ตอนที่ 15 เยาเยาเข้าเรียน
พระอาทิตย์ในเดือนมีนาคมส่องแสงสว่างเจิดจ้า สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิทำให้คนหัวใจรุ่มร้อนสั่นไหว
มู่เถาเยาตื่นแต่เช้าตามปกติ ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าด้วยตัวเองหลังฝึกตามกิจวัตรประจำวันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงทำความสะอาดห้องกินข้าวและห้องครัว เมื่อเธอกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบน กริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้น
เดินไปเปิดประตูอย่างไม่รีบไม่ร้อน
พบกับครอบครัวของศิษย์พี่ใหญ่ทั้งสามคนและศิษย์สายตรงอีกสองคนของหยวนเหยี่ยที่อาศัยอยู่ในเย่ว์ตู พร้อมทั้งภรรยาของพวกเขา รวมทั้งหมดเจ็ดคนกำลังยืนอยู่นอกประตูด้วยรอยยิ้มสดใส
“ศิษย์น้องหญิงเล็ก”
“อาจารย์อาเล็ก”
หลายคนทักทายมู่เถาเยาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ศิษย์พี่หญิงห้า พี่เขย ศิษย์พี่หก พี่สะใภ้หก อันนั่ว ทำไมทุกคนถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ตกลงกันแล้วหรอกเหรอว่าจะให้อันนั่วไปส่งฉันที่มหา’ลัย”
เฉิงอันนั่วเองก็กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูด้วยเหมือนกัน
เฉิงหรานมองไปที่เด็กสาวเหมือนกำลังมองดูลูกสาวตัวน้อยของเขาเอง พูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและใจดีเต็มใบหน้าว่า “ศิษย์น้องหญิงเล็กวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของเธอ เราทุกคนที่นี่เลยกะว่าจะไปส่งเธอด้วยกัน”
หลายคนพยักหน้าติดๆ
“ให้อันนั่วไปส่งฉันก็พอแล้วค่ะ ศิษย์พี่ พี่สะใภ้ ศิษย์พี่หญิงและพี่เขย อีกเดี๋ยวทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานเถอะค่ะ”
ศิษย์พี่หกกลับยกยิ้มอย่างสดใส “พวกเราแค่จะไปส่งเธอวันนี้เท่านั้น ต่อจากนี้ก็ให้เป็นหน้าที่อันนั่วคอยไปรับไปส่งเธอทุกวัน”
“งั้นเข้ามานั่งข้างในก่อนค่ะ” มู่เถาเยาเปิดประตูออกจนสุดเพื่อเชิญให้ทุกคนเข้ามา
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่เถาเยาก็พูดต่อไปว่า “ในอนาคตฉันไม่อยากรบกวนอันนั่วให้ไปรับไปส่งฉันทุกวัน มหา’ลัยอยู่ใกล้แค่นี้เองฉันเดินไปได้ค่ะ อีกอย่างที่หน้ามหา’ลัยก็มีรถรับส่งที่จะพานักศึกษาไปยังแต่ละคณะอยู่ รอมีเวลาว่างหน่อยฉันก็คิดว่าคงจะไปสอบใบขับขี่ดู”
อันที่จริงเธอสามารถขับรถได้ แต่ก่อนหน้านี้เธอยังไม่โตพอที่จะไปสอบใบขับขี่
ไปมหา’ลัยสามารถเดินไปได้ แต่บางครั้งตอนออกไปทำธุระข้างนอกอย่างเช่นไปเขตเซิ่งซื่อฉางอันทุกเช้าวันอาทิตย์เพื่อไปตรวจอาการให้ตี้อู๋เปียน เธอไม่สามารถขอให้ใครมารับได้ทุกครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใช้วิชาตัวเบาในย่านใจกลางเมืองเช่นนี้
เฉิงหรานพยักหน้า “ก็เป็นความคิดที่ดี หลังจากมีใบขับขี่แล้วไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น”
เขารู้ว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวใจศิษย์น้องตัวน้อยของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตอบรับความต้องการของเธอไปก่อนแล้วค่อยมาคิดทีหลังว่ารถคันไหนเหมาะให้ศิษย์น้องเล็กขับมากกว่ากัน
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ส่งรถดีๆ ไปให้สักคันไม่นับว่าเกินไป
