ตอนที่ 18 การเผชิญหน้ากับพวกผู้ร้ายค้ามนุษย์
หลังจากสัมผัสกับประสบการณ์ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้สองวัน อารมณ์ของมู่เถาเยาก็ดีขึ้นทุกวัน
เพื่อนร่วมชั้นปีของเธอทั้งน่ารักและบทเรียนเองก็น่าสนใจ
แม้ว่าจะเป็นความรู้เดิมๆ ที่เธอเข้าใจอยู่ก่อนแล้ว แต่มันก็ยังสดใหม่และน่าสนใจที่จะฟัง
บทเรียนที่สอนโดยอาจารย์ของมหาวิทยาลัย แตกต่างจากบทเรียนที่สอนโดยอาจารย์ทั้งสองคนของเธอ ยิ่งไม่เหมือนกับที่ได้ฟังจากติวเตอร์และค้นหาเองจากเว็บไซต์ออนไลน์ของมหาวิทยาลัย
ตลอดเวลาสองวันมานี้ มู่เถาเยาได้วางแผนที่จะใช้เวลาหนึ่งปีเต็มเพื่อเก็บหน่วยกิตทั้งสี่ปีของระดับปริญญาตรี ใช้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อเรียนรู้ในระดับปริญญาโท และอีกหนึ่งปีเพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ในระดับปริญญาเอก
เพียงสามปีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอเข้าใจสังคมเล็กๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยทุกแง่มุมอย่างถ่องแท้
เมื่อความสดใหม่ของการเป็นนักศึกษาหมดลงเธอค่อยคิดว่าจะทำอะไรหลังจากนั้น ท้ายที่สุดย่อมมีบางสิ่งที่ต้องทำในชีวิตเสมอ
มู่เถาเยาลงจากรถที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยและเรียกรถอีกคันเพื่อมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดิน
เวลานี้ยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วน การเดินทางจึงราบรื่นดี
แม้จะยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็น แต่บนถนนคนเดินก็มีผู้คนไม่น้อยแล้ว
ไม่ว่าจะเดินคนเดียวแบบเธอ มาเป็นคู่ หรือมาด้วยกันทั้งครอบครัว ใบหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ไม่ได้มีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดเร่งรีบตามแบบฉบับผู้คนในเมืองหลวงหรือเมืองเจียงตู
แบบนี้ดีมากๆ
มู่เถาเยาชอบการแสดงออกที่สงบและรู้สึกปลอดภัยแบบนี้
เดินกินของว่างไปตลอดทาง จากปลายด้านหนึ่งของถนนไปจนสุดอีกฟากของถนน โคมที่ประดับแสงสีอันงดงามถูกจุดตลอดทั้งเส้นทาง
มู่เถาเยาเดินเข้าไปในห้องน้ำสาธารณะที่ดูสะอาดสะอ้าน
เมื่อเธอกลับออกมาอีกครั้ง ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วน แต่งตัวดี และอารมณ์ดียืนอยู่ที่หน้าประตูซึ่งกำลังเดินเข้ามาทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
“สาวน้อย เลิกเรียนแล้วทำไมถึงไม่รีบกลับบ้านล่ะ หนูออกมาเดินเล่นคนเดียวหรือเปล่า”
มู่เถาเยายิ้มให้อย่างไร้พิษภัย “ใช่ค่ะ พ่อกับแม่ฉันไม่อยู่บ้าน”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนก็ขยายกว้างขึ้น “แบบนี้นี่เอง หนูกินข้าวเย็นมาหรือยังล่ะ ไปด้วยกันกับป้าเถอะเดี๋ยวป้าเลี้ยง ป้ารู้สึกคุ้นหน้าหนู เหมือนว่าหนูจะเป็นลูกสาวของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของป้านะ”
“จริงเหรอคะ หรือบางทีหนูอาจจะหน้าโหลก็ได้”
“สาวน้อย…”
“ที่รัก” ชายวัยกลางคนอุ้มเด็กคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำชายข้างๆ แล้วเรียกผู้หญิงคนนั้น
“ออกมาแล้วเหรอคะ ลูกหลับหรือยัง”
“หลับแล้ว”
“ถ้างั้นคุณอุ้มลูกกลับไปก่อน ฉันอยากชวนสาวน้อยคนนี้ไปกินอาหารเย็นด้วยกัน”
ชายวัยกลางคนมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยนและพูดว่า “ตกลง อีกเดี๋ยวผมจะพาลูกไปฝากไว้กับปู่กับย่าของแกแล้วค่อยวกกลับมารับคุณอีกที”
ดวงตาของมู่เถาเยามองไปยังปลายเท้าของเด็กในอ้อมแขนชายวัยกลางคนและแววตาของเธอก็ขยับเล็กน้อย
เนื่องจากเด็กยังเล็ก ร่างกายของเขาที่ถูกคลุมด้วยชุดหลวมๆ จึงมีเพียงสองเท้าอ้วนๆ ที่ไม่มีรองเท้าและถุงเท้านั้นโผล่พ้นออกมา
สภาพอากาศในเดือนมีนาคมจริงอยู่ที่ว่าอบอุ่นขึ้นแล้วแต่ใครบ้างที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้าสองหรือสามชั้น แต่เด็กคนนี้ทั้งที่ยังเด็กมากแต่กลับเท้าเปลือยเปล่า?
