแต่ยังเล็ก รสนิยมด้านความงามของเธออาจแตกต่างจากคนทั่วไป”
มุมปากของเฉิงอันนั่วกระตุก
มู่เถาเยาชำเลืองมองชายสวมเสื้อคลุมสีขาวด้วยแววตาว่างเปล่า
“อ้อ…หมอเทวดาน้อย ฉันชื่อไป๋เฮ่าอวี๋ เป็นหมอประจำตัวของนายน้อย”
มู่เถาเยาพยักหน้า “หมอไป๋”
นายน้อยแค่นเสียงหึหนักๆ “หมอเทวดาเหรอ สาวน้อย เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง กล้าเรียกตัวเองว่าหมอเทวดางั้นเหรอ”
“เพิ่งอายุสิบแปดปีหมาดๆ แต่ยังไม่มีใบประกอบโรคศิลป์”
สีหน้าของมู่เถาเยายังคงเย็นชา และเธอไม่แยแสข้อกังขาของผู้อื่นที่มีต่อทักษะทางการแพทย์ของเธอสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นเธอยังกล้ามาตรวจโรคให้นายน้อยอย่างฉันคนนี้! ขืนทำหน้าฉันเสียโฉมขึ้นมาเธอรับผิดชอบไหวไหม”
“รับผิดชอบไหวสิ”
ไป๋เฮ่าอวี๋และบอดี้การ์ดเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ
เฉิงอันนั่วกลั้นเสียงหัวเราะของเขาไว้จนไหล่สั่น รีบก้าวขึ้นไปพูดแก้สถานการณ์ให้อาจารย์อาเล็กของตัวเองว่า “นายน้อย อาจารย์อาเล็กของผมไม่เพียงสืบทอดความรู้จากอาจารย์ปู่มาโดยตรง ทั้งยังเก่งกาจยิ่งกว่า แม้แต่พ่อของผมก็ยังตามหลังเธออยู่ไกลมาก”
“พ่อของคุณเป็นใคร” เขาไม่เคยจดจำคนที่ไม่สำคัญ!
เฉิงอันนั่วตอบทันทีโดยไม่มีอาการเก้อกระดาก “เฉิงหรานแห่งโรงพยาบาลผิงคัง”
“ลูกศิษย์คนโตของผู้อาวุโสหยวนน่ะเหรอ”
“ใช่ครับ”
นายน้อยหันกลับมามองใบหน้าอมชมพูของมู่เถาเยาอีกครั้ง “ก็ได้ งั้นฉันขอทดสอบเธอก่อนสักสองสามคำถาม แล้วเราค่อยมาเริ่มรักษากันหลังจากเธอตอบคำถามพวกนั้นแล้ว”
ทุกคนพร้อมใจกันมุมปากกระตุก
[1] เจียงจื่อหยา หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘เจียงไท่กง’ เป็นนักยุทธศาสตร์คนสำคัญของโจวเหวินอ๋องและโจวอู่อ๋อง ในประวัติศาสตร์บันทึกว่า ในขณะเดินทางไปล่าสัตว์ โจวเหวินอ๋องได้พบกับเจียงจื่อหยาในวัยแปดสิบปีกำลังนั่งตกปลาโดยที่ไม่มีเหยื่อ เขาจึงเข้าไปทักทายอย่างสุภาพ ภายหลังสนทนากันและเกิดความประทับใจ จึงเชิญเจียงจื่อหยาไปเข้ารับตำแหน่งสำคัญ และร่วมกันก่อรัฐประหารเพื่อล้มล้างราชวงศ์ซางและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น