มู่เถาเยาลุกขึ้นจากโซฟา “งั้นฉันขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของก่อนนะคะ”
ชิงหลิน ศิษย์พี่หญิงห้าที่ทั้งฉลาดเฉลียวและสง่างามถามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องหญิงเล็ก เธอต้องการให้พี่สะใภ้กับฉันช่วยด้วยไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ต้องนำเอกสารอะไรนิดหน่อยไปด้วย เพราะไม่ได้พักอยู่ในหอพักมหา’ลัย ขอบคุณนะคะ ศิษย์พี่หญิงห้าและพี่สะใภ้รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันมา”
หลี่อวี้เสวี่ยยิ้มและจับมือเธอด้วยท่าทางยินดี “เยาเยา ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ จัดเตรียมของไป พวกเรามากันเช้า ตอนนี้ยังมีเวลาเหลือเฟือ”
“ตกลงค่ะ”
หลังจากที่มู่เถาเยาพยักหน้าเล็กน้อย เธอก็หันหลังกลับเดินขึ้นไปยังชั้นบน
เธอเพียงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทำจากดอกไม้ในป่าทึบของหมู่บ้านเถาหยวนซาน จากนั้นถอดชุดลำลองที่สวมตอนอยู่บ้านออกและเปลี่ยนไปใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนที่มีกลิ่นอายโบราณเข้มข้นแต่ดูเรียบง่ายน่ามอง
ผมยาวตรงสีดำขลับของเธอถูกรวบขึ้นครึ่งหนึ่งและมวยไว้ด้วยปิ่นไม้กฤษณา ใบหน้าที่ไม่ได้ลงเครื่องสำอางสว่างและเรียบเนียนเป็นสีขาวน้ำนมและมีสีชมพูระเรื่อจางๆ
เธอไม่ได้พักอยู่ในหอพักของมหา’ลัย ดังนั้นจึงใส่เอกสารทั้งหมดและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ที่เธอต้องนำมาด้วยลงในกระเป๋าผ้าใบเล็กที่ปักด้วยลายไม้สนเขียว
นัยน์ตาระยิบระยับเหลือบมองกระจกเต็มตัวอย่างเกียจคร้าน หลังจากพบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอก็สะพายกระเป๋าผ้าและเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับถือแลปท็อปในมืออีกข้างหนึ่ง
หลังออกจากเขตของเรือนอุ่นรักกลุ่มคนก็แยกตัวกันออกไป
เฉิงอันนั่วขับรถพามู่เถาเยาตรงไปที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู เป็นมหาวิทยาลัยระดับซูเปอร์เฟิร์สคลาสของโลกที่มีประวัติยาวนานที่สุด มีพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดและมีทัศนียภาพสวยงามที่สุดในประเทศเหยียนหวง
พื้นที่ของมหาวิทยาลัยครอบคลุมเนื้อที่ทั้งหมดแปดหมื่นแปดพันเฮกตาร์1 ไม่เพียงแต่ใหญ่ที่สุดในประเทศเหยียนหวงเท่านั้นแต่ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
และเนื่องจากมีมหาวิทยาลัยอยู่แห่งเดียว เมืองเย่ว์ตูจึงกลายเป็นประหนึ่งฐานที่มั่นสำหรับวงการแพทย์ของประเทศเหยียนหวงและแม้แต่ทั่วโลก นักศึกษาแพทย์ทุกคนต่างใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูและแพทย์ทุกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเวลายังเช้าอยู่ เฉิงอันนั่วจึงขับรถพามู่เถาเยาไปเยี่ยมชมบริเวณรอบๆ ของสาขาการแพทย์
มองไปที่ทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านตาและนักศึกษาในวัยหนุ่มสาวทั้งหลาย มู่เถาเยายกยิ้มเล็กน้อย
เธอไม่ต้องการความเร่าร้อนของวัยหนุ่มสาวก็จริง แต่เธอชอบเห็นความเร่าร้อนของวัยหนุ่มสาวในตัวผู้อื่น
เธอชอบยุคสมัยนี้จริงๆ! ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวามาก!