“อืม” ชายวัยกลางคนยกเท้าขึ้นและกำลังจะเดินจากไป
มู่เถาเยาตะโกนออกไปอย่างใจเย็นว่า “เดี๋ยวก่อน”
ทั้งสองคนหันกลับมามองเธอ
“คืนน้องชายให้ฉันก่อนสิคะ”
ความอ่อนโยนและใจดีที่เสแสร้งหายวับไปทันทีจากสีหน้าของชายและหญิงวัยกลางคน
พวกเขามองไปรอบๆ อย่างเป็นนิสัย หลังจากไม่พบใครอื่น ทั้งคู่ก็จ้องไปที่มู่เถาเยาเหมือนงูพิษ
ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “พูดเรื่องไร้สาระอะไรของเธอ! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอมาคนเดียว…”
หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยขัดเขาทันที “นี่คือลูกชายคนเล็กของฉันกับสามี จะเป็นน้องชายของเธอได้ไง เธอจำผิดคนแล้ว”
“จริงเหรอคะ งั้นปลุกเขาขึ้นมาถามดีไหม จะได้รู้ว่าพวกคุณเป็นพ่อแม่เขาจริงหรือเปล่า”
“สาวน้อย เมื่อครู่นี้ฉันยังคิดว่าเธอมีใบหน้าที่ดูดีน่าจะเป็นเด็กที่จิตใจดีมีเมตตา ไม่คิดเลยว่าจะนิสัยแย่ขนาดนี้ ลูกของฉันนอนหลับสนิทไปแล้วจะปลุกเขาขึ้นมาทำไม!”
“ไม่อยากปลุกหรือว่าปลุกไม่ตื่นกันแน่คะคุณนักค้ามนุษย์ทั้งสอง” กลิ่นยาบนตัวเขาแรงมาก!
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน
หญิงวัยกลางคนหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนเล็กออกมาจากกระเป๋าของเธอ และรีบวิ่งขึ้นไปปิดปากปิดจมูกของมู่เถาเยา
มู่เถาเยาผงะก้าวถอยหลัง แสร้งทำเป็นหวาดกลัว
ผู้หญิงคนนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกของมู่เถาเยาอย่างโหดเหี้ยม
มู่เถาเยาตัวอ่อนลง ร่างของเธอล้มลงไปกับพื้นตามแรงโน้มถ่วง
ชายวัยกลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำอย่างเป็นกังวลว่า “รีบอุ้มหล่อนเร็วเข้า อย่าให้หน้าสวยๆ นั่นมีรอยล่ะ” เด็กสาวที่มีผิวขาวราวหิมะและร่างกายเจริญเติบโตได้ดีเช่นนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด!
หญิงวัยกลางคนพยุงมู่เถาเยาขึ้นมาและแค่นเสียงหึทางจมูกอย่างเย็นชา
“ฉลาดนิดหน่อย แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กล้าดียังไงคิดจะต่อกรกับฉันคนนี้!”
“อย่าพูดไร้สาระ รอคนเยอะกว่านี้ก็หนีออกไปยากแล้ว” อีกไม่นานถนนคนเดินจะคึกคักที่สุด
ถ้ามีคนเห็นคงยากจะใช้ข้ออ้างว่าลูกสองคนหลับไปพร้อมกันได้
คุณสามารถอ้างแบบเดียวกันนี้กับเด็กตัวเล็กๆ ได้ แต่กับเด็กสาวสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าเซนติเมตร อ้างว่าหลับคนอื่นได้สงสัยแย่
หญิงวัยกลางคนแบกมู่เถาเยาไว้บนหลังของเธอ และรีบวิ่งไปที่ด้านหลังของห้องน้ำสาธารณะพร้อมกับชายวัยกลางคนที่อุ้มเด็กอยู่ ขึ้นรถตู้สีดำและจากไป
แม้ว่าจะเป็นจุดบอดในการเฝ้าระวัง แต่ก็มีถนนคนเดินอยู่ไม่ไกลและผู้คนอาจเดินมาทางนี้ได้ตลอดเวลา
มู่เถาเยาอดทนต่ออาการคลื่นไส้และแสร้งนอนหมดสติอยู่บนหลังหญิงวัยกลางคน
เดิมทีเธอเพียงต้องการช่วยเด็กคนนี้แล้วจับทั้งสองคนส่งตำรวจ แต่คำพูด การกระทำ และการแสดงออกของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิดซ้ำ ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนใจและใช้แผนซ้อนแผนแทน
หลังจากเข้าไปอยู่ในแหล่งกบดานของพวกขบวนการค้ามนุษย์ ตำรวจก็สามารถสืบสวนได้ง่ายดายขึ้น
มู่เถาเยาแสร้งทำเป็นหมดสติขณะฟังการสนทนาของพวกเขา
คนขับรถ “ทำไมถึงมีสอง”
ชายวัยกลางคน “โดนยัยเด็กนี่พบเข้าน่ะสิ หล่อนฉลาดมาก ก็เลยรวบมาด้วยกันเลย”
หญิงวัยกลางคน “เดิมทีฉันคิดจะชวนเธอไปกินอาหารเย็นแล้วค่อยวางยาลงในจาน ใครจะคิดว่าหล่อนจะรู้ตัวก่อนที่ฉันจะลงมือทำซะอีก”
“ของคราวนี้คุณภาพไม่เลวเลย พวกเราต้องได้โบนัสสูงแน่ๆ”
ฮ่าๆๆ …
ทั้งชายและหญิงหัวเราะกันอย่างมีความสุข
คนขับรถ “เมื่อเร็วๆ นี้ การสอบสวนเป็นไปอย่างรัดกุมมาก เราคงไม่สามารถส่งสินค้าได้ในช่วงนี้”
ชายวัยกลางคน “ให้อีกฝ่ายมารับของเองไม่ได้เหรอ ยังไงพวกเราก็ไม่กล้าปากโป้งอยู่แล้ว ไม่งั้นทุกคนคงได้ถูกยิงจนตัวพรุน!”