เฉิงอันนั่วอดไม่ได้ที่จะมีความสุขเมื่อเห็นดวงตาที่ยิ้มได้ของอาจารย์อาเล็กของเขา จึงคอยแนะนำเธอให้รู้จักอาคารต่างๆ สวนหย่อม และทะเลสาบตลอดทั้งเส้นทาง
เมื่อผ่านโรงอาหาร รอยยิ้มจางๆ ก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าซาลาเปาขาวนุ่มนิ่มของมู่เถาเยา และดูเหมือนว่าจะมีดอกไม้ภูเขานับพันกำลังเบ่งบานอยู่ในดวงตาของเธอ
จริงๆ แล้วการมามหา’ลัยก็ดีเหมือนกันนะ
กระทั่งจวนจะถึงเวลานัดหมายกับอธิการบดี เฉิงอันนั่วจึงจอดรถของเขาไว้ที่ลานจอดรถใกล้กับอาคารสำนักงาน จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องทำงานของอธิการบดีพร้อมกับมู่เถาเยา
เฉิงอันนั่ว “อาจารย์ปู่เล็ก”
มู่เถาเยา “อาจารย์อาเล็ก”
ใช่แล้ว อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูเป็นศิษย์น้องคนสุดท้องร่วมอาจารย์เดียวกันกับหยวนเหยี่ยนั่นเอง
“เสี่ยวเยาเยาในที่สุดหนูก็มาสักที! นานแค่ไหนแล้วนะที่หนูกับศิษย์พี่ใหญ่ไม่มาเยี่ยมฉันเลย!”
น้ำเสียงของอธิการบดีเจียงเฉาฟังดูตัดพ้อราวกับภรรยาที่กำลังน้อยใจสามีที่ไม่ยอมกลับบ้าน
เขามาที่ห้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อรอมู่เถาเยา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คุ้นเคยกับมู่เถาเยามากนัก แต่เขาก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยศิษย์พี่ใหญ่ เหมือนมีศิษย์พี่ใหญ่เป็นบิดา ดังนั้นเขาจึงรู้จักศิษย์พี่ใหญ่ไม่น้อยไปกว่าที่ศิษย์พี่ใหญ่รู้จักตัวเอง
ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของเขามีพรสวรรค์แค่ไหน เขาจะรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจอยากขโมยลูกศิษย์คนนั้นออกมาจากใต้ปลายจมูกของศิษย์พี่ใหญ่แล้วเลี้ยงดูสั่งสอนวิธีการผ่าตัดของเขาให้กับเธอด้วยมือตัวเอง
เขาอาจไม่เก่งเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่ในด้านวิชาแพทย์โบราณ แต่เมื่อพูดถึงการผ่าตัดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย
เป็นความจริงที่ว่าเขามาจากสำนักแพทย์โบราณ แต่เขาสนใจมีดผ่าตัดมากกว่าเข็มทองและเข็มเงินพวกนั้น
ในโลกของวงการแพทย์ ศิษย์พี่ใหญ่เป็นที่รู้จักในฐานะหมอเทวดา ส่วนเขาก็ถูกตั้งสมญานามว่ามีดหัตถ์เทวะ
ในช่วงวัยหนุ่มนั้นกล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง ใครก็ไม่อาจเทียบเคียงพวกเขาได้!
แค่กๆ ออกทะเลไปไกลแล้ว…
อธิการบดีเจียงเฉาดึงตัวเองกลับมาจากการหวนรำลึกความหลัง
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมหนูถึงเลือกเรียนคณะนิติเวชศาสตร์ล่ะ เปลี่ยนมาติดตามฉันแทนเถอะ ฉันจะเป็นอาจารย์สามของหนูเอง!” นี่คือคำพูดที่กลั่นออกมาจากความตื่นเต้นเกินบรรยายของเขา!