หญิงวัยกลางคนเหลือบมองชายที่นั่งอยู่ข้างๆ “ไอ้โง่! ใครอยากตายก็ไปตาย แต่อย่าดึงพวกเราไปด้วย!”
คนขับรถพยักหน้า “ยังคงเป็นพี่หวังที่มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พี่หลี่ พี่ต้องเรียนรู้จากเมียพี่บ้างนะ” คนซื้อตายไม่เป็นไร แต่อย่าลากคนขายอย่างพวกเขาไปตายด้วยเป็นพอ
หญิงวัยกลางคน “เถ้าแก่หลินบอกว่ารอหมดชุดใหญ่นี้แล้วเขาจะไปละเลงเงินเล่นอยู่ที่ต่างประเทศแล้ว”
มู่เถาเยาแค่นเสียงเหอะในใจอย่างเย็นชา รีบฝันเข้าล่ะ! ไม่งั้นต่อไปแม้แต่ความฝันพวกแกก็ทำไม่ได้แล้ว!
ทั้งสามคนพูดคุยกันเรื่องจะอพยพไปอยู่ต่างประเทศอย่างระริกระรี้ ไม่ได้มีความระแวดระวังอยู่เลย
ประมาณสี่สิบนาทีผ่านไป ในที่สุดรถก็หยุดลง
มู่เถาเยาถูกหญิงวัยกลางคนอุ้มลงจากรถและถูกวางลงกับพื้นไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
เด็กคนนั้นถูกวางอยู่ข้างๆ เธอ
“กลับมาแล้วเหรอ ราบรื่นดีหรือเปล่า”
หญิงวัยกลางคน “ราบรื่นมากเถ้าแก่”
เถ้าแก่มองไปที่สองคนบนพื้นและพูดกับคู่สามีภรรยาว่า “สองคนนี้คุณภาพสูงทีเดียว! ไม่เลวเลย! ฉันชอบสาวน้อยคนนี้”
“ถ้าเถ้าแก่ชอบก็เก็บเธอไว้สิ”
เถ้าแก่ชำเลืองมองไปที่มู่เถาเยาอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่เต็มใจและพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “มันไม่ง่ายที่จะพาอีกคนหนีไปด้วย ขายทิ้งเถอะ”
“ตกลง งั้นเดี๋ยวเราพาพวกมันขึ้นไปเก็บที่ชั้นสองรวมกับของพวกนั้น”
“อืม”
มู่เถาเยารู้ได้ทันทีว่าในห้องนี้มีคนอยู่กี่คนโดยไม่ต้องลืมตา
คนพวกนี้ล้วนเป็นพวกที่เป็นกังฟูสามารถต่อยตีได้ รวมทั้งคู่สามีภรรยาที่ลักพาตัวเธอและเด็กชายอีกคนมา ก็เป็นคนที่เคยฝึกกำลังภายในมาก่อน
เนื่องจากลมหายใจของทุกคนแตกต่างกัน คนธรรมดาแตกต่างจากผู้ที่ได้รับการฝึกฝน และผู้ที่มีทักษะกำลังภายในก็แตกต่างจากนักสู้หมัดมวยกังฟูทั่วไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับเธอแล้วคนเหล่านี้ไม่คู่ควรกับทักษะมือเท้าของเธอสักนิด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเอาไข่มากระทบกับหิน
ถ้าไม่ใช่เพราะสังคมนี้ปกครองด้วยกฎหมาย เธอคงทรมานพวกมันทั้งหมดเล่นก่อนสักรอบก่อนจะทำให้พวกมันกลายเป็นซากศพ!
เศษขยะแบบนี้ไม่สมควรปล่อยไว้รกโลกทำให้อากาศอันแสนบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อน!