นับตั้งแต่ไป๋เฮ่าอวี๋ศิษย์รักของเขา และยกเว้นเฉิงอันนั่วที่ไม่ได้ถูกจดอยู่ในรายชื่อศิษย์ส่วนตัวของเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์ทางการแพทย์สูงเท่านี้มานานแล้ว
หัวใจที่รักยิ่งในผู้มีพรสวรรค์กำลังโหมลุกไหม้อย่างรุนแรง
“ไม่ล่ะค่ะ อาจารย์อาเล็ก หนูอยากเรียนนิติเวชศาสตร์และกฎหมายไปพร้อมๆ กัน”
“อ่า นี่…หนูยังไม่ล้มเลิกความฝันที่จะเป็นทนายความเหรอ”
“เปล่าเลยค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแค่หนูต้องการเรียนรู้ไว้เท่านั้น” เธอยังสนใจในกฎหมายของโลกใบนี้
ในรัชสมัยของราชวงศ์เทียนเยว่ ผู้คนที่เธอสังหารมีมากขนาดที่กองไว้ได้เป็นภูเขา
แต่ในสังคมปัจจุบัน การทุบตีใครสักคนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่ต้องพูดถึงการฆาตกรรม
นี่คือประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมาย เธอจำเป็นต้องรู้กฎเกณฑ์พวกนั้น
“เสี่ยวเยาเยา หนูฟังอาจารย์อาเล็กพูดนะ พวกเราแค่เรียนแพทย์อย่างเดียวก็หนักหนาสาหัสมากพอแล้ว หากคิดจะเรียนกฎหมายอีกนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันไม่อยากให้หนูเหนื่อยเกินไปจนศิษย์พี่ใหญ่ตามมาฆ่าฉันในภายหลัง!”
อย่าดูถูกอารมณ์ของศิษย์พี่ใหญ่เชียว รายนั้นขืนโมโหขึ้นมาล่ะก็ นั่นแหละแผ่นดินไหวของจริง!
“หนูหัวดี แล้วก็แข็งแรงดี ไม่เหนื่อยง่ายๆ หรอกค่ะ”
เมื่อเทียบกับชาติที่แล้ว ชีวิตนี้เหมือนอยู่บนสวรรค์!
อธิการบดีเจียงเฉาคิดกับตัวเอง โอ้ เด็กสาวตัวเล็กๆ ตอนตีสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยชมตัวเอง ไม่คิดเลยว่าจะน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้!
ศิษย์หลานเฉิงอันนั่วคิดในใจ อาจารย์อาเล็กพูดได้ถูกต้องที่สุด! เห็นด้วยหนึ่งร้อยล้านเปอร์เซ็นต์!
มู่เถาเยาหยิบเอกสารรับรองออกมา “อาจารย์อาเล็ก ช่วยหนูดำเนินการหน่อยนะคะ”
“…ก็ได้”
เจียงเฉาหยิบม้วนกระดาษปึกหนาและปากกาออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะ ยื่นส่งให้กับมู่เถาเยา “เสี่ยวเยาเยา ฉันจะเก็บสำเนาเอกสารไว้ที่นี่ชุดหนึ่งนะเผื่อกรณีฉุกเฉิน”
เผื่อว่าต้องใช้ตบหน้าใครในสักวันหนึ่ง แม้ว่าอาจจะไม่ได้ใช้งานเลยก็ตามแต่มีเตรียมไว้ก็ดีกว่าไม่มี!
มู่เถาเยารับม้วนกระดาษข้อสอบและปากกามา จากนั้นก็หันไปพูดกับเฉิงอันนั่วว่า “ไปทำธุระของนายต่อเถอะ”
“โอเค ถ้าอาจารย์อาเล็กมีอะไรให้โทรหาผมนะครับ”
“อืม”
“งั้นอาจารย์อาเล็ก อาจารย์ปู่ ผมขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